“จำลอง” ไม่คาดหวังแถลงการณ์จะทำให้ทหารรุ่นน้องมีจิตสำนึกลุกขึ้นมาปกป้องอธิปไตยไทย บอกผิดหวังมาเยอะจนไม่อยากพูดอะไรแล้ว ชี้ปกป้องดินแดนเป็นหน้าที่โดยตรงของรัฐบาล-ทหาร ส่วนภาคประชาชนทำเต็มที่แล้วหากต้องสู้ต่ออาจไม่คุ้ม ระบุทำหน้าที่แบกแผ่นดินคงไม่ไหว
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ “คนเคาะข่าว”
เมื่อเวลา 20.30 น. วันที่ 20 ก.ค. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และนายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ร่วมพูดคุยในรายการ “คนเคาะข่าว” ถึงประเด็นศาลโลกมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหาร หลังจากที่พันธมิตรฯ ออกแถลงการณ์ 4 ฉบับ
โดย พลต.ต.จำลองกล่าวถึงแถลงการณ์ฉบับที่เรียกร้องให้ทหารทำหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยของชาติว่า ตนไม่ได้คาดหวังว่าทหารรุ่นน้องจะมีจิตสำนึกขึ้นมา เพราะผิดหวังมาเยอะแล้ว จนถึงขณะนี้ไม่อยากจะพูดแล้ว รู้สึกว่าทหารรุ่นน้องด้านชาต่อคำเตือนของรุ่นพี่ๆ
นายพิภพกล่าวว่า มองในแง่ของประชาชน การที่ทหารบอกว่าต้องรอนโยบายจากรัฐบาล เป็นความเข้าใจที่ผิด การที่เราจะไปบุกประเทศอื่นต่างหากที่ต้องเป็นนโยบายรัฐบาล แต่การทำหน้าที่ปกป้องดินแดนเป็นหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ
พล.ต.จำลองกล่าวเสริมว่า ถ้าเรายกกองกำลังไปโจมตีประเทศอื่นต้องรอนโยบายรัฐบาล แต่การป้องกันตัวเอง ต้องทำทันที ตามหลักยุทธวิธีของทหาร การตั้งรับที่ดีที่สุดคือการรุก แต่ไม่ใช่รุกไปเอาบ้านเมืองเขา แต่แค่สั่งสอนว่าที่หลังอย่าทำอีก อย่างตอนที่กัมพูชายิงถล่มไทย เราก็ไม่ทำ ทหารถ้าไม่อยากทำหน้าที่ก็อย่ามาเป็นทหาร เพราะเป็นอาชีพที่อาสามาเป็น ไม่มีใครบังคับมา
นายพิภพกล่าวอีกว่า นอกจากทหารเข้าใจผิดแล้ว ยังลืมไปว่ามีอำนาจที่ไม่จำเป็นต้องรอคำสั่งรัฐบาล นั่นคือการประกาศกฎอัยการศึกในพื้นที่ เมื่อประกาศแล้วจึงแจ้งรัฐบาลให้ทราบ แต่เมื่อจะยกเลิกต้องให้ ครม.มีมติ แล้วพื้นที่ตามชายแดนที่มีปัญหาก็อยู่ในประกาศกฎอัยการศึกอยู่แล้ว การที่รัฐบาลไม่ได้มีมติยกเลิก แสดงว่าให้อำนาจทหารเต็มที่ แล้วทหารจะหลบความรับผิดชอบได้อย่างไร ขอย้ำว่าไม่ได้ให้รุกเข้าไปในเขมร แต่แค่ต้องรักษาพื้นที่ 4.6 ตร.กม.เอาไว้
แล้ววันนี้ศาลโลกตัดสินล้ำแดนเข้ามาอีก ยิ่งเสียดินแดนเพิ่มขึ้นอีก ตนทราบมาว่าเกิดความขัดแย้งระหว่างทหารด้วยกันเอง ที่นับวันปล่อยให้รัฐบาลเข้าไปพัวพันกับศาลโลก จนจะทำเสียดินแดนในที่สุด ทหารต้องตั้งคำถามแล้วว่าจะยอมเสียดินแดนเพราะการดำเนินการผิดพลาดของรัฐบาลนั้นหรือ
พล.ต.จำลองกล่าวว่า แถลงการณ์ฉบับนี้อยากให้ทหารรุ่นน้องที่ดำรงตำแหน่งสำคัญในขณะนี้ ได้นึกถึงอยู่ตลอดเวลาว่ามีหน้าที่ต้องปกป้องดินแดน เรียนมา กินเบี้ยเลี้ยงมา ฝึกมา เพื่อทำหน้าที่หลักอย่างเดียวคือปกป้องดินแดน ตนขอยืนยันโรงเรียนนายร้อยไม่ได้สอนให้ปล่อยปละละเลย ทุกครั้งที่นักเรียนนายร้อยผ่านพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 จะต้องยืนทำความเคารพและเปล่งคำปฏิญาณว่า “ข้าพเจ้าจะรักษามรดกของพระองค์ท่านไว้ด้วยเลือด” มรดกของพระองค์ท่านที่สำคัญที่สุดคือแผ่นดิน เพราะฉะนั้นอย่าเถียงให้ยากว่าต้องรอคำสั่ง รอนโยบาย
ต่อคำถามว่าในที่สุดแล้วภาระในการกดดันเรื่องรักษาอธิปไตยนี้ ต้องมาตกที่ประชาชนหรือเปล่า นายพิภพกล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่าภาคประชาชนทำหน้าที่เต็มที่แล้ว แต่ก็ต้องทำต่อไป และอาจเป็นโอกาสดี ที่คนมีหน้าที่ต้องออกมาทำต่อ ไม่อย่างนั้นประวัติศาสตร์จะบันทึกไว้ว่าเสียดินแดนในสมัยที่คุณมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายแต่กลับไม่ทำ
พล.ต.จำลองกล่าวว่า เราต้องคำนึงว่าถ้าภาคประชาชนทำต่อคุ้มหรือไม่ ไม่คุ้ม เพราะมันเป็นหน้าที่ของรัฐบาลและทหาร ไม่ใช่หน้าที่โดยตรงของประชาชน ประชาชนมีเพียง 2 มือเปล่า แต่รัฐบาล ทหารมีอำนาจ มีอาวุธครบ จะให้ประชาชนทำหน้าที่แบกแผ่นดินแบกไม่ไหวหรอก ถ้าผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองไม่ออกมาทำอะไรเลย แล้วไทยเสียดินแดน เราก็ไม่เสียใจเพราะได้ทำเต็มที่แล้ว แต่ถ้าถึงคราวจำเป็นก็ต้องเป็นไป หลายคนที่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่มันเป็นความผิดของคนเหล่านั้น
ส่วนกรณีศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ได้ยกคำร้องที่ พล.ต.จำลองไปร้องขอให้เพิกถอนการเลือกตั้ง และจัดการเลือกตั้งใหม่ โดยศาลระบุว่าไม่มีกฎหมายใดบัญญัติให้ศาลมีอำนาจ โดย พล.ต.จำลองกล่าวว่า ตนต้องเรียนต่อท่านผู้ชมว่า ที่ไปร้องศาลเราไปทำตามหน้าที่ที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าประชาชนต้องไปใช้ สิทธิเลือกตั้ง และรัฐต้องอำนวยความสะดวกให้ใช้สิทธิได้โดยง่าย แต่ที่ผ่านมา 2 ล้านกว่าคนที่ไปแล้วไม่สามารถเลือกตั้งได้ ศาลนี้ชื่อก็บอกว่าเกี่ยวกับการเลือกตั้ง และตนก็ทำตามคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย มั่นใจว่ามีเหตุผลพร้อมมูล แล้วได้ยื่นเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมด้วย แต่ศาลคงไม่วินิจฉัยเพราะถืออย่างเดียวว่าไม่มีกฎหมายบัญญัติ
ซึ่งต่อไปตนต้องไปฟ้องศาลอาญา ไม่ได้ตั้งใจเอาเรื่อง กกต. แต่เมื่อไม่มีศาลไหนมาช่วยตน และอีก 2 ล้านกว่าคนที่เสียสิทธิเลือกตั้ง ก็ต้องหาที่พึ่งด้วยการไปศาลอาญา ไม่ได้กลั่นแกล้งและเห็นใจ กกต.มากด้วย แต่ไม่มีทางเลือก
นายพิภพกล่าวถึงกรณีนี้ว่า คนเสียสิทธิ 2 ล้านกว่าคน ต้องตำหนิ กกต.ที่ไม่รณรงค์ สุดท้ายนางสดศรีมาอ้างว่ากฎหมายมีไว้แล้ว กกต.จะพูดอย่างนี้ไม่ได้