xs
xsm
sm
md
lg

“สนธิ” ซัด MOU 43 ขายชาติ ชี้ไทยเสียดินแดนแน่ เหตุยอมรับมติศาลโลก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แกนนำพันธมิตรฯ ย้ำการต่อสู้ของภาค ปชช.เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลตระหนักถึงการสูญเสียดินแดน ถือว่าเดินมาถูกทางแล้ว แต่นายกฯ กลับปกป้องเอ็มโอยู 43 จนเป็นเหตุให้ไทยต้องเสียอธิปไตยและแหล่งพลังงานใต้ท้องทะเลมูลค่า 5 ล้านล้านบาท ซัด “อภิสิทธิ์” หน้าบาง ระบุหน้าตาเฉยพอใจคำตัดสินเท่ากับยอมรับมติศาลโลก ด้าน พล.ต.จำลอง ตำหนินายทหารชั้นผู้ใหญ่และสื่อมวลชน ถูกรัฐบาลหลอกลวง และปกปิดข้อมูลการสูญเสียอธิปไตย

 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายสนธิ ลิ้มทองกุล แถลงการณ์  

วันนี้ (20 ก.ค.) ที่บ้านพระอาทิตย์ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวชี้แจงภายหลังประกาศแถลงการณ์พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 4 ฉบับ โดยกล่าวว่า วันนี้เป็นวันพิพากษาแล้ว พิสูจน์ชัดว่าสิ่งที่ประชาชนและภาคประชาชนลุกขึ้นมาเรียกร้องให้รัฐบาลต่อสู้ในเรื่องของการเสียดินแดน อธิปไตย และให้ทหารทำหน้าที่นั้น หากไม่ทำเช่นนี้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราเรียกร้องมาตลอดให้ยกเลิกบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ไทย-กัมพูชา หรือเอ็มโอยู 2543 และรัฐบาลชุดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ปฏิเสธตลอดโดยอ้างว่าเอ็มโอยู 2543 คือตัวแก้ปัญหา วันนี้พิสูจน์ชัดแล้วว่าเอ็มโอยู 2543 คือเอ็มโอยูที่ทำให้ประเทศไทยต้องเสียดินแดน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เอ็มโอยูขายชาติ

ทั้งนี้ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และภาคประชาชนอีกหลายภาค ไม่มีผลประโยชน์อันใดเลยในการชุมนุมที่ผ่านมา นอกจากเรียกร้องและปกป้องดินแดนไทย เรารู้ว่าสิ่งที่เราต่อสู้นั้นถูกต้องไม่ผิด ต้องใช้เวลา วันนี้ศาลโลกได้พิสูจน์เป็นบันไดขั้นที่หนึ่งแล้วว่าเราเสียดินแดนอย่างแน่นอนที่สุด เพราะฉะนั้นข้อมูลอันนี้เป็นที่น่าเสียดายที่สังคมไทยไม่ค่อยได้รับรู้รับทราบ การเสียดินแดนครั้งนี้ไม่ได้เพียงแค่เสียดินแดน แต่จะนำไปสู่การสูญเสียพื้นที่ซึ่งมีพลังงานอันอุดมสมบูรณ์ในอ่าวไทยซึ่งมีมูลค่ากว่า 5 ล้านล้านบาท

นายสนธิกล่าวต่อว่า ทุกอย่างถูกออกแบบมาโดยเอ็มโอยู 2543 ตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย ซึ่งเป็นคนลงนามเอ็มโอยู 2543 ฉะนั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, นายกษิต ภิรมย์, ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ซึ่งเป็นคนเสนอให้ลงนาม และนายสุรินทร์ พิศสุวรรณ รมว.ต่างประเทศขณะนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีการศึกษา ฉลาด ไม่โง่ แต่การลงนามเอ็มโอยู 2543 คือการยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ทันที และเมื่อยอมรับทันทีเท่ากับไทยเสียดินแดนทันที

“จากการที่คุณอภิสิทธิ์ และคุณกษิต ออกมาบอกว่าพอใจกับผลการตัดสินศาลโลก ทำให้เราต้องยกเลิกสิทธิอันชอบธรรมที่เราเคยปฏิเสธศาลโลกมาเมื่อปี พ.ศ. 2505 ว่าเราไม่ยอมรับการตัดสินศาลโลก เพราะฉะนั้นแล้วนี่คือบันไดขั้นแรกของการเสียดินแดน และขอทำนายว่าจะต้องเสียดินแดนอย่างแน่นอนที่สุด และผลของการเสียดินแดนนั้นไม่มีคนอื่นจะรับผิดชอบนอกจากพรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชาชน พรรคไทยรักไทย ตลอดจนมาพรรคเพื่อไทยที่จะถึงต่อไปในอนาคต หากไม่ได้ทำหน้าที่ที่จะปกป้องดินแดน” นายสนธิกล่าว

อย่างไรก็ตาม เราต้องขอแสดงเจตนารมณ์ให้ชัดเจนว่า เราสู้เรื่องนี้เราสู้เพื่อส่วนรวม เราไม่ได้สู้เพื่อตัวเราเอง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่ได้อะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ได้แต่ความเหน็ดเหนื่อย เราสู้เพื่อให้ทหารออกมาทำหน้าที่ เราสู้เพื่อให้นักการเมืองปกป้องแผ่นดินไทย เราสู้เพื่อให้คนไทยทุกคนปกป้องแผ่นดินไทยจากความอยุติธรรมในเอ็มโอยู 2543 และขอย้ำว่าเอ็มโอยู 2543 คือ เอ็มโอยูขายชาติ

ด้าน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า แถลงการณ์ในวันนี้จะเป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่สมบูรณ์ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้นภาคประชาชนเสริมด้วยทหาร ตำรวจนอกราชการ ได้ออกมาต่อสู้เพื่อชาติบ้านเมือง ประสบผลสำเร็จอย่างไร แสดงให้เห็นว่ายังมีประชาชนอีกจำนวนมากที่ไม่ทราบเรื่องราวที่ผ่านมา เพิ่งจะมาตื่นตัวตอนศาลโลกมีประกาศออกมา เพราะว่าสื่อมวลชนบางแขนงหรือหลายแขนงไม่ยอมเผยแพร่เรื่องใหญ่ที่สุดของประเทศชาติให้ประชาชนได้ทราบ เขาก็เลยไม่รู้ เมื่อรู้เขาก็ตกใจ ตอนนี้เริ่มตกใจแล้ว แต่ก็ยังถูกรัฐบาลหลอกอีกว่าน่าพอใจ ซึ่งพอใจอะไรกับการเสียดินแดนให้เขมร ดังนั้นพวกเราจึงอยากจะขอให้ช่วยกันประคับประคองบ้านเมือง โดยการบอกกล่าวในเรื่องสำคัญ แม้จะไม่ได้ประโยชน์จากการโฆษณาหรืออะไรก็ตาม ขอให้ช่วยกันทำก่อนที่บ้านเมืองจะไปไม่รอด

นายสนธิกล่าวต่อว่า สิ่งที่เราทำตั้งแต่ปี 2551 คือ การยืดเวลาการเสียดินแดน จากการชุมนุมประท้วงของเรา หรือปี 2553 ในการประชุมเจบีซี ถ้าไม่เช่นนั้นก็เสียดินแดนไปเรียบร้อยแล้ว เรายืดจนกระทั่งเขมรไม่รู้จะทำเกมอะไรต่อสู้กับพวกเรา จริงๆ แล้วภาคประชาชนเป็นผู้ที่ทำให้การเสียดินแดนนั้นต้องยืดออกไป ทำไมถึงต้องมีตัวแทนของอินโดนิเซียเข้ามา เพราะเขาจะเอาอาเซียนมาบีบ แต่พอเราต่อต้านก็เป็นผลทำให้ทหารออกมาบอกว่าไม่เห็นด้วยเป็นครั้งแรกที่มีผู้สังเกตการณ์อินโดนิเซียเข้ามา ด้วยเหตุนี้ เขมรจึงเล่นเกมเอาเรื่องนี้ไปฟ้องศาลโลก เพราะเขารู้จุดอ่อนของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งก็คือนายอภิสิทธิ์ว่าเป็นรัฐบาลหน้าบาง

“เมื่อไปฟ้องศาลโลกแล้วแทนที่เราจะปฏิเสธไม่เข้าศาลโลก ต้องการทำให้ตัวเองนั้นอยู่ในวงการสากล ก็เลยยอมรับมติศาลโลก พอออกมาแล้วเขารู้ว่านี่คือการเริ่มต้นเสียดินแดนแล้ว แต่เขาต้องการปัดสวะให้พ้นตัว เพราะเขาจะไม่ใช่ผู้นำประเทศอีกแล้ว เขาก็บอกว่าเขาพอใจที่มีการถอนทหารทั้งสองฝ่าย คือเป็นตรรกะง่ายๆ เพื่อให้ประชาชนที่ไม่เข้าใจเรื่องราว บอกว่าไม่เสียหายอะไร ทั้งสองฝ่ายถอนทหารไป แต่หารู้ไม่ว่าเราเสียดินแดนจากมติของศาลโลกนี้ มากกว่าแผนที่ 1 ต่อ 200,000 เสียอีก” นายสนธิกล่าว

พล.ต.จำลองกล่าวต่อว่า เป็นความผิดพลาดอย่างมากมายของนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่ไม่ออกมาทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ในฐานะที่ตัวเองเรียนมาฝึกมา กินเบี้ยเลี้ยงเงินเดือน เงินเพิ่มสู้รบ เพื่อทำหน้าที่หลักอย่างเดียวในการปกป้องแผ่นดิน แต่ไม่ได้ทำ กลับมาปล่อยให้ประชาชนสองมือเปล่า รวมทั้งทหาร ตำรวจนอกราชการซึ่งอยู่ในวัยชราแล้วต้องออกมาลำบากถึงคราวนี้ อยากจะเรียนให้ทราบว่าเราไม่ได้เล่นพวก เรารู้ว่าพวกของเราทำผิดพลาด เราก็บอกตามตรงว่าผิดพลาดไปแล้วจริงๆ

นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า การเสียดินแดนครั้งนี้เรายอมรับว่าศาลได้ทำหน้าที่หมดแล้ว ทั้งศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองสูงสุดก็บอกว่าผิดกฎหมาย แต่คำสั่งของศาลทั้งสองฉบับไม่มีผลในทางปฏิบัติเลย ตนสนใจเรื่องนี้มาก ศาลรัฐธรรมนูญก็บอกว่าผิดกฎหมาย ศาลปกครองสูงสุดก็บอกว่าผิดกฎหมาย แต่ว่ายังไม่มีผลอะไรเลย ทีนี้สถาบันที่สองที่รักษาแผ่นดินไว้คือทหาร สังเกตดูว่าเราได้ยินศัพท์คำว่า ทหารกุนเชียง ทหารพาณิชย์ ทหารการเมือง และคนเลวที่ไปเป็นทหารซึ่งมีอยู่หยิบมือเดียว เขาไม่ใช่ทหารอาชีพเลย เพราะฉะนั้น สถาบันทหารจะต้องฟื้นฟูตัวเองขึ้นมาให้ได้รับการยอมรับในสิ่งที่เราต่อสู้กัน ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร

ทั้งนี้ ตนเห็นว่าในเหตุการณ์เฉพาะหน้าต้องต่อสู้ 2 ประเด็น คือ ยกเลิกเอ็มโอยู 2543 ซึ่งเป็นงานยาก ขนาดเจ้าของยังไม่กล้ายกเลิกคือพรรคประชาธิปัตย์ และการไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก และไม่ปฏิบัติตามศาลโลก ไทยยังคงที่จะต้องตอบโต้และตีในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเช่นเดิม เพราะฉะนั้นในแถลงการณ์จึงระบุว่าเราไม่รับอำนาจศาลโลก และเราจะทำการปกป้องดินแดนเช่นเดิม เหลือแต่ภาคประชาชน ตนหวังว่าประชาชนจะเข้าใจเราดีว่าศาลก็หมดหน้าที่แล้ว ทหารก็ไม่มีทหารอาชีพเลยในขณะนี้ ทหารอาชีพก็มีอยู่มากแต่เงียบเฉย เขากำลังจะทำอะไรอยู่ตนไม่ทราบ แล้วยังเหลือภาคประชาชนอย่างเดียว ซึ่งก็ต่อสู้มาแล้ว 158 วัน ทำได้สูงสุดแค่นี้

ส่วน นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า สำหรับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รักษาการนายกรัฐมนตรี เป็นที่น่าผิดหวังมากว่าสิ่งที่ตัวเองทำผิดพลาดในปลายสมัยของตัวเอง ในระหว่างรัฐบาลรักษาการ แต่ไม่กล้ายอมรับความผิดพลาด ไม่กล้ายอมรับการกระทำของตัวเอง กรณีนายวีระ สมความคิด และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ก็เป็นเหตุหนึ่ง กรณีที่นายสุวิทย์ คุณกิตติ ถอนตัวออกจากมรดกโลกนั้น ซึ่งนายอภิสิทธิ์ในฐานะที่ส่งนายสุวิทย์ไปรับผิดชอบด้วย สุดท้ายก็ไม่กล้าที่จะมีมติคณะรัฐมนตรีในการที่จะยืนยันในสิ่งที่นายอภิสิทธิ์ได้ให้นายสุวิทย์ถอนตัวออกจากมรดกโลก ถือเป็นการไร้ภาวะความเป็นผู้นำ

เมื่อมาถึงกรณีศาลโลก นายอภิสิทธิ์ได้นำรัฐบาลของตัวเองเข้าสู่การพิจารณาของศาลโลก เสร็จแล้วตัวเองก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธในสิ่งที่ศาลโลกได้มีมติออกมา และอำนาจของศาลโลก กลับส่งต่อให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรี นี่เป็นการปัดสวะความรับผิดชอบ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ควรจะต้องพิจารณาว่าถ้าให้นายอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าพรรคต่อไป ความวิบัติของพรรคประชาธิปัตย์ก็จะสืบเนื่องไปอีกยาวนาน สุดท้ายตนอยากจะเรียนกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า พ.ต.ท.ทักษิณคิดอะไร และจะให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ทำอะไร

“วันนี้เราเสนอให้คุณทักษิณคิด และสั่งให้คุณยิ่งลักษณ์ทำ ในคำแถลงการณ์ของเรา แต่ถ้าคุณยิ่งลักษณ์อยากจะแสดงภาวะความเป็นผู้นำ คุณยิ่งลักษณ์ก็จะต้องคิดออกมาดังๆ แล้วบอกจะทำอะไรที่จะไม่รับสายพานสืบทอดต่อจากพรรคประชาธิปัตย์และยาวไกลไปถึงพรรคไทยรักไทย มิฉะนั้นก็จะถูกกล่าวหาว่ามีผลประโยชน์ในเรื่องพลังงานในอ่าวไทยรออยู่ข้างหน้า ของท่านนายกรัฐมนตรีที่มีโอกาสจะเป็นผู้นำประเทศคนต่อไป ก็อยากจะเรียนว่าคุณยิ่งลักษณ์ต้องแสดงภาวะความเป็นผู้นำ คิดอะไรบอกมา และจะทำอะไร และข้อเสนอของเรานั้นคุณยิ่งลักษณ์ต้องตอบว่าจะทำหรือไม่ทำ เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองรักชาติยิ่งกว่าผลประโยชน์ รักชาติยิ่งกว่ารักพี่ชายของตัวเอง” นายพิภพกล่าว

หลังการแถลงข่าวเสร็จสิ้นลง นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวเพียงสั้นๆ ว่า นับจากนี้เป็นต้นไปความเคลื่อนไหวของภาคประชาชนจะหยุดไว้ก่อน โดยให้แถลงการณ์ทั้ง 4 ฉบับเสมือนเป็นคำเตือนที่ให้แต่ละฝ่ายออกมาทำหน้าที่ นอกจากนี้ กรณีที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวเมื่อวานนี้ว่าจะไปยื่นคำร้องต่อศาลอาญากรณีพิพาทเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ในช่วงบ่ายของวันนี้ ขอยกเลิกไว้ก่อนโดยไม่มีกำหนด
กำลังโหลดความคิดเห็น