“ชูวิทย์” ยันขอเป็นฝ่ายค้านจนครบสมัย แม้รัฐบาลเปลี่ยนขั้วก็จะไม่ขอตามไป แนะ “แม้ว” อยากกลับไทยก็ต้องยอมติดคุก ชี้อำนาจตุลาการเป็นอำนาจที่ต้องยอมรับ ไม่อย่างนั้นก็ออกจากสังคมนี้ไป ลั่นงานแรกขอดูหน้าตา ครม. “ปูจ๋า” เชื่อบ้านเลขที่ 111-109 ส่งลูกเมียมาเพียบ แต่ก็พร้อมทำหน้าที่วิจารณ์ให้ถึงที่สุด
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ “คนเคาะข่าว”
เวลาประมาณ 20.30 น. วันที่ 6 ก.ค. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ได้ร่วมรายการ “คนเคาะข่าว” ทางเอเอสทีวี โดยมีนางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ เป็นผู้ดำเนินรายการ นายชูวิทย์กล่าวว่า การหาเสียงของประชาธิปัตย์พลาดอย่างใหญ่หลวง โดยการที่เอานโยบายไปแข่งกับเพื่อไทย แต่ถ้าพูดประโยคเดียวล้มได้เลย นั่นคือ “ทักษิณ” พูดว่าทำอะไรผิดบ้าง พูดในจุดเด่นของตัวเอง แต่พอพูดเรื่องนโยบาย ประชาชนเห็นแล้วว่าบริหาร 2 ปีมานี้ใช้ไม่ได้ คนเบื่อ มานึกออกตอนอาทิตย์สุดท้าย ซึ่งมันไม่ทันแล้ว
อีกพรรคคือพรรคคนดี (พรรครักษ์สันติ) คิดว่าตัวเองจะได้เป็นนายกฯ เลอะเทอะ ประชาชนไม่ได้โง่ แต่ตนรู้ตั้งแต่ต้นว่าคนไทยเบื่อนักการเมือง เบื่อพรรคการเมือง พูดอย่างทำอย่าง เลยขอประกาศชัดเจนแต่แรกว่าขอเป็นฝ่ายค้าน บอกได้เลยทำไมคนถึงเลือกพรรครักประเทศไทย เพราะตนชัดเจน ขอเป็นฝ่ายค้านตั้งแต่ต้น แล้วก็เริ่มงานเลย ส่วนประชาธิปัตย์ยังเศร้าอยู่ ตนเลยต้องไปปลอบใจ แต่ละคนในพรรคนั่งก้มหน้าเศร้า เป็นฝ่ายค้านไม่ได้แพ้นะ ฝ่ายค้านก็ทำงานให้ประเทศชาติได้เหมือนกัน
นายชูวิทย์กล่าวอีกว่า ถ้าตนเป็นคุณปู (น.ส.ยิ่งลักษณ์) จะบอกเลยว่าคณะรัฐมนตรีที่จะตั้งจะไม่ใช้โควต้า ได้มาตั้ง 265 เสียง จะสนใจพรรคร่วมอย่างนี้ทำไม เอาเขาเข้ามาแต่ขอบอกไว้ก่อนว่าจะเอาแต่คนที่มีความรู้ความสามารถมาเป็นรัฐมนตรี รู้ว่าคุณปูไม่มีสิทธิ์ เพราะสิทธิ์การตัดสินใจอยู่ที่นายทักษิณ
นายชูวิทย์กล่าวต่อว่า หลังเลือกตั้งมีคนติดต่อมาให้ตนไปร่วมรัฐบาลด้วย แต่ตนบอกเลยว่าไม่ต้องห่วง จัดไปเลย ไม่อยากเป็นรัฐบาล ทำฝ่ายค้านสนุกกว่าเยอะ คนเราไม่สามารถเก่งได้ทุกอย่าง คนที่เป็นฝ่ายบริหารต้องมีอีกเซนส์หนึ่ง เซนส์ครีเอต และโพสิทีฟ แต่ฝ่ายค้านคือเซนส์เนกาทีฟ เช่น ทนายความ สื่อ ที่ต้องคอยตั้งคำถาม ตรวจสอบ ซึ่งตนชอบที่จะตั้งข้อสงสัย คิดว่าทำตรงนี้ได้ดีกว่า และจะเป็นฝ่ายค้านเต็มสมัย ไม่ใช่อยากสลับไปเป็นรัฐบาล
“วันนึงแม้เปลี่ยนขั้วอภิสิทธิ์ไปเป็นรัฐบาล ผมก็ยังจะขอเป็นฝ่ายค้าน เป็นเต็ม 4 ปีนี้แน่ ไม่ใช่หมายถึงสมัยหน้านะ ไม่ได้หวังล้มรัฐบาลเพื่ออยากไปเป็นเอง” นายชูวิทย์กล่าว
นายชูวิทย์กล่าวอีกว่า พรรคการเมืองบางพรรคไม่ใช่พรรค แต่เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด เป็นบริษัทจำกัด ลงทุนแล้วต้องได้ทุนคืน คิดอย่างนี้ไม่ใช่พรรคแล้ว มันเป็นการหากำไรทางธุรกิจ
ตนคิดว่านักการเมืองต้องเปลี่ยนบ่อยๆ แล้วจะดี ไม่อย่างนั้นเลอะเทอะ คิดว่าควรให้เกษียณตอนอายุ 60 นี่ก็ถือว่าเยอะแล้ว แต่ทุกวันนี้ 70-80 ยังนั่งอยู่ในสภาเลย เป็นแบบนี้น่าเบื่อ บางพรรคก็เห็นอยู่หัวหน้าพรรคไม่ใช่ตัวจริง มันเป็นระบบนอมินีกันทั้งสิ้น
คอยดูรัฐบาลชุดนี้เดี๋ยวต้องส่งลูกส่งเมียมา เพราะติดอยู่บ้านเลขที่ 111 และ 109 ส่งมาแน่นอน ตนก็จะวิจารณ์ให้เวลาลองทำงาน 6 เดือน 180 วัน ส่วนไอกระทรวงที่ตามมาเก็บงานเก่าให้เวลา 30 วันก็พอ วันนั้นกลางสายฝน น.ส.ยิ่งลักษณ์ปราศรัยจะยกเลิกกองทุนน้ำมัน อ่านโน้ตแล้วก็บอกจะให้โน่นให้นี่ ตนก็จะมาตามให้ว่าทำได้จริงหรือเปล่า หาเสียงไว้อย่างนี้ต้องรีบทำด้วย และเมื่ออภิปรายในสภา หากประธานสภาไม่ฟังเพราะก็เป็นพวกเดียวกัน ก็ต้องไปพูดกับสื่อต่อ หากสื่อไหนไม่กล้าเสนอ ก็จะไปบอกสื่ออื่นที่กล้า
เมื่อถามว่าคิดว่าจะทำงานร่วมกับประชาธิปัตย์ได้หรือเปล่า เพราะตามมารยาททางการเมืองแล้วไม่ควรทำเกินหน้าเกินตาพรรคใหญ่ นายชูวิทย์กล่าวว่า นักการเมืองมีมารยาทด้วยหรือ รัฐธรรมนูญไม่ได้จำกัดสิทธิ์พรรคเล็กให้ต้องพูดน้อย ต้องเกรงใจพรรคใหญ่ จะว่าตนบ้า มีสีสัน ท้ายที่สุดคิดว่าตนยังดีกว่าหลายๆ คนในสภา
นายชูวิทย์กล่าวต่อว่า ไม่หนักใจหากถูกโจมตีถึงภูมิหลัง อาชีพเก่า เชื่อว่ามีคนจำนวนมากที่เชื่อตน เพราะพูดตรงไปตรงมา เวลาผิดตนก็ขอโทษ กล้าทำก็กล้ารับ ทำอาชีพอะไรมาก็รับ ไอคนที่ทำแล้วไม่รับแย่กว่า
ส่วนกรณีที่จะเอาแกนนำเสื้อแดงมาเป็นรัฐมนตรี ตนรู้เกมนี้ ว่าวันนี้ไม่เอาหรอก มันเป็นจุดบอด คนที่อยู่เมืองนอกไม่ใช่เบา เขาไม่พลาดอีกแล้ว พวกเสื้อแดง 91 ศพ วันนี้ต้องตามอยู่ ไปตามสิ ต้องตามนายธาริต ไม่ใช่ตามนายคณิต เอาขึ้นมาเลยว่าคดีเป็นอย่างไรถึงไหนบ้าง ต้องรือฟื้นทุกคดี ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิดมันถึงจะปรองดอง และคนที่อยากกลับบ้านก็มาเลย ที่บอกว่าอยากเปลี่ยนสถานะก่อนกลับมา ทั้งที่สถานะนี้ที่ได้มาก็ทำด้วยตัวเอง มาก็มารับโทษ สองปีก็หลุดแล้วเผลอๆได้ลดโทษด้วย แต่เชื่อว่าไม่กลับมาหรอก
ปัญหาอีกอย่างที่ชาวบ้านไม่ปรองดองไม่ใช่เพราะไม่อยากปรองดอง แต่เพราะนักการเมืองไปปลุกระดม เป่าหูทุกวัน โชคดีทุกวันนี้ติดคุกไปคนหนึ่งไม่อย่างนั้นก็พูดทุกวัน
นายชูวิทย์กล่าวว่า การที่เข้ามาเล่นการเมืองเพราะเป็นช่องทางเพื่อปฏิบัติภารกิจที่อยากทำ แม้อาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดแต่ก็ยังดีกว่าวิจารณ์โดยไม่ทำอะไร ถือเป็นมิชชั่นไม่ใช่อาชีพ เหมือนการเกณฑ์ทหาร ไม่ได้หวังอยู่จนอายุ 70-80 อาจจะอยู่แค่ 5 ปี แต่วันนี้มาชดใช้งานบางอย่าง การเมืองเป็นเรื่องของทุกคนไม่ใช่คนที่ซ้ำซากไม่ยอมไป จะไปก็ยกให้ลูกด้วย ยกทรัพย์สมบัติให้สิ ไม่ใช่ยกประเทศให้
สุดท้ายผู้ดำเนินรายการถามถึงการนิรโทษกรรม นายชูวิทย์กล่าวว่า ยืนยันว่าตนเคยติดคุกมาแล้ว อำนาจตุลาการเป็นอำนาจที่มั่นคงสุด คนไทยให้ความเชื่อถือสุด เมื่ออำนาจตุลาการตัดสินมาอย่างนั้นก็ต้องยอมรับ ไม่อย่างนั้นก็ออกจากสังคมนี้ไป กลับเข้ามาก็ต้องเคารพกติกานี้