“ปานเทพ” เชื่อถ้าศาลโลกตรงไปตรงมา 18 ก.ค.นี้จะไม่สั่งคุ้มครองชั่วคราวพื้นที่พระวิหาร แต่หวั่นผลประโยชน์ทางพลังงานที่มหาอำนาจจ้องงาบ อาจมีการล็อบบี้ทำศาลโลกเพี้ยน แนะจับตารัฐบาลแอบปล่อยผู้สังเกตการณ์อินโดฯ เข้าไทย เริ่มเห็นชัด “มาร์ค” ส่งของต่อให้รัฐบาลหน้า ด้าน “เทพมนตรี” ลั่นถ้า “ประยุทธ์” ยอมถอนทหารตามคำสั่งรัฐบาล จะเป็น ผบ.ทบ.คนแรกที่ทำไทยเสียดินแดนในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ “คนเคาะข่าว”
เมื่อเวลา 20.30 น. ในรายการ “คนเคาะข่าว” นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และนายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ ร่วมพูดคุยในรายการ
นายเทพมนตรีกล่าวว่า ถ้าวันที่ 18 ก.ค.นี้ หากศาลโลกตัดสินคุ้มครองชั่วคราวตามที่กัมพูชาร้องขอ เราก็ไม่ต้องไปยอมรับ เพราะไม่ยอมรับอำนาจศาล แต่เราผิดพลาดตั้งแต่ตัดสินใจไปศาลแล้ว ฉะนั้นวันนี้นายธานี ทองภักดี (อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ) ก็แถลงการณ์ว่าศาลโลกคงไม่ตัดสินเรื่องเขตแดนเพราะศาลไม่มีสิทธิ มันก็เหมือนตอนปี 2505 ศาลตัดสินเขตแดนไม่ได้ แต่อุบัติเหตุปี 2505 ศาลใช้กฎหมายปิดปาก และแค่ชี้อำนาจอธิปไตยเหนือตัวปราสาท
หากวิเคราะห์แนวโน้มการตัดสินของศาลโลก จากการต่อสู้ของไทย-กัมพูชา คิดว่าศาลโลกต้องระมัดระวัง แม้ศาลนี้ล็อบบี้ได้ และที่ประชุมสหประชาชาติเป็นคนแต่งตั้งขึ้นมา แต่ส่วนใหญ่จะเป็นคนมีเกียรติยศ มีชื่อเสียงพอสมควร มองในแง่ดีเขาจะไม่ตัดสินปัญหานี้ อาจต้องยืนตามคำพิพากษาเดิมตอนปี 2505 แต่ถ้าตัดสินคุ้มครองชั่วคราว ตนก็มีแผนในอนาคต ในเมื่อเล่นเรากับศาลโลก ถ้าศาลสั่งมาตรการคุ้มครองชั่วคราวแล้วไทยยอมรับ โดยการที่บอกกับประชาชนว่าต้องยอมรับนะ ไม่อย่างนั้นคณะมนตรีความมั่นคงฯ จะส่งกองกำลังเข้ามา ถ้าเชื่อแบบนั้น ต่อไปในอนาคตเราอาจต้องทำสำนวนฟ้องศาลโลกใหม่ คราวนี้คือเอาปราสาทพระวิหารคืน จะเล่นเกมนี้กันไหมล่ะ
แต่อย่างว่าพลาดตั้งแต่ที่เรายอมไปศาลแล้ว แสดงให้เห็นว่าไทยยอมรับอำนาจศาลใช่หรือไม่ เพราะก่อนการไปขึ้นศาลโลก ต้องมีการเซ็นอะไรแล้วสักอย่าง แต่ประชาชนไม่รู้เรื่องเลย ถ้าเป็นอย่างนั้นต้องผ่านการเห็นชอบของสภาตามมาตรา 190 เพราะกำลังไปสู้เรื่องดินแดน
นายปานเทพกล่าวว่า เราเหลือเวลาอีก 4 วัน จะถึงวันที่ 18 ก.ค. ถึงตอนนั้นเรายังมีรัฐบาลรักษาการเป็นพรรคประชาธิปัตย์ เพราะฉะนั้นเหตุเกิดอะไรก็ตามมันเป็นรอยต่อที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ว่าหลังจากนี้ไม่ว่ามาตรการจะออกมาในทางไหนจะเป็นผลที่เกิดขึ้นในรัฐบาลประชาธิปัตย์ และต่อเนื่องไปยังพรรคเพื่อไทย
“ลองคิดตามไปว่า ถ้าเราเสียดินแดนไปไกลกว่านี้จากเวทีศาลโลก คิดว่านายอภิสิทธิ์จะพูดอะไรได้ ในยามที่เป็นฝ่ายค้าน เพราะตัวเองเป็นคนนำพาไปสู่กระบวนการของศาลโลก หรือวันหนึ่งในเวทีมรดกโลก ถ้ามีการเดินกลับเข้าไปอีกครั้งหนึ่ง แล้วทำให้ไทยถูกรับรองให้แผนบริหารการจัดการฯเดินหน้าต่อไป โดยยึดแนวทางที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้ยืนลงนามเอาไว้ตั้งแต่ปี 2553 เมื่อถึงเหตุการณ์นั้นอภิสิทธิ์จะพูดอะไรในสภาได้ เมื่อตอนเป็นฝ่ายค้าน หรือแม้กระทั่งสถานการณ์ที่เราถูกรุกรานแผ่นดิน อภิสิทธิ์จะพูดอะไรได้ เพราะตัวเองทำเหมือนเขาหมด ตรงนี้ประชาชนคนไทยควรที่จะติดตาม” นายปานเทพ กล่าว
นายปานเทพกล่าวอีกว่า ส่วนแนวโน้มคำตัดสินของศาล ถ้าตัดเรื่องการล็อบบี้และการเมืองระหว่างประเทศออกไปก่อน แนวทางที่ไทยต่อสู้ ทำได้ค่อนข้างดีเหตุผลคล้ายบนเวทีพันธมิตรฯ ยกเว้นหัวใจหลัก 3 ประการ คือ 1.ไม่ได้ต่อสู้ในการใช้ข้อสงวนที่ไทยคัดค้านเอาไว้ในคำตัดสินของศาลปี 2505 เพราะไทยไปยึดใช้เอ็มโอยู 2543 เลยยึดใช้ข้อสงวนไม่ได้ เพราะต้องมาตกลงกันใหม่ระหว่างไทย-กัมพูชา 2.เมื่อไม่ใช้ข้อสงวน ไทยจึงกลายเป็นฝ่ายที่ไม่ยืนยันเส้นเขตแดนตัวเอง ในขณะที่กัมพูชายืนยันเส้นเขตแดนตัวเอง คือแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 แถมยังใช้ MOU 2543 ด้วยว่า การทำหลักเขตแดนให้ทำในสิ่งที่ปักปันกันไว้แล้วตามแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000
3.คือฝ่ายไทยไปต่อสู้ว่าศาลโลกไม่มีอำนาจในการตัดสินมาตรการคุ้มครองชั่วคราว แต่ฝ่ายภาคประชาชนมองว่าเราควรจะสู้ว่าศาลไม่มีอำนาจโดยที่เราไม่ยอมรับอำนาจศาลด้วย เพราะถ้าศาลบอกว่าเขามีอำนาจแล้วจะทำอย่างไร การพิจารณาที่ยืดเยื้อมาขนาดนี้ แล้วเขาให้เรามีการส่งเอกสารเพิ่มเติม แสดงว่าเขากำลังพิจารณาว่าเขามีอำนาจ แสดงว่าวันที่ 18 นี้ มีแนวโน้มที่ศาลจะบอกว่าตัวเองมีอำนาจ
แต่แนวโน้มจะเป็นคุณเป็นโทษ ถ้าดูตามเหตุตามผลเชื่อว่าไม่น่าจะออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวให้ ตนไม่ได้ห่วงประเด็นที่ว่าเราสู้ได้ดีหรือไม่ แต่ห่วงเรื่องการล็อบบี้ และผลประโยชน์ข้ามชาติ การเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะมหาอำนาจ และผลประโยชน์ทางพลังงาน ตามนายสนธิเคยพูดไว้ว่ามันเหมือนทุกรัฐบาลส่งต่อในเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชา เพื่อจะลามผลประโยชน์ทางทะเล ที่ต้องตกลงกันต่อไป ทันทีที่พรรคเพื่อไทยได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง กัมพูชาประกาศเลยว่าสิ่งแรกที่ต้องทำคือแบ่งผลประโยชน์ทางพลังงานในอ่าวไทย
แล้วมันก็สอดคล้องทันทีที่วิกิลีกส์ ออกมาลงข่าวว่าเมื่อปี 2549 ก่อนเกิดรัฐประหาร มีหลักในการแบ่งรายได้ที่เตรียมกันมาแล้ว คือ สัดส่วนไทย 80 เปอร์เซ็นต์ กัมพูชา 20 เปอร์เซ็นต์ ในฝั่งใกล้ๆฝั่งไทย ส่วนตรงกลางแบ่ง 50-50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนบริเวณใกล้ๆกับกัมพูชาไทยได้ 20 เปอร์เซ็นต์ กัมพูชาได้ 80 เปอร์เซ็นต์
แต่บังเอิญว่าถ้าตามหลักเส้นมัธยัสถ์ทั้งหมด หรือแบ่งตามวิธีทางวิทยาศาสตร์ ตามมาตรฐานสากล มันควรเป็นของไทยไม่ใช่กัมพูชา ตรงนี้เป็นหัวใจสำคัญที่เป็นผลประโยชน์มหาศาล
ที่น่าสนใจคือ เชฟรอน บริษัทขุดเจาะสำรวจน้ำมัน มีความสนใจอย่างมากในการได้รับสิทธิในการสำรวจบ่อน้ำมันในพื้นที่ทับซ้อน โดยนายฟลาเฮอร์ตี กรรมการผู้จัดการใหญ่ของเชฟรอน ในปี 2550 กล่าวว่าพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยนั้นเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ดีที่สุดในโลก สำหรับการสำรวจ และอาจเปลี่ยนแปลงกัมพูชาแบบพลิกโฉม
ส่วนบล็อกเอ ไม่มีความสำคัญพอที่จะสำรวจ และทำกำไรได้โดยลำพัง แสดงว่าเขากำลังคิดเรื่องการทำสัมปทานในฝั่งกัมพูชามากกว่า การแบ่ง 80 เปอร์เซ็นต์ให้กัมพูชา และไทยได้ 20 เปอร์เซ็นต์ ในส่วนที่ใกล้กัมพูชา บล็อกเอ มันคือผลประโยชน์ชิ้นใหญ่ที่มหาอำนาจเฝ้ารออยู่ จึงไม่แปลกใจที่ทุกฝ่ายถึงเอื้ออำนวยที่จะทำให้ผลประโยชน์เขตแดนไทย-กัมพูชา ไปตกอยู่ในฝั่งกัมพูชา ตรงนี้ต่างหากที่เป็นห่วงว่าศาลโลกจะไม่ได้ยึดข้อเท็จจริง โดยที่ฝ่ายไทยไม่ประกาศว่าไม่ยอมรับศาลโลก ดังนั้น 18 ก.ค. จึงเป็นวันชี้ขาดว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์จะมอบผลประโยชน์ชิ้นใหญ่โตนี้ ส่งต่อให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์หรือไม่
“อยากชวนมาสังเกตดูว่าหลังพันธมิตรฯยุติชุมนุม เรามีผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซีย ไปสำรวจพื้นที่ แล้วพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งน่าจะเป็นคนที่สั่งการ กลับทำเป็นว่าอ่าว ลงไปแล้วหรือ แล้วก็ไม่ปฏิเสธอะไร เหมือนว่าจะมีมาตรการอะไรบางอย่าง ที่เราควรจะต้องสังเกตว่ารัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลรักษาการ สิ่งที่ ผบ.ทบ. รมว.กลาโหม ผบ.เหล่าทัพ รวมถึงรัฐบาล ทหารไทย ไม่ยินยอมให้ผู้สังเกตการณ์เข้ามา เพียงเพราะว่ากัมพูชายังไม่ออกจากแผ่นดินไทย เพราะการเข้ามาสำรวจเป็นการว่าเริ่มนับ 1 ว่าพื้นที่เป็นอย่างไร ห้ามยิงซึ่งกันและกัน ห้ามผลักดันซึ่งกันและกัน ก็เท่ากับถูกบันทึกเอาไว้แล้ว มันเหมือนมีขบวนการถ้าไม่ทิ้งทวน ก็เตรียมส่งมอบให้รัฐบาลชุดหน้า การเชิญผู้สังเกตการณ์เข้ามาแบบนี้ มันก็ต้องมีกระทรวงต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม ทำงานร่วมกัน ซึ่งมันบังเอิญตรงกับที่คุณสนธิบอก ว่ามีการส่งของต่อให้รัฐบาลชุดหน้า เพื่อให้มีความสมบูรณ์” นายปานเทพกล่าว
นายเทพมนตรีกล่าวว่า ถ้าศาลโลกสั่งคุ้มครอง และไทยยอมรับ ซึ่งก็อาจเป็นรัฐบาลรักษาการนี่แหละ หากสั่งให้ถอนทหารออกจากพื้นที่ แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ยอมทำตาม จะเป็น ผบ.ทบ.คนแรกของประเทศไทย ที่ทำให้เราเสียดินแดนในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในปีมหามงคลนี้