“ปานเทพ” โต้ “ลูกเทือก” มักง่ายกล่าวหาคนโหวตโนเชื่อ “สนธิ” จนทำให้ ปชป.แพ้ แจงผลโพล ปชป.เสียฐานเสียงเดิมให้ “เพื่อไทย-รักประเทศไทย-โหวตโน” แสดงให้เห็นว่าเสื่อมลงด้วยตัวเองอย่าโทษคนอื่น ด้าน “ผศ.ทวี” ชี้ผลเลือกตั้งพรรคเล็กโกยคะแนนเพียบชี้ชัดประชาชนเบื่อการเมืองระบอบเก่า ไม่เชื่อน้ำหน้า “ยิ่งลักษณ์” สมานรอยร้าวในสังคมได้ และเมื่อถึงทางตันโอกาสทหารยึดอำนาจก็เป็นไปได้มาก
เวลาประมาณ 20.30 น.วันที่ 5 ก.ค. ในรายการ “คนเคาะข่าว” ทางเอเอสทีวี มีนายเติมศักดิ์ จารุปราณ เป็นผู้ดำเนินรายการได้เชิญ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ ผศ.ทวี สุรฤทธิกุล อ.ประจำสาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ร่วมพูดคุยในรายการ
นายเติมศักดิ์กล่าวถึงกรณีนายแทน เทือกสุบรรณ บุตรชายนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เผยแพร่ข้อความลงเฟซบุ๊กส่วนตัว ในหัวข้อ “10 เหตุผลที่ชาวประชาธิปัตย์ไม่ควรเสียใจ” โดยมีข้อหนึ่งระบุว่า หลายเขตเราแพ้อย่างเฉียดฉิว แต่ถ้ารวมคะแนนโหวตโน (ที่สนธิขโมยเราไปให้ทักษิณ) เราชนะเกือบทุกเขตใน กทม.หลายเขตทั่วประเทศ และบัญชีรายชื่ออีกหลายคน ถ้านับรวมแล้ว ปชป.ควรได้ ส.ส.ประมาณ 200 ที่นั่ง ซึ่งมากกว่าคราวที่แล้วมาก เชื่อได้ว่าครั้งต่อไปประชาชนจะไม่หลงเชื่อบุคคลเหล่านี้อีก
ผศ.ทวีกล่าวว่า ผลเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคเล็กๆ โกยคะแนนไปจากพรรคกลางๆ จำนวนมาก มันเป็นสัญญาณการประชดประชันสังคม ประชาธิปัตย์โดนสั่งสอน การวางแผนเลือกตั้งครั้งนี้น่าจะมีอะไรเข้มข้นกว่านี้ แต่ปรากฏว่าไปเล่นตามเกมเพื่อไทย ไม่มีการเสนอตัวให้โดดเด่น ประเด็นล้างพิษระบอบทักษิณ ประชาชนรู้ไส้รู้พุงหมดแล้วว่าสองปีที่ผ่านมาทำอะไรอยู่ ไม่เกิดผลกระชากใจ ประชาธิปัตย์ยังเป็นอนุรักษ์นิยมหากินกับฐานเสียงเก่าๆ ไม่มีคนใหม่ๆเข้ามา
ที่นายแทน เทือกสุบรรณ พูดว่าคะแนนโหวตโนดึงประชาธิปัตย์ มันคนละเรื่องเลย คนที่โหวตโนมั่นคงอยู่แล้วว่าจะลงคะแนนอย่างไร ดูได้จากแบบแบ่งเขตมีคนโหวตโนถึง 1.4 ล้านเสียง แบบปาร์ตี้ลิสต์ 9.5 แสนเสียง แสดงว่าระบบปาร์ตี้ลิสต์มีพรรคต้องการให้คะแนน แต่ระบบเขตโชว์คนที่จะเลือก เพราะฉะนั้นการไม่เลือกคนเหล่านี้ด้วยคะแนนค่อนข้างมากถือว่ามีนัยยะสำคัญ แสดงให้เห็นว่าโหวตโนไม่ใช่คะแนนที่เสียเปล่า แต่แสดงให้เห็นถึงพลังทางด้านสังคมอย่างชัดเจน คือการต่อต้านไม่เอาพวกนักเลือกตั้งที่มาลงสมัคร
นายปานเทพกล่าวว่า ตนขอตั้งคำถามให้ประชาชนคิดตาม 1.ตกลงไม่ประสงค์ลงคะแนนมากหรือน้อย ถ้าน้อยหรือเท่าเดิม ประชาธิปัตย์จะอ้างได้อย่างไรว่าแพ้เพราะโหวตโน แต่ถ้ามากทำไมไม่มากเท่าที่ควร กำลังแสดงเห็นใช่หรือไม่ว่ามันมากอยู่ในส่วนของบัตรเสีย 2.นายแทน เทือกสุบรรณ ให้ความเห็นว่าประชาธิปัตย์แพ้เพราะโหวตโน เป็นความคิดที่รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง มันมีผลสำรวจเอ็กซิทโพลของมหาวิทยาลัยศรีปทุม เป็นการไปดูว่าฐานเสียงเปลี่ยนไปหรือไม่ แม้ว่าโพลจะเชื่อไม่ได้ แต่น่าจะเป็นตุ๊กตาเพื่อให้ประชาชนเห็นว่าประชาธิปัตย์แพ้ไม่ใช่เพราะโหวตโน
เช่นคนใน กทม.ที่เคยเลือกประชาธิปัตย์กลับมาเลือกประชาธิปัตย์ 68.52 เปอร์เซ็นต์ หายไปกาให้เพื่อไทย 14.34 เปอร์เซ็นต์ อย่างนี้โทษโหวตโนอย่างเดียวไม่ได้ แสดงว่าตัวเองมีปัญหา ใน กทม.เพื่อไทยก็เสียให้ประชาธิปัตย์ด้วยแต่แค่ 7.3 เปอร์เซ็นต์ ประชาธิปัตย์ยังเสียคะแนนเสียงให้พรรครักประเทศไทย 6.96 เปอร์เซ็นต์ แสดงว่าคนเคยเลือกประชาธิปัตย์ตอนปี 50 พอเห็นเพื่อไทยก็ไม่เอา เบื่อประชาธิปัตย์ และไม่อยากเป็นพันธมิตรฯ เลยเลือกชูวิทย์ดีกว่า
ส่วนโหวตโนทำประชาธิปัตย์เสียฐานเดิม 5.70 เปอร์เซ็นต์ น้อยกว่าชูวิทย์อีก โทษโหวตโนทำแพ้ฟังไม่ขึ้น ต้องโทษว่าทำไมคนเปลี่ยนไปเลือกอย่างอื่น จะมาบอกว่าเชื่อนายสนธิมักง่ายไป หรือกระทั่งพรรคพลังชลก็ได้คะแนนเพิ่มอย่างมีนัยยะสำคัญที่ภาคกลางซึ่งเดิมทีเป็นฐานประชาธิปัตย์ โทษโหวตโนไม่ได้ต้องโทษตัวเอง
กรุงเทพฯ ชัดสุด โหวตโนทำประชาธิปัตย์หายไป 5 ที่นั่ง จะเกิดผลคือร่นระยะจาก 100 ที่นั่ง ระหว่าง 265 และ 159 ได้ลดมาแค่ 10 ที่นั่ง ส่วนบัญชีรายชื่อปรากฎว่าประชาธิปัตย์ได้คะแนนเสียงจาก 12.1 ล้าน ในปี 50 ปีนี้ได้ 10.1 ล้าน ไม่ใช่น้อยๆ มาโทษโหวตโนไม่ได้ เพราะปาร์ตี้ลิสต์มีแค่ 9.5 แสนคะแนน ประชาธิปัตย์เสื่อมลงด้วยตัวเอง
เมื่อมาดู 2 ล้านที่หายไป โหวตโนเป็นส่วนหนึ่ง แต่ที่ชัดเจนคือเสียไปกับนายชูวิทย์ เพื่อไทยก็เสียให้นายชูวิทย์ แต่ไม่มากเท่าประชาธิปัตย์ ทั้งประเทศประชาธิปัตย์เสียให้พรรครักประเทศไทย 2.49 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเพื่อไทยเสียให้นายชูวิทย์ 1.44 เปอร์เซ็นต์ และการที่นายชูวิทย์ไปอยู่ฝ่ายค้านอาจทำประชาธิปัตย์เสียแต้มมากขึ้นเพราะบทบาทชูวิทย์เป็นฐานเสียงหลักจากประชาธิปัตย์
“ที่สำคัญประชาธิปัตย์เสียฐานเสียงเดิมให้เพื่อไทยทั่วประเทศ 18.84 เปอร์เซ็นต์ เกือบ 20 เปอร์เซ็นต์ นี่แสดงว่าเป็นปัญหาใหญ่เชิงบริหารของประชาธิปัตย์เอง โพลนี่วัดไม่ได้แต่พอเป็นตุ๊กตาให้เห็นได้ว่าประชาธิปัตย์เสียให้เพื่อไทย 18.84 เปอร์เซ็นต์ เพื่อไทยเสียให้ประชาธิปัตย์ 10 เปอร์เซ็นต์กว่า หักลบแล้วเหลือประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์ ก็ยังเยอะอยู่ สรุปประชาธิปัตย์เสียคะแนนให้เพื่อไทย พรรคทางเลือก โหวตโน เสื่อมลงด้วยตัวเอง แพ้ภัยตัวเอง ไม่ควรโทษคนอื่น” นายปานเทพกล่าว
นายปานเทพกล่าวอีกว่า ประชาธิปัตย์เป็นพรรคสภา ไม่มีการจัดตั้งมวลชน มีแต่พันธมิตรฯเท่านั้น แต่ก็ถูกทำลาย ทอดทิ้ง จากการให้สัมภาษณ์ของนายสุเทพหลายครั้งที่ให้แสดงให้เห็นถึงทัศนคติที่ไม่เอามวลชน เช่น บอกว่าทั้งเหลือง-แดง เป็นตัวทำลายประเทศ ทั้งทักษิณ-สนธิ เป็นคนเลว
นายเติมศักดิ์กล่าวอีกว่า นายแทน เทือกสุบรรณ ระบุข้อที่ 8 ว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นสถาบันทางการเมือง ไม่ได้เป็นสมบัติประจำตระกูลของใคร เพราะฉะนั้นตราบใดที่ประเทศไทยยังไม่สิ้นคนดี ตราบนั้นประชาธิปัตย์จะยังคงอยู่ ผิดกับพรรคเพื่อไทย ถ้าไม่มีทักษิณ ทุกอย่างก็จบ
ผศ.ทวีกล่าวเสริมว่า ประชาธิปัตย์ต้องถามผู้บริหารพรรคด้วยว่าตลอดระยะเวลานี้ภูมิใจแล้วหรือที่เป็นสถาบันแบบนั้น อย่างที่วิเคราะห์ประชาธิปัตย์ทิ้งสนามอีสานให้ภูมิใจไทยจัดการ มันผิดทฤษฎีในการทำงานมาก เพราะภูมิใจไทยไม่เคยทำงานด้านมวลชน
ความเป็นสถาบันอีกอย่างที่หายไป คือ ภาพลักษณ์ในเชิงจริยธรรม การไปกอดกันตั้งรัฐบาลโดยไม่อายฟ้าดิน ก็เห็นชัดเจนว่าทิ้งหลักการที่สร้างประชาธิปัตย์ให้ยิ่งใหญ่ อย่างช่วงรัฐธรรมนูญปี 40 ก็ดีไซน์มาในกระแสปฏิรูป ประชาธิปัตย์ก็อยู่ในกระแสตอนนั้น แต่คนเหล่านั้น ไม่เก็ทกระแสการเมืองภาคประชาชนเลย กลับทอดทิ้งประชาชน ปรากฎการณ์ครั้งนี้เห็นได้ชัด เสียไปประมาณ 7-8 ล้านเสียง มากมายมหาศาล สุดท้ายเรื่องสถาบันของพรรคประชาธิปัตย์มันต้องอยู่ที่ผลงาน
นายปานเทพกล่าวเสริมว่า สถานการณ์ตอนนี้ถ้าโทษโหวตโน ถ้ามองไม่เป็นไปในทางวิทยาศาสตร์ ก็จะเสื่อมลงไปอีก ทุกอย่างเทไปที่ภูมิใจไทยจนประชาธิปัตย์เสื่อมลง ผลักพันธมิตรฯไปเป็นศัตรู ภูมิใจไทยไม่ได้วางรากฐานพลังมวลชนอย่างยั่งยืน แต่เพื่อไทยมีทั้งโรงเรียนเสื้อแดง หมู่บ้านเสื้อแดง จานดาวเทียม วิทยุชุมชน เขาเข้าใจการจัดตั้งพลังมวลชน ที่ต้องเสียคะแนนให้เพื่อไทย เพราะไม่จัดการทุกอย่างให้เสร็จทางกระบวนการยุติธรรมก่อนยุบสภา การใช้สื่อของรัฐโจมตีเพื่อไทย คนเสื้อแดงไม่ฟัง เขาก็ไปฟังเสื้อแดงอย่างเดียว สู้กันผ่านสื่อจนไม่มีข้อยุติ แต่สรุปเสื้อแดงทำได้สูงกว่า
นายปานเทพกล่าวถึงประเด็นเสถียรภาพรัฐบาลพรรคเพื่อไทยว่า เพื่อไทยเผชิญความเสี่ยงอะไรบ้าง ตั้งแต่วันนี้เขาจะทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ปกติหรือเปล่า มีคนยื่นยุบพรรคแล้ว คุณสมบัติ น.ส.ยิ่งลัษณ์ ผลสมัครส.ส.บัญชีรายชื่อเมื่อมีผู้ต้องโทษ และกรณีที่มีจำนวนประชาชนจำนวนมากมีชื่อต้องไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้า ทั้งที่ลงทะเบียนไว้นานแล้วแต่ชื่อไม่กลับมาที่เดิม ซึ่งมันควรจะเป็นเช่นนั้น เสียหายกันหลายล้านคน ซึ่งก็อาจมีการไปยื่นให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นโมฆะ
ถ้าเลือกตั้งโมฆะซึ่งตนเชื่อว่ามีโอกาส ปัญหาคือ กกต.ลาออกหรือไม่ ถ้าออกตำแหน่งว่างใครจะนำไปสู่การเลือกตั้ง หรือดันทุรังก็จะพังเละอีก และการเลือกตั้งซ่อมจะเป็นคุณกับเพื่อไทย เพราะใช้เงินน้อยกว่าในการหาเสียง เพราะปูพื้นสร้างฐานมวลชนมานานแล้ว
เมื่อถามว่าเงื่อนไขสำคัญอะไรที่อาจทำให้เพื่อไทยต้องเผชิญหน้าพันธมิตรฯ นายปานเทพ กล่าวว่า การจ้าบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ และนิรโทษกรรม 2 ประการนี้ไม่มีทางเลือก ส่วนประเด็นเขตแดนไทย-กัมพูชา พันธมิตรฯ ทำสุดทางแล้ว เรายื่นคำร้องไปปปช.หลายคดี ที่เหลือเป็นหน้าที่ของทหารและรัฐบาล ต้องจัดการปัญหานี้ แล้วต้องดูด้วยประชาธิปัตย์ทำอะไรส่งมอบต่อให้รัฐบาลนี้ ถ้าทั้งหมดทำให้เสียดินแดน นั่นก็เท่ากับว่าทุกคนตรงนั้นขายชาติ
ผศ.ทวีกล่าวว่า ที่น่ากลัวอีกอย่างคือการแบ่งคนไทยออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ตนไม่เชื่อสถานภาพ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะสมานรอยร้าวในสังคมได้ ตรงนี้ที่ทำให้เพื่อไทยดำเนินการได้ยากในการขับเคลื่อนประเทศ ในระยะยาวหากมีหลายมาตรฐานในการปฏิบัติต่อประชาชน ทำให้หลายฝ่ายผิดหวัง ตอนนี้หลายกลุ่มในเพื่อไทยเองก็เรียกร้องเรื่องต่างๆแล้ว ตนมองว่าจุดดับที่ทำยิ่งลักษณ์พังง่ายก็คือไม่สามารถผสานคนกลุ่มต่างๆได้ เกิดปัญหาแน่นอน น่าจะทำให้อนาคตนายทักษิณไม่ได้กลับประเทศ เพื่อไทยพบจุดจบไม่สามารถเป็นที่พึ่งของคนไทยได้อีกเลย ส่วนโอกาสยึดอำนาจเป็นไปได้มาก เพราะทหารก็ยังเหมือนเดิมเมื่อไม่มีใครรักษาสถาบันฯ เมื่อประชาธิปไตยถึงทางตันมันก็เหลือสิ่งเดียว