พันธมิตรฯประกาศปักหลักสู้ขอทวงคืนแผ่นดินไทย "ลุงจำลอง"เตรียมนำผู้ชุมนุมปฏิญานตนร่วมปกป้องแผ่นดินที่ลานพระรูปฯศุกร์ที่ 11 ก.พ.นี้ ยันไม่เดินเลยไปสภาฯ เผย “ผู้การแต้ม” บุกพบตั้งแต่เช้าขอเปิดช่องจราจร แต่บอกปัด "สุเทพ"ปากกล้าขาสั่น ไม่หนักใจเหลือง-แดงไล่รัฐบาล ส่งดาบให้ผบ.ตร.ฟันม็อบ พร้อม -พิจารณาถอนประกันแกนนำพธม. จวก “กษิต” โม้ออกทีวีใส่ร้ายพันธมิตรฯ “ประพันธ์” สับ รบ.สมประโยชน์ “ฮุนเซน” รับปากมาสลายม๊อบ
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า หลังจากครม.มีมติให้ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ หมวด 2 และแต่งตั้งพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิศรี ผบ.ตร. เป็น ผอ.ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ซึ่งได้ทำแผน และข้อกำหนดต่างๆ ออกมาด้วยแล้ว หลังจากนี้จะเริ่มปฏิบัติงานและตนได้ขอให้ทาง ศอ.รส. ชี้แจงให้ประชาชนได้รับทราบทุกขั้นตอนของการปฏิบัติงาน
เมื่อถามว่า มีข่าวว่าจะมีการเจรจากับผู้ชุมนุมให้ออกจากพื้นที่บางส่วน แล้วจะกันพื้นที่ ส่วนหนึ่งให้กลุ่มผู้ชุมนุมอยู่ เพื่อเปิดการจราจร มั่น ใจว่าจะเจรจาสำเร็จหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่ว่าจะมั่นใจหรือไม่เราก็ต้องพยายาม และทางผบ.ตร. จะพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อที่จะบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งจะปฏิบัติตามมาตรการจากเบาไปหาหนัก
ส่วนแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ระบุว่าจะยื่นร้องต่อศาลปกครอง ว่าการที่รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เป็นกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย นายสุเทพ กล่าวว่า ถ้ามีการฟ้องร้องรัฐบาลก็ยินดีที่จะไปพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ศาล เมื่อถามว่า จะมีการขอถอนประกันแกนนำพันธมิตรฯ ที่ถูกตั้งข้อหาก่อการร้ายหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ทาง ผบ.ตร. จะเป็นผู้พิจารณาตัดสิน และตนยังไม่ได้พูดคุยกับ ผบ.ตร.ในเรื่องนี้ งานนี้ทางตำรวจทำงานเต็มที่ ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้า 50 กองร้อยไม่เพียงพอ ก็เอากำลังมาเพิ่ม
เมื่อถามว่ามั่นใจว่าในการประชุมสภาเพื่อโหวตลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ในวาระ 3 ในวันที่ 11 ก.พ. จะไม่มีปัญหากลุ่มผู้ชุมนุมไปปิดล้อมสภาหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ทาง ผบ.ตร.ได้ยืนยันกับรัฐบาลว่า จะดูแลทำเนียบรัฐบาล รัฐสภา และกระทรวงต่างๆ รวมถึงกระทรวงกลาโหม ไม่ให้ผู้ชุมนุมกลุ่มใดบุกรุกเข้าไปทั้งสิ้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ดำเนินการไปตามการข่าว เพื่อเป็นการป้องกัน
เมื่อถามว่าบรรดา ส.ส.และ ส.ว.จะมั่นใจหรือไม่ว่าในวันที่ 11 ก.พ. จะสามารถเดินทางเข้าออกรัฐสภาได้อย่างที่รัฐบาลมั่นใจหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่ได้ถามเป็นรายบุคคล แต่เชื่อว่า มาตรการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการ จะทำให้ส.ส.และส.ว.สามารถเข้าไปทำหน้าที่ได้
เมื่อถามว่า ได้รับรายงานข่าวหรือไม่ว่า กลุ่มผู้ชุมนุมทั้งกลุ่มเสื้อเหลือง และเสื้อแดง อาจจะรวมตัวกัน เพื่อร่วมขับไล่รัฐบาล นายสุเทพ กล่าวว่า อย่าไปกังวลใจไปมากขนาดนั้น เราก็แก้ไขปัญหาไปเท่าที่เห็นว่าจำเป็นต้องปฏิบัติ ยืนยันว่ารัฐบาลพร้อมที่จะรับฟัง และนายกรัฐมนตรี พร้อมที่จะรับฟังข้อเรียกร้องข้อเสนอจากทุกฝ่าย
เมื่อถามว่าขณะนี้ มีรายงานการข่าวเรื่องการลอบสังหารนายกรัฐมนตรี หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่มี เรื่องคนคิดเพ้อเจ้อมีอยู่ตลอดเวลา แต่เราได้ดูแลป้องกันอย่างรัดกุม อย่างไรก็ตามในช่วงนี้ตนก็ได้รับเอสเอ็มเอส มาต่อว่าเป็นจำนวนมาก แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะส่วนใหญ่ หยาบคายมาก
ส่วนกลุ่มผู้ชุมนุมจะแบ่งกำลังเดินทางไป อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ก็ไม่รู้สึกกังวล เพราะพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกอยู่แล้ว จะไปทำอะไรวุ่นวายไม่ได้ เจ้าหน้าที่คงไม่ยอมให้เข้าไปสร้างปัญหาในพื้นที่ และประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดนเขาก็ไม่ชอบใจเรื่องนี้อยู่แล้ว
ส่วนบรรยากาศการชุมนุมในช่วงเช้าของวันที่ 16 ของการชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดิน และเป็นวันแรกของการประกาศพื้นที่ ที่มีภัยต่อความมั่งคง ตามมติครม. ยังคงเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยมีผู้ชุมนุมปักหลักอยู่ในพื้นที่ ตั้งแต่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ถึงแยกมิสกวันเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา
ขณะที่ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 ( ผบก.น.1) ได้เดินทางเข้าพบพล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพื่อเจรจาขอให้มีการเปิดการจราจร ตาม พ.ร.บ.ความมั่นคง ตามคำประกาศของรัฐบาล
ต่อมาเวลา10.00 น. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ และนายประพันธ์ คูณมี โฆษก การชุมนุมฯ ร่วมแถลงข่าวประจำวัน โดย พล.ต.จำลอง กล่าวย้ำถึงแนวทางการเคลื่อนไหวในวันที่ 11 ก.พ. ว่า จากสถานการณ์การปะทะในพื้นที่ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โดยฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายโจมตีมายังฝ่ายไทยก่อนนั้น ทำให้คณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน ได้มีมติในการปรับการเคลื่อนไหว จากที่ได้ประกาศว่าจะเคลื่อนขบวนไปเรียกร้องให้หน่วยราชการทำหน้าที่ในวันที่ 11 ก.พ. แต่เมื่อมีเหตุการณ์ที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ทหาร และราษฎรไทย จึงมีความเห็นตรงกันว่าจะขนย้ายสิ่งของ เครื่องใช้จำเป็น ไปช่วยเหลือทหารหาญ และชาวบ้านที่ อ.กันทรลักษ์ โดยจะมีผู้แทนจากคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดินร่วมคณะไปด้วย แต่ไม่มีมวลชนติดตามไป
ในเบื้องต้น จากการประสานงานโดย พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ ซึ่งเป็น 1 ในคณะกรรมการฯ ฝ่ายทหาร ได้ประสานแจ้งสิ่งของที่ต้องการมาบ้างแล้ว ซึ่งผู้ที่สนใจต้องการส่งกำลังใจไปให้ทหาร และชาวบ้านที่เดือดร้อน สามารถร่วมบริจาคสิ่งของเพิ่มเติมได้ที่เต๊นท์กองทัพธรรม จนถึงเวลา 09.00 น. ของวันที่ 11 ก.พ. หากสิ่งของไม่เพียงพอ คณะกรรมการฯจะนำเงินที่ได้รับบริจาคในกองทุนทวงคืนปราสาทพระวิหาร ไปจัดหาเพิ่มเติม คาดว่ารถขนสิ่งของจะเดินทางถึงที่ทำการ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ราว 17.00 น. โดยมีผู้แทนของกองทัพเป็นผู้รับมอบ
11 ก.พ.เคลื่อนไปยังพระบรมรูปร.5
ทั้งนี้ ในวันที่ 11 ก.พ. เวลา 10.00 น. จะมีการเคลื่อนขบวนกลุ่มผู้ชุมนุมไปยังบริเวณพระบรมรูปทรงม้า เพื่อเป็นตัวแทนคนไทยทั้งชาติ กล่าวปฏิญาณตนกับองค์พระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 ในการร่วมเป็นอาสาสมัครในการพิทักษ์รักษาดินแดน ตามพระปรีชาญาณที่พระองค์ทรงทำให้ประเทศไทยเป็นเอกราชมาถึงทุกวันนี้ รวมทั้งทำทุกวิถีทางในการทวงคืนแผ่นดินที่กัมพูชายึดครองไป กลับคืนมา และป้องกันการถูกรุกรานอย่างยั่งยืน ไม่ให้ถูกยึดครองไปอีก โดยตนจะเป็นผู้นำกลุ่มผู้ชุมนุมไปด้วยตนเอง และเมื่อเสร็จสิ้นพิธี ก็จะกลับมายังพื้นที่การชุมนุมเช่นเดิม โดยไม่มีการเดินทางไปที่หน้ารัฐสภาอย่างที่รัฐบาลกังวล
พล.ต.จำลอง ยังเปิดเผยถึงการพบกับ พล.ต.ต.วิชัย ในช่วงเช้าที่ผ่านมาว่า ทางตำรวจได้เจรจาเพื่อขอเปิดช่องทางจราจร แต่ตนได้ปฏิเสธไป พร้อมบอกด้วยว่า เมื่อตำรวจรับคำสั่งจากรัฐบาลมา ควรพิจารณาและตัดสินใจได้โดยไม่ต้องเกรงใจพันธมิตรฯ โดยเฉพาะการจับกุม ซึ่งตนยินดี หรือจะขอพื้นที่คืน สลายการชุมนุม ก็สามารถทำได้ทุกนาที เพราะไม่ว่ารัฐบาลจะประกาศกฎหมาย หรือคำสั่งใด ก็ไม่ทำให้พวกเราออกจากพื้นที่นี้ได้ ซึ่งตนเข้าใจว่า ผู้ที่สัญจรไปมา อาจต้องรถติดบ้าง เสียเวลาบ้าง แต่ก็ดีกว่าเสียดินแดน ฉะนั้นรัฐบาลอย่าพยายามหาวิธีการมากลั่นแกล้งพวกเรา
ส่วนที่ขู่ว่า จะมีการยื่นขอถอนประกันแกนนำพันธมิตรฯ นั้น เราก็ไม่กลัวเช่นกัน
ซัด"กษิต"ไม่รับผิดชอบ
ส่วนกรณีที่นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ กล่าวผ่านรายการโทรทัศน์ ย้ำว่า ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ และกล่าวหาพันธมิตรฯว่ามีความสะใจ จากเหตุการปะทะของทหารนั้น นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ ระบุว่า ถือเป็นคำพูดที่ไม่รับผิดชอบในความผิดพลาดของรัฐบาล โดยสาเหตุของการปะทะที่เกิดจาก MOU 2543 อย่างชัดแจ้ง ล่าสุดมีความพยายามประกาศให้จุดปะทะเป็นพื้นที่สันติภาพ แต่กลับไม่มีการผลักดันให้กองกำลังกัมพูชา ที่ยึดพื้นที่ประเทศไทยทำร้ายราษฎรไทยออกไปจากพื้นที่ ถือเป็นภัยคุกคามที่ยังคงอยู่ในระยะยาว หากมีเหตุการณ์ปะทะอีก รัฐบาลต้องรับผิดชอบ
อย่างไรก็ตาม ตนขอยืนยันว่า พันธมิตรฯต้องการแนวทางสันติวิธีเช่นกัน แต่ต้องมีเครื่องยืนยันว่า ไม่มีการละเมิดดินแดนอธิปไตย และทหารกัมพูชาต้องไม่อยู่ในผืนแผ่นดินไทย หากรัฐบาลทำได้เช่นนี้ ก็จะสามารถป้องกันภัยให้คนไทยได้และไม่จำเป็นต้องมีการตั้งค่ายอพยพให้ราษฎรไทยในแผ่นดินไทย ด้วยซ้ำ
นายประพันธ์ คูณมี กล่าวว่า ตนขอประณามกระทรวงการต่างประเทศของไทย ที่ไม่ทำหน้าที่ปกป้องเอกราชอธิปไตยของประเทศ จากที่กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาออกแถลงการณ์ให้การเท็จ แต่ไม่มีการตอบโต้ โดยเฉพาะคำพูดของ นายกษิต ในเรื่องที่ว่าเหตุการณ์ปะทะเป็นที่สะใจของกลุ่มที่คลั่งชาติ ทั้งที่สาเหตุที่แท้จริงเกิดจากรัฐบาลไม่ทำหน้าที่ ปล่อยให้กัมพูชาเข้ามายึดครองพื้นที่ประเทศไทย โจมตีราษฎร พลเรือนชาวไทย โดยรัฐบาลเพิกเฉย ไม่มีการประท้วง กลับหันมาแว้งกัดพันธทิตรฯ ซึ่งเป็นคนไทยด้วยกัน
นายประพันธ์ กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็ใส่ร้ายพันธมิตรฯผ่านสื่อ โดยให้สัมภาษณ์ว่าพล.ต.จำลอง และกลุ่มผู้ชุมนุม ต้องให้มีการปฏิวัติ และระบุด้วยว่า พล.ต.จำลอง ออกมาเมื่อไร จบไม่สวยทุกครั้ง ตนยืนยันว่า ผู้ชุมนุมไม่เคยเรียกร้องให้มีการปฏิวัติ แต่เรียกร้องให้รัฐบาลทำหน้าที่ หากไม่ทำ ก็ลาออกไป นายกฯอภิสิทธิ์ อย่าพยายามบิดเบือนใส่ร้าย โดยไม่เคารพสิทธิ และไม่ฟังความเห็นของประชาชน ตามแนวทางประชาธิปไตย การที่นายกฯอภิสิทธิ์ไม่ยอมแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองต่างหาก ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ทั้งที่ประกาศว่า นักการเมืองต้องมีจิตสำนึกสูงกว่ากฎหมายนั้น และหากรัฐบาลนี้ถูกปฏิวัติจริง ก็เป็นเพราะดื้นด้าน ไม่สนใจประชาชน
เมื่อเวลา 17.00 น. บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธุ์ โฆษกพันธมิตรฯ และนายประพันธ์ คูณมี โฆษกการชุมนุมฯ ร่วมแถลงข่าวประจำวันต่อสื่อมวลชน โดย นายปานเทพ ได้กล่าวถึงกระแสข่าวการขอพื้นที่คืนของทางเจ้าหน้าที่ ว่า ทางแกนนำพันธมิตรฯและคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน ยังไม่มีผู้ใดได้รับการติดต่อจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ทำให้ไม่ความชัดเจนในการขอพื้นที่คืน เป็นความประสงค์ของผู้ใด และอ้างอิงอำนาจกฎหมายฉบับใด ที่ผ่านมามีเพียงการเจรจาปากเปล่า พูดลอยๆ ซึ่งหากจะมีการกระทำใดๆผู้ที่เกี่ยวข้องควรทำหนังสือให้ชัดเจนมาถึงคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน และผู้ชุมนุมด้วย เพราะผู้ชุมนุมไม่ได้ขึ้นอยู่อาณัติของคณะกรรมการฯ ทุกคนมีอำนาจในการตัดสินใจ เพื่อให้ทราบว่าได้รับมอบหมายจากใคร และผู้ใดเป็นผู้รับผิดชอบทางกฎหมาย ไม่ใช่พูดปากเปล่าตามที่ทำอยู่
นายปานเทพ กล่าวว่า คณะกรรมการฯและพันธมิตรฯเห็นตรงกันว่า สิ่งสำคัญที่รัฐบาลต้องทำในขณะนี้ คือ การทวงคืนดินแดนที่กัมพูชาใช้เป็นฐานทัพโจมตีราษฎรไทย จะเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดมากกว่าการขอคืนพื้นที่ชุมนุมที่นี่ ขอย้ำว่าที่เราอยู่บริเวณนี้ไม่มีการปิดสถานที่ราชการ ข้าราชการสามารถเข้าทำงานได้ การที่จะมายึดพื้นที่ตรงนี้ต้องตอบให้ได้ว่า เหตุใดรัฐบาลจึงเลือกปฏิบัติ ระหว่างคนไทยกับทหารกัมพูชา เพราะทหารกัมพูชาติดอาวุธสงครามอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ และปล่อยให้ยิงราษฎรไทย แต่กับคนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งออกมาชุมนุมเพื่อปกป้องแผ่นดินไทย แทนที่รัฐบาลจะมาร่วมรวมพลัง กลับมีความพยายามที่จะลิดรอนสิทธิของประชาชนเหล่านี้
ผู้สื่อข่าวถามว่าเหตุที่ไม่ยื่นคำร้องต่อศาลปกครอง เนื่องจากเห็นว่ากระบวนการประกาศใช้ถูกต้องใช่หรือไม่ โฆษกพันธมิตรฯกล่าวตอบว่า กระบวนการประกาศบังคับใช้กฎหมายมีข้อสงสัยอยู่แล้วว่าผิดพลาด เพราะการอ้างเหตุความมั่นคงของรัฐ ต้องเกิดขึ้นเพราะผู้ชุมนุมมีเจตนาหรือเป้าหมายที่ทำให้รัฐเสียหาย แต่พันธมิตรฯมาเพื่อพิทักษ์รักษาอธิปไตยของชาติ เพียงแต่ถึงชั่วโมงนี้รัฐบาลยังไม่ได้กำหนดมาตรการที่ชัดเจน โดยในแง่ของข้อกฎหมายการยื่นศาลปกครองต้องมีผู้เสียหายแล้ว
“เหตุในการชุมนุมของเราจะไปเทียบกับคนเสื้อแดงไม่ได้ การชุมนุมของคนเสื้อแดงมีวัตถุประสงค์เพื่ออำนาจทางการเมือง และการฉีกรัฐธรรมนูญ ต่างจากการชุมนุมของพันธมิตรฯที่ชุมนุมภายใต้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องหน้าที่ของพลเมืองไทยในการรักษาแผ่นดินเป็นหลัก รัฐบาลจะใช้อำนาจใดมาสลายการชุมนุมหรือขอพื้นที่คืน กล้ากับคนไม่มีอาวุธ แต่กับกัมพูชาที่ทำร้ายราษฎรไทยกลับไม่กล้า” โฆษกพันธมิตรฯกล่าว
และจากกรณีที่มีนักวิชาการกลุ่มนายชาญวิทย์ เกษตรศิริ ออกมาโจมตีการชุมนุมของพันธมิตรฯเพื่อให้เกิดสงคราม นายปานเทพกล่าวว่า ต้องดูว่าคนที่พูดเป็นใคร เพราะกลุ่มนักวิชาการกลุ่มนี้รับจ้างจากกระทรวงการต่างประเทศเป็นเงิน 7.1 ล้านบาท เราจึงขนานนามว่านักวิชาการ 7.1 ล้าน ซึ่งเขาต้องพูดแบบนี้อยู่แล้ว เพราะกลุ่มที่ฝักใฝ่คนเสื้อแดงและมีทัศนคติต่อต้านพันธมิตรฯ ตนไม่เห็นนักวิชาการที่ไม่มีผลประโยชน์คนไหนออกมากล่าวเช่นนนี้ ทั้ง ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล หรือ ศ.อดุลย์ วิเชียรเจริญ ก็ไม่เห็นพูดเช่นนั้น
เมื่อถามถึงความเคลื่อนไหวของตำรวจภายในทำเนียบรัฐบาลที่นำกำลังราว 500 นายมาออกกำลังกายบริเวณประตูใกล้กับกลุ่มพันธมิตรฯ นายปานเทพ กล่าวว่า น่าจะไปทำที่ชายแดน ไปจับกุมคนกัมพูชาที่เข้ามาอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ ไปขับไล่ทหารกัมพูชา เพื่อสำแดงแสนยานุภาพทางการทหาร มาทำในทำเนียบรัฐบาลเสียแรงเปล่า เพราะไม่มีทหารกัมพูชาอยู่
นายประพันธ์ กล่าวว่า การขอพื้นที่คืนเป็นเพียงกลยุทธ์ที่จะขับเคลื่อนเพียงกดดันผู้ชุมนุมเท่านั้นเอง ซึ่งจริงๆไม่มีความจำเป็น เพียงแค่เจ้าหน้าที่บริหารจัดการพื้นที่จราจรที่เปิดอยู่ให้ดีก็จะไม่มีปัญหาการจราจรติดขัดมาก เพราะฉะนั้นการแหย่ขอพื้นที่บางส่วนคืนเป็นกลยุทธ์แบบได้คืบเอาศอก โดยอ้างความเดือดร้อนเล็กๆน้อยๆของประชาชน ทั้งที่ไม่ยอมแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
โฆษกการชุมนุมฯกล่าวต่อว่า อยากถามรัฐบาลว่าได้ตกลงผลประโยชน์ใดกับนายฮุนเซน ทั้งนายสุเทพ และพล.อ.ประวิตร ที่ต่อสายตรงกับนายฮุนเซน จึงพยายามมากดดันผลักดันพี่น้องประชาชนไทย โดยนายฮุนเซนไม่พอใจที่เวทีพันธมิตรฯกล่าวโจมตีตัวเองโดยตลอด จึงกล่าวหาว่ารัฐบาลไทยรู้กันกับพันธมิตรฯ รัฐบาลจึงต้องไปรับปากมาสลายการชุมนุมโดยอ้างมาตรการทางกฎหมาย เพื่อหวังเอาใจนายฮุนเซน
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า หลังจากครม.มีมติให้ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ หมวด 2 และแต่งตั้งพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิศรี ผบ.ตร. เป็น ผอ.ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ซึ่งได้ทำแผน และข้อกำหนดต่างๆ ออกมาด้วยแล้ว หลังจากนี้จะเริ่มปฏิบัติงานและตนได้ขอให้ทาง ศอ.รส. ชี้แจงให้ประชาชนได้รับทราบทุกขั้นตอนของการปฏิบัติงาน
เมื่อถามว่า มีข่าวว่าจะมีการเจรจากับผู้ชุมนุมให้ออกจากพื้นที่บางส่วน แล้วจะกันพื้นที่ ส่วนหนึ่งให้กลุ่มผู้ชุมนุมอยู่ เพื่อเปิดการจราจร มั่น ใจว่าจะเจรจาสำเร็จหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่ว่าจะมั่นใจหรือไม่เราก็ต้องพยายาม และทางผบ.ตร. จะพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อที่จะบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งจะปฏิบัติตามมาตรการจากเบาไปหาหนัก
ส่วนแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ระบุว่าจะยื่นร้องต่อศาลปกครอง ว่าการที่รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เป็นกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย นายสุเทพ กล่าวว่า ถ้ามีการฟ้องร้องรัฐบาลก็ยินดีที่จะไปพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ศาล เมื่อถามว่า จะมีการขอถอนประกันแกนนำพันธมิตรฯ ที่ถูกตั้งข้อหาก่อการร้ายหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ทาง ผบ.ตร. จะเป็นผู้พิจารณาตัดสิน และตนยังไม่ได้พูดคุยกับ ผบ.ตร.ในเรื่องนี้ งานนี้ทางตำรวจทำงานเต็มที่ ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้า 50 กองร้อยไม่เพียงพอ ก็เอากำลังมาเพิ่ม
เมื่อถามว่ามั่นใจว่าในการประชุมสภาเพื่อโหวตลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ในวาระ 3 ในวันที่ 11 ก.พ. จะไม่มีปัญหากลุ่มผู้ชุมนุมไปปิดล้อมสภาหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ทาง ผบ.ตร.ได้ยืนยันกับรัฐบาลว่า จะดูแลทำเนียบรัฐบาล รัฐสภา และกระทรวงต่างๆ รวมถึงกระทรวงกลาโหม ไม่ให้ผู้ชุมนุมกลุ่มใดบุกรุกเข้าไปทั้งสิ้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ดำเนินการไปตามการข่าว เพื่อเป็นการป้องกัน
เมื่อถามว่าบรรดา ส.ส.และ ส.ว.จะมั่นใจหรือไม่ว่าในวันที่ 11 ก.พ. จะสามารถเดินทางเข้าออกรัฐสภาได้อย่างที่รัฐบาลมั่นใจหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่ได้ถามเป็นรายบุคคล แต่เชื่อว่า มาตรการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการ จะทำให้ส.ส.และส.ว.สามารถเข้าไปทำหน้าที่ได้
เมื่อถามว่า ได้รับรายงานข่าวหรือไม่ว่า กลุ่มผู้ชุมนุมทั้งกลุ่มเสื้อเหลือง และเสื้อแดง อาจจะรวมตัวกัน เพื่อร่วมขับไล่รัฐบาล นายสุเทพ กล่าวว่า อย่าไปกังวลใจไปมากขนาดนั้น เราก็แก้ไขปัญหาไปเท่าที่เห็นว่าจำเป็นต้องปฏิบัติ ยืนยันว่ารัฐบาลพร้อมที่จะรับฟัง และนายกรัฐมนตรี พร้อมที่จะรับฟังข้อเรียกร้องข้อเสนอจากทุกฝ่าย
เมื่อถามว่าขณะนี้ มีรายงานการข่าวเรื่องการลอบสังหารนายกรัฐมนตรี หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่มี เรื่องคนคิดเพ้อเจ้อมีอยู่ตลอดเวลา แต่เราได้ดูแลป้องกันอย่างรัดกุม อย่างไรก็ตามในช่วงนี้ตนก็ได้รับเอสเอ็มเอส มาต่อว่าเป็นจำนวนมาก แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะส่วนใหญ่ หยาบคายมาก
ส่วนกลุ่มผู้ชุมนุมจะแบ่งกำลังเดินทางไป อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ก็ไม่รู้สึกกังวล เพราะพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกอยู่แล้ว จะไปทำอะไรวุ่นวายไม่ได้ เจ้าหน้าที่คงไม่ยอมให้เข้าไปสร้างปัญหาในพื้นที่ และประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดนเขาก็ไม่ชอบใจเรื่องนี้อยู่แล้ว
ส่วนบรรยากาศการชุมนุมในช่วงเช้าของวันที่ 16 ของการชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดิน และเป็นวันแรกของการประกาศพื้นที่ ที่มีภัยต่อความมั่งคง ตามมติครม. ยังคงเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยมีผู้ชุมนุมปักหลักอยู่ในพื้นที่ ตั้งแต่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ถึงแยกมิสกวันเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา
ขณะที่ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 ( ผบก.น.1) ได้เดินทางเข้าพบพล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพื่อเจรจาขอให้มีการเปิดการจราจร ตาม พ.ร.บ.ความมั่นคง ตามคำประกาศของรัฐบาล
ต่อมาเวลา10.00 น. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ และนายประพันธ์ คูณมี โฆษก การชุมนุมฯ ร่วมแถลงข่าวประจำวัน โดย พล.ต.จำลอง กล่าวย้ำถึงแนวทางการเคลื่อนไหวในวันที่ 11 ก.พ. ว่า จากสถานการณ์การปะทะในพื้นที่ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โดยฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายโจมตีมายังฝ่ายไทยก่อนนั้น ทำให้คณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน ได้มีมติในการปรับการเคลื่อนไหว จากที่ได้ประกาศว่าจะเคลื่อนขบวนไปเรียกร้องให้หน่วยราชการทำหน้าที่ในวันที่ 11 ก.พ. แต่เมื่อมีเหตุการณ์ที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ทหาร และราษฎรไทย จึงมีความเห็นตรงกันว่าจะขนย้ายสิ่งของ เครื่องใช้จำเป็น ไปช่วยเหลือทหารหาญ และชาวบ้านที่ อ.กันทรลักษ์ โดยจะมีผู้แทนจากคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดินร่วมคณะไปด้วย แต่ไม่มีมวลชนติดตามไป
ในเบื้องต้น จากการประสานงานโดย พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ ซึ่งเป็น 1 ในคณะกรรมการฯ ฝ่ายทหาร ได้ประสานแจ้งสิ่งของที่ต้องการมาบ้างแล้ว ซึ่งผู้ที่สนใจต้องการส่งกำลังใจไปให้ทหาร และชาวบ้านที่เดือดร้อน สามารถร่วมบริจาคสิ่งของเพิ่มเติมได้ที่เต๊นท์กองทัพธรรม จนถึงเวลา 09.00 น. ของวันที่ 11 ก.พ. หากสิ่งของไม่เพียงพอ คณะกรรมการฯจะนำเงินที่ได้รับบริจาคในกองทุนทวงคืนปราสาทพระวิหาร ไปจัดหาเพิ่มเติม คาดว่ารถขนสิ่งของจะเดินทางถึงที่ทำการ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ราว 17.00 น. โดยมีผู้แทนของกองทัพเป็นผู้รับมอบ
11 ก.พ.เคลื่อนไปยังพระบรมรูปร.5
ทั้งนี้ ในวันที่ 11 ก.พ. เวลา 10.00 น. จะมีการเคลื่อนขบวนกลุ่มผู้ชุมนุมไปยังบริเวณพระบรมรูปทรงม้า เพื่อเป็นตัวแทนคนไทยทั้งชาติ กล่าวปฏิญาณตนกับองค์พระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 ในการร่วมเป็นอาสาสมัครในการพิทักษ์รักษาดินแดน ตามพระปรีชาญาณที่พระองค์ทรงทำให้ประเทศไทยเป็นเอกราชมาถึงทุกวันนี้ รวมทั้งทำทุกวิถีทางในการทวงคืนแผ่นดินที่กัมพูชายึดครองไป กลับคืนมา และป้องกันการถูกรุกรานอย่างยั่งยืน ไม่ให้ถูกยึดครองไปอีก โดยตนจะเป็นผู้นำกลุ่มผู้ชุมนุมไปด้วยตนเอง และเมื่อเสร็จสิ้นพิธี ก็จะกลับมายังพื้นที่การชุมนุมเช่นเดิม โดยไม่มีการเดินทางไปที่หน้ารัฐสภาอย่างที่รัฐบาลกังวล
พล.ต.จำลอง ยังเปิดเผยถึงการพบกับ พล.ต.ต.วิชัย ในช่วงเช้าที่ผ่านมาว่า ทางตำรวจได้เจรจาเพื่อขอเปิดช่องทางจราจร แต่ตนได้ปฏิเสธไป พร้อมบอกด้วยว่า เมื่อตำรวจรับคำสั่งจากรัฐบาลมา ควรพิจารณาและตัดสินใจได้โดยไม่ต้องเกรงใจพันธมิตรฯ โดยเฉพาะการจับกุม ซึ่งตนยินดี หรือจะขอพื้นที่คืน สลายการชุมนุม ก็สามารถทำได้ทุกนาที เพราะไม่ว่ารัฐบาลจะประกาศกฎหมาย หรือคำสั่งใด ก็ไม่ทำให้พวกเราออกจากพื้นที่นี้ได้ ซึ่งตนเข้าใจว่า ผู้ที่สัญจรไปมา อาจต้องรถติดบ้าง เสียเวลาบ้าง แต่ก็ดีกว่าเสียดินแดน ฉะนั้นรัฐบาลอย่าพยายามหาวิธีการมากลั่นแกล้งพวกเรา
ส่วนที่ขู่ว่า จะมีการยื่นขอถอนประกันแกนนำพันธมิตรฯ นั้น เราก็ไม่กลัวเช่นกัน
ซัด"กษิต"ไม่รับผิดชอบ
ส่วนกรณีที่นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ กล่าวผ่านรายการโทรทัศน์ ย้ำว่า ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ และกล่าวหาพันธมิตรฯว่ามีความสะใจ จากเหตุการปะทะของทหารนั้น นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ ระบุว่า ถือเป็นคำพูดที่ไม่รับผิดชอบในความผิดพลาดของรัฐบาล โดยสาเหตุของการปะทะที่เกิดจาก MOU 2543 อย่างชัดแจ้ง ล่าสุดมีความพยายามประกาศให้จุดปะทะเป็นพื้นที่สันติภาพ แต่กลับไม่มีการผลักดันให้กองกำลังกัมพูชา ที่ยึดพื้นที่ประเทศไทยทำร้ายราษฎรไทยออกไปจากพื้นที่ ถือเป็นภัยคุกคามที่ยังคงอยู่ในระยะยาว หากมีเหตุการณ์ปะทะอีก รัฐบาลต้องรับผิดชอบ
อย่างไรก็ตาม ตนขอยืนยันว่า พันธมิตรฯต้องการแนวทางสันติวิธีเช่นกัน แต่ต้องมีเครื่องยืนยันว่า ไม่มีการละเมิดดินแดนอธิปไตย และทหารกัมพูชาต้องไม่อยู่ในผืนแผ่นดินไทย หากรัฐบาลทำได้เช่นนี้ ก็จะสามารถป้องกันภัยให้คนไทยได้และไม่จำเป็นต้องมีการตั้งค่ายอพยพให้ราษฎรไทยในแผ่นดินไทย ด้วยซ้ำ
นายประพันธ์ คูณมี กล่าวว่า ตนขอประณามกระทรวงการต่างประเทศของไทย ที่ไม่ทำหน้าที่ปกป้องเอกราชอธิปไตยของประเทศ จากที่กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาออกแถลงการณ์ให้การเท็จ แต่ไม่มีการตอบโต้ โดยเฉพาะคำพูดของ นายกษิต ในเรื่องที่ว่าเหตุการณ์ปะทะเป็นที่สะใจของกลุ่มที่คลั่งชาติ ทั้งที่สาเหตุที่แท้จริงเกิดจากรัฐบาลไม่ทำหน้าที่ ปล่อยให้กัมพูชาเข้ามายึดครองพื้นที่ประเทศไทย โจมตีราษฎร พลเรือนชาวไทย โดยรัฐบาลเพิกเฉย ไม่มีการประท้วง กลับหันมาแว้งกัดพันธทิตรฯ ซึ่งเป็นคนไทยด้วยกัน
นายประพันธ์ กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็ใส่ร้ายพันธมิตรฯผ่านสื่อ โดยให้สัมภาษณ์ว่าพล.ต.จำลอง และกลุ่มผู้ชุมนุม ต้องให้มีการปฏิวัติ และระบุด้วยว่า พล.ต.จำลอง ออกมาเมื่อไร จบไม่สวยทุกครั้ง ตนยืนยันว่า ผู้ชุมนุมไม่เคยเรียกร้องให้มีการปฏิวัติ แต่เรียกร้องให้รัฐบาลทำหน้าที่ หากไม่ทำ ก็ลาออกไป นายกฯอภิสิทธิ์ อย่าพยายามบิดเบือนใส่ร้าย โดยไม่เคารพสิทธิ และไม่ฟังความเห็นของประชาชน ตามแนวทางประชาธิปไตย การที่นายกฯอภิสิทธิ์ไม่ยอมแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองต่างหาก ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ทั้งที่ประกาศว่า นักการเมืองต้องมีจิตสำนึกสูงกว่ากฎหมายนั้น และหากรัฐบาลนี้ถูกปฏิวัติจริง ก็เป็นเพราะดื้นด้าน ไม่สนใจประชาชน
เมื่อเวลา 17.00 น. บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธุ์ โฆษกพันธมิตรฯ และนายประพันธ์ คูณมี โฆษกการชุมนุมฯ ร่วมแถลงข่าวประจำวันต่อสื่อมวลชน โดย นายปานเทพ ได้กล่าวถึงกระแสข่าวการขอพื้นที่คืนของทางเจ้าหน้าที่ ว่า ทางแกนนำพันธมิตรฯและคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน ยังไม่มีผู้ใดได้รับการติดต่อจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ทำให้ไม่ความชัดเจนในการขอพื้นที่คืน เป็นความประสงค์ของผู้ใด และอ้างอิงอำนาจกฎหมายฉบับใด ที่ผ่านมามีเพียงการเจรจาปากเปล่า พูดลอยๆ ซึ่งหากจะมีการกระทำใดๆผู้ที่เกี่ยวข้องควรทำหนังสือให้ชัดเจนมาถึงคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน และผู้ชุมนุมด้วย เพราะผู้ชุมนุมไม่ได้ขึ้นอยู่อาณัติของคณะกรรมการฯ ทุกคนมีอำนาจในการตัดสินใจ เพื่อให้ทราบว่าได้รับมอบหมายจากใคร และผู้ใดเป็นผู้รับผิดชอบทางกฎหมาย ไม่ใช่พูดปากเปล่าตามที่ทำอยู่
นายปานเทพ กล่าวว่า คณะกรรมการฯและพันธมิตรฯเห็นตรงกันว่า สิ่งสำคัญที่รัฐบาลต้องทำในขณะนี้ คือ การทวงคืนดินแดนที่กัมพูชาใช้เป็นฐานทัพโจมตีราษฎรไทย จะเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดมากกว่าการขอคืนพื้นที่ชุมนุมที่นี่ ขอย้ำว่าที่เราอยู่บริเวณนี้ไม่มีการปิดสถานที่ราชการ ข้าราชการสามารถเข้าทำงานได้ การที่จะมายึดพื้นที่ตรงนี้ต้องตอบให้ได้ว่า เหตุใดรัฐบาลจึงเลือกปฏิบัติ ระหว่างคนไทยกับทหารกัมพูชา เพราะทหารกัมพูชาติดอาวุธสงครามอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ และปล่อยให้ยิงราษฎรไทย แต่กับคนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งออกมาชุมนุมเพื่อปกป้องแผ่นดินไทย แทนที่รัฐบาลจะมาร่วมรวมพลัง กลับมีความพยายามที่จะลิดรอนสิทธิของประชาชนเหล่านี้
ผู้สื่อข่าวถามว่าเหตุที่ไม่ยื่นคำร้องต่อศาลปกครอง เนื่องจากเห็นว่ากระบวนการประกาศใช้ถูกต้องใช่หรือไม่ โฆษกพันธมิตรฯกล่าวตอบว่า กระบวนการประกาศบังคับใช้กฎหมายมีข้อสงสัยอยู่แล้วว่าผิดพลาด เพราะการอ้างเหตุความมั่นคงของรัฐ ต้องเกิดขึ้นเพราะผู้ชุมนุมมีเจตนาหรือเป้าหมายที่ทำให้รัฐเสียหาย แต่พันธมิตรฯมาเพื่อพิทักษ์รักษาอธิปไตยของชาติ เพียงแต่ถึงชั่วโมงนี้รัฐบาลยังไม่ได้กำหนดมาตรการที่ชัดเจน โดยในแง่ของข้อกฎหมายการยื่นศาลปกครองต้องมีผู้เสียหายแล้ว
“เหตุในการชุมนุมของเราจะไปเทียบกับคนเสื้อแดงไม่ได้ การชุมนุมของคนเสื้อแดงมีวัตถุประสงค์เพื่ออำนาจทางการเมือง และการฉีกรัฐธรรมนูญ ต่างจากการชุมนุมของพันธมิตรฯที่ชุมนุมภายใต้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องหน้าที่ของพลเมืองไทยในการรักษาแผ่นดินเป็นหลัก รัฐบาลจะใช้อำนาจใดมาสลายการชุมนุมหรือขอพื้นที่คืน กล้ากับคนไม่มีอาวุธ แต่กับกัมพูชาที่ทำร้ายราษฎรไทยกลับไม่กล้า” โฆษกพันธมิตรฯกล่าว
และจากกรณีที่มีนักวิชาการกลุ่มนายชาญวิทย์ เกษตรศิริ ออกมาโจมตีการชุมนุมของพันธมิตรฯเพื่อให้เกิดสงคราม นายปานเทพกล่าวว่า ต้องดูว่าคนที่พูดเป็นใคร เพราะกลุ่มนักวิชาการกลุ่มนี้รับจ้างจากกระทรวงการต่างประเทศเป็นเงิน 7.1 ล้านบาท เราจึงขนานนามว่านักวิชาการ 7.1 ล้าน ซึ่งเขาต้องพูดแบบนี้อยู่แล้ว เพราะกลุ่มที่ฝักใฝ่คนเสื้อแดงและมีทัศนคติต่อต้านพันธมิตรฯ ตนไม่เห็นนักวิชาการที่ไม่มีผลประโยชน์คนไหนออกมากล่าวเช่นนนี้ ทั้ง ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล หรือ ศ.อดุลย์ วิเชียรเจริญ ก็ไม่เห็นพูดเช่นนั้น
เมื่อถามถึงความเคลื่อนไหวของตำรวจภายในทำเนียบรัฐบาลที่นำกำลังราว 500 นายมาออกกำลังกายบริเวณประตูใกล้กับกลุ่มพันธมิตรฯ นายปานเทพ กล่าวว่า น่าจะไปทำที่ชายแดน ไปจับกุมคนกัมพูชาที่เข้ามาอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ ไปขับไล่ทหารกัมพูชา เพื่อสำแดงแสนยานุภาพทางการทหาร มาทำในทำเนียบรัฐบาลเสียแรงเปล่า เพราะไม่มีทหารกัมพูชาอยู่
นายประพันธ์ กล่าวว่า การขอพื้นที่คืนเป็นเพียงกลยุทธ์ที่จะขับเคลื่อนเพียงกดดันผู้ชุมนุมเท่านั้นเอง ซึ่งจริงๆไม่มีความจำเป็น เพียงแค่เจ้าหน้าที่บริหารจัดการพื้นที่จราจรที่เปิดอยู่ให้ดีก็จะไม่มีปัญหาการจราจรติดขัดมาก เพราะฉะนั้นการแหย่ขอพื้นที่บางส่วนคืนเป็นกลยุทธ์แบบได้คืบเอาศอก โดยอ้างความเดือดร้อนเล็กๆน้อยๆของประชาชน ทั้งที่ไม่ยอมแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
โฆษกการชุมนุมฯกล่าวต่อว่า อยากถามรัฐบาลว่าได้ตกลงผลประโยชน์ใดกับนายฮุนเซน ทั้งนายสุเทพ และพล.อ.ประวิตร ที่ต่อสายตรงกับนายฮุนเซน จึงพยายามมากดดันผลักดันพี่น้องประชาชนไทย โดยนายฮุนเซนไม่พอใจที่เวทีพันธมิตรฯกล่าวโจมตีตัวเองโดยตลอด จึงกล่าวหาว่ารัฐบาลไทยรู้กันกับพันธมิตรฯ รัฐบาลจึงต้องไปรับปากมาสลายการชุมนุมโดยอ้างมาตรการทางกฎหมาย เพื่อหวังเอาใจนายฮุนเซน