สยามเมืองยิ้ม หรือประเทศไทยปี 2554 ยามนี้ มีปัญหาและวิกฤตอันเนื่องมาจากรัฐบาลมิได้ใช้อำนาจโดยชอบในการปฏิบัติตามและพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มากมาย
ปัญหาของความไม่สงบเรียบร้อย จาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพิ่มเป็นจังหวัดชายแดนภาคใต้
ปัญหาความเป็นราชอาณาจักรไทยอันเป็นอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้ ถูกท้าทายจากกัมพูชาที่จะแยกดินแดนบางส่วนออกไป
ปัญหาการไม่สามารถรักษาความสงบเรียบร้อยตามกฎหมายบ้านเมืองได้ จนต้องประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในยามฉุกเฉินเข้ามาจัดการ
ปัญหาประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรมเพิ่มมากขึ้น จนเกิดเป็นกลุ่มมวลชนเคลื่อนไหวชุมนุมเรียกร้องสิทธิทั้งในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด มากขึ้น
ปัญหาเครื่องอุปโภคบริโภคที่เป็นความจำเป็นของราษฎร เช่น น้ำมันพืช เกิดภาวะขาดแคลน ขึ้นราคาสินค้าสูงสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนทั่วไปทั้งประเทศ
ปัญหาพฤติกรรมการนักการเมือง ทั้งที่ดำรงตำแหน่งอยู่ และคนที่ต้องห้ามในการดำรงตำแหน่ง รวมหัวกันแสวงหาผลประโยชน์ เมินอำนาจรัฐ โดยปราศจากจิตสำนึกที่ดีในฐานะผู้แทนของปวงชนชาวไทย
ปัญหาการขาดคุณธรรม ในการแต่งตั้ง โยกย้ายข้าราชการ มีการซื้อขายตำแหน่ง การแทรกแซงของนักการเมืองในระบบราชการ ก่อให้เกิดการทุจริตประพฤติมิชอบทั้งในหน่วยงานของรัฐและในหน่วยงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วไป
ฯลฯ
ปัญหาของประเทศไทยภายใต้การบริหารงานของนายกฯ อภิสิทธิ์ ข้างต้น ทำให้อดนึกย้อนไปถึงประเทศไทยในห้วงปี 2490 ซึ่งมีพลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์เป็นนายกรัฐมนตรี และพระยาสุนทรพิพิธ (เชย สุนทรพิพิธ) เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยขณะนั้น ไม่ได้
คำปรารภในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) ตราไว้ ณ วันที่ 9 พฤศจิกายน 2490 ได้บรรยายให้เห็นบ้านเมืองไทยในตอนนั้นว่า
“...มาบัดนี้ประเทศชาติตกอยู่ในภาวะวิกฤตการณ์ ประชาชนพลเมืองได้รับความลำบากเดือดร้อน เพราะขาดอาหารขาดเครื่องนุ่งห่มและขาดแคลนสิ่งอื่นๆ นานัปการ เครื่องบริโภคและอุปโภคทุกอย่างมีราคาสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนเป็นอันมาก
เป็นเหตุให้เกิดความเสื่อมทรามในศีลธรรมอย่างไม่เคยมีมาแต่กาลก่อนขึ้นในประชาชน
บรรดาผู้บริหารราชการแผ่นดินและสภา ไม่อาจดำเนินการแก้ไขสิ่งที่ไม่ดีให้กลับเข้าสู่ภาวะอย่างเดิมได้
การดำเนินการของรัฐบาลและการควบคุมราชการฝ่ายบริหารของรัฐสภา เพื่อมุ่งหมายที่จะช่วยกันแก้ไขให้ดีขึ้น ตามวิถีทางที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับนั้น ไม่ประสบผลดีเลยแม้แต่น้อย
เป็นความผิดหวังของประชาชนทั้งประเทศ และตรงกันข้ามกลับทำให้เห็นว่า การแก้ไขทุกอย่างเป็นเหตุที่ทำให้ประเทศชาติทรุดโทรมลงเป็นลำดับ ถ้าจะคงปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม ก็จะนำมาซึ่งความหายนะแก่ประเทศชาติอย่างไม่มีสุดสิ้น จนถึงกับว่าจะไม่ดำรงอยู่ในภาวะอันควรแก่ความเป็นไทยต่อไปอีกได้
ราษฎรไทยส่วนมาก ผู้สนใจต่อการนี้ พร้อมด้วยทหารของชาติ ได้พร้อมใจกันนำความขึ้นกราบบังคมทูล ขอให้เลิกใช้รัฐธรรมนูญปัจจุบันและประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่
อันจะเป็นวิถีทางจรรโลงประเทศชาติให้วัฒนาถาวร อีกทั้งจะเป็นทางบำบัดยุคเข็ญของประชาชนทั้งปวงให้เข้าสู่ภาวะปกติได้สืบไป…”
จึงไม่แปลกที่ในคืนวันที่ 7 พฤศจิกายน ต่อเนื่องถึงเช้าวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 กลุ่มทหารนอกราชการ ซึ่งเรียกตนเองว่า “คณะทหารแห่งชาติ” นำโดย พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ น.อ.กาจ กาจสงคราม พ.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ พ.อ.สฤษดิ์ ธนะรัชต์ พ.อ.ถนอม กิตติขจร พ.ท.ประภาส จารุเสถียร และ ร.อ.สมบูรณ์ (ชาติชาย) ชุณหะวัณ ได้นำกำลังทหารยึดอำนาจจากปกครองจากรัฐบาล พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ด้วยเหตุผลว่า
“...ไม่สามารถจัดการกับปัญหาความขัดแย้งกันในชาติได้ มีการทุจริตคอร์รัปชันในวงราชการ...”
จึงเป็นจุดจบและสิ้นสุดของรัฐบาลที่มีพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีชุดที่ 18 ของไทย และก็เพราะรัฐบาลของนายกฯ อภิสิทธิ์ ในยามนี้
มีปัญหาความขัดแย้งของคนในชาติ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเสื้อแดง (นปช) กลุ่มเสื้อเหลือง (พันธมิตรฯ) กลุ่มเสื้อน้ำเงิน (ปกป้องสถาบัน) กลุ่มเสื้อหลากสี เป็นต้น ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถจัดการกับปัญหาความขัดแย้งของกลุ่มคนดังกล่าวในบ้านเมืองได้
ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้เป็นเจ้าภาพหลักในเรื่องนี้
มีการทุจริตคอร์รัปชันในวงราชการ ไม่ว่าจะเป็นกรณีการทุจริตโครงการต่างๆ ในกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่ปรากฏในชั้นการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ และ ป.ป.ช. เป็นต้น ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถจัดการกับการทุจริตดังกล่าวให้ปรากฏต่อสาธารณชนได้
ซึ่งกระทรวงมหาดไทยเป็นกระทรวงหนึ่งที่มีการทุจริตเกิดขึ้นมากมาย โดยปราศจากการแก้ไขปัญหาของเจ้ากระทรวงอย่างจริงจัง
เมืองไทย ปี 2554 นี้ ช่างเหมือนกับเมืองไทยเมื่อปี 2490
รัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์ มีปัญหาบริหารราชการเหมือนรัฐบาลพลเรือตรีถวัลย์ เมื่อ 64 ปีก่อน
ทางออกของชาติสมัยนั้น จบด้วยรัฐประหารของคณะทหารแห่งชาติ และยกเลิกรัฐธรรมนูญ โดยความพร้อมใจของประชาชนส่วนมาก ที่ไม่อาจเห็นความหายนะเกิดแก่ประเทศชาติได้
เมื่อประชาชนทั้งประเทศเริ่มผิดหวังการบริหารงานของรัฐบาลและความล้มเหลวของระบบรัฐสภาที่ไม่อาจแก้ไขปัญหาของบ้านเมืองได้ จึงต้องเมินมหาดไทย มองข้ามนายกฯ อภิสิทธิ์
ดูกันต่อไปว่าทางออกของชาติเวลานี้ จะเหมือนปี 2490 หรือไม่...
ปัญหาของความไม่สงบเรียบร้อย จาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพิ่มเป็นจังหวัดชายแดนภาคใต้
ปัญหาความเป็นราชอาณาจักรไทยอันเป็นอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้ ถูกท้าทายจากกัมพูชาที่จะแยกดินแดนบางส่วนออกไป
ปัญหาการไม่สามารถรักษาความสงบเรียบร้อยตามกฎหมายบ้านเมืองได้ จนต้องประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในยามฉุกเฉินเข้ามาจัดการ
ปัญหาประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรมเพิ่มมากขึ้น จนเกิดเป็นกลุ่มมวลชนเคลื่อนไหวชุมนุมเรียกร้องสิทธิทั้งในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด มากขึ้น
ปัญหาเครื่องอุปโภคบริโภคที่เป็นความจำเป็นของราษฎร เช่น น้ำมันพืช เกิดภาวะขาดแคลน ขึ้นราคาสินค้าสูงสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนทั่วไปทั้งประเทศ
ปัญหาพฤติกรรมการนักการเมือง ทั้งที่ดำรงตำแหน่งอยู่ และคนที่ต้องห้ามในการดำรงตำแหน่ง รวมหัวกันแสวงหาผลประโยชน์ เมินอำนาจรัฐ โดยปราศจากจิตสำนึกที่ดีในฐานะผู้แทนของปวงชนชาวไทย
ปัญหาการขาดคุณธรรม ในการแต่งตั้ง โยกย้ายข้าราชการ มีการซื้อขายตำแหน่ง การแทรกแซงของนักการเมืองในระบบราชการ ก่อให้เกิดการทุจริตประพฤติมิชอบทั้งในหน่วยงานของรัฐและในหน่วยงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วไป
ฯลฯ
ปัญหาของประเทศไทยภายใต้การบริหารงานของนายกฯ อภิสิทธิ์ ข้างต้น ทำให้อดนึกย้อนไปถึงประเทศไทยในห้วงปี 2490 ซึ่งมีพลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์เป็นนายกรัฐมนตรี และพระยาสุนทรพิพิธ (เชย สุนทรพิพิธ) เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยขณะนั้น ไม่ได้
คำปรารภในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) ตราไว้ ณ วันที่ 9 พฤศจิกายน 2490 ได้บรรยายให้เห็นบ้านเมืองไทยในตอนนั้นว่า
“...มาบัดนี้ประเทศชาติตกอยู่ในภาวะวิกฤตการณ์ ประชาชนพลเมืองได้รับความลำบากเดือดร้อน เพราะขาดอาหารขาดเครื่องนุ่งห่มและขาดแคลนสิ่งอื่นๆ นานัปการ เครื่องบริโภคและอุปโภคทุกอย่างมีราคาสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนเป็นอันมาก
เป็นเหตุให้เกิดความเสื่อมทรามในศีลธรรมอย่างไม่เคยมีมาแต่กาลก่อนขึ้นในประชาชน
บรรดาผู้บริหารราชการแผ่นดินและสภา ไม่อาจดำเนินการแก้ไขสิ่งที่ไม่ดีให้กลับเข้าสู่ภาวะอย่างเดิมได้
การดำเนินการของรัฐบาลและการควบคุมราชการฝ่ายบริหารของรัฐสภา เพื่อมุ่งหมายที่จะช่วยกันแก้ไขให้ดีขึ้น ตามวิถีทางที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับนั้น ไม่ประสบผลดีเลยแม้แต่น้อย
เป็นความผิดหวังของประชาชนทั้งประเทศ และตรงกันข้ามกลับทำให้เห็นว่า การแก้ไขทุกอย่างเป็นเหตุที่ทำให้ประเทศชาติทรุดโทรมลงเป็นลำดับ ถ้าจะคงปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม ก็จะนำมาซึ่งความหายนะแก่ประเทศชาติอย่างไม่มีสุดสิ้น จนถึงกับว่าจะไม่ดำรงอยู่ในภาวะอันควรแก่ความเป็นไทยต่อไปอีกได้
ราษฎรไทยส่วนมาก ผู้สนใจต่อการนี้ พร้อมด้วยทหารของชาติ ได้พร้อมใจกันนำความขึ้นกราบบังคมทูล ขอให้เลิกใช้รัฐธรรมนูญปัจจุบันและประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่
อันจะเป็นวิถีทางจรรโลงประเทศชาติให้วัฒนาถาวร อีกทั้งจะเป็นทางบำบัดยุคเข็ญของประชาชนทั้งปวงให้เข้าสู่ภาวะปกติได้สืบไป…”
จึงไม่แปลกที่ในคืนวันที่ 7 พฤศจิกายน ต่อเนื่องถึงเช้าวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 กลุ่มทหารนอกราชการ ซึ่งเรียกตนเองว่า “คณะทหารแห่งชาติ” นำโดย พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ น.อ.กาจ กาจสงคราม พ.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ พ.อ.สฤษดิ์ ธนะรัชต์ พ.อ.ถนอม กิตติขจร พ.ท.ประภาส จารุเสถียร และ ร.อ.สมบูรณ์ (ชาติชาย) ชุณหะวัณ ได้นำกำลังทหารยึดอำนาจจากปกครองจากรัฐบาล พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ด้วยเหตุผลว่า
“...ไม่สามารถจัดการกับปัญหาความขัดแย้งกันในชาติได้ มีการทุจริตคอร์รัปชันในวงราชการ...”
จึงเป็นจุดจบและสิ้นสุดของรัฐบาลที่มีพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีชุดที่ 18 ของไทย และก็เพราะรัฐบาลของนายกฯ อภิสิทธิ์ ในยามนี้
มีปัญหาความขัดแย้งของคนในชาติ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเสื้อแดง (นปช) กลุ่มเสื้อเหลือง (พันธมิตรฯ) กลุ่มเสื้อน้ำเงิน (ปกป้องสถาบัน) กลุ่มเสื้อหลากสี เป็นต้น ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถจัดการกับปัญหาความขัดแย้งของกลุ่มคนดังกล่าวในบ้านเมืองได้
ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้เป็นเจ้าภาพหลักในเรื่องนี้
มีการทุจริตคอร์รัปชันในวงราชการ ไม่ว่าจะเป็นกรณีการทุจริตโครงการต่างๆ ในกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่ปรากฏในชั้นการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ และ ป.ป.ช. เป็นต้น ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถจัดการกับการทุจริตดังกล่าวให้ปรากฏต่อสาธารณชนได้
ซึ่งกระทรวงมหาดไทยเป็นกระทรวงหนึ่งที่มีการทุจริตเกิดขึ้นมากมาย โดยปราศจากการแก้ไขปัญหาของเจ้ากระทรวงอย่างจริงจัง
เมืองไทย ปี 2554 นี้ ช่างเหมือนกับเมืองไทยเมื่อปี 2490
รัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์ มีปัญหาบริหารราชการเหมือนรัฐบาลพลเรือตรีถวัลย์ เมื่อ 64 ปีก่อน
ทางออกของชาติสมัยนั้น จบด้วยรัฐประหารของคณะทหารแห่งชาติ และยกเลิกรัฐธรรมนูญ โดยความพร้อมใจของประชาชนส่วนมาก ที่ไม่อาจเห็นความหายนะเกิดแก่ประเทศชาติได้
เมื่อประชาชนทั้งประเทศเริ่มผิดหวังการบริหารงานของรัฐบาลและความล้มเหลวของระบบรัฐสภาที่ไม่อาจแก้ไขปัญหาของบ้านเมืองได้ จึงต้องเมินมหาดไทย มองข้ามนายกฯ อภิสิทธิ์
ดูกันต่อไปว่าทางออกของชาติเวลานี้ จะเหมือนปี 2490 หรือไม่...