กต.แจงผ่านเว็บไซต์ การสู้คดีปราสาทพระวิหารในศาลโลก ฉบับประชาชน มั่นใจชี้แจงได้ชัดเจนทุกประเด็น คาด รู้ผลพิจารณาภายใน ปลายเดือน มิ.ย.นี้ หรือต้นเดือนหน้า
เมื่อเวลา 19.24 น.กระทรวงการต่างประเทศ ได้เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ เรื่อง “การดำเนินการ กรณีกัมพูชาขอให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารปี 2505 และให้มีคำสั่งออกมาตรการชั่วคราว (ฉบับประชาชน)”
เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2554 กัมพูชาได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาในคดีปราสาทพระวิหารที่ศาลโลกได้ตัดสินไปเมื่อปี 2505 โดยระบุว่า ไทยกับกัมพูชามีความเห็นที่ขัดแย้งกัน เกี่ยวกับความหมาย หรือขอบเขตของคำพิพากษาดังกล่าว โดยฝ่ายกัมพูชาอ้างว่า ขอบเขตบริเวณปราสาทและพื้นที่ใกล้เคียงได้ถูกกำหนดไว้แล้วตามแผนที่สัดส่วน 1 : 200,000 ระวางดงรัก ซึ่งศาลใช้เป็นพื้นฐานของคำตัดสิน
ในระหว่างที่รอศาลพิจารณาตีความคำพิพากษา กัมพูชาได้ขอให้ศาลโลกออกมาตรการชั่วคราวซึ่งระบุให้
(1) ไทยถอนกำลังทั้งหมดจากส่วนต่างๆ ของดินแดนกัมพูชาในพื้นที่ปราสาทพระวิหารทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข
(2) ห้ามไทยมีกิจกรรมทางทหารใดๆ ในพื้นที่ปราสาทพระวิหาร และ
(3) ให้ไทยงดการกระทำหรือการดำเนินการใดๆ ที่กระทบสิทธิของกัมพูชาหรือเพิ่มความขัดแย้งในคดีการตีความ จนกว่าศาลโลกจะตีความคำพิพากษาแล้วเสร็จ
ซึ่งเมื่อวันที่ 30-31 พฤษภาคม 2554 ผู้พิพากษาศาลโลกได้นั่งพิจารณากรณีการออกมาตรการชั่วคราวแล้ว และคาดว่าจะทราบผลการพิจารณาภายใน ปลายเดือนมิถุนายน-ต้นเดือนกรกฎาคม 2554 ส่วนคำขอให้ตีความคำพิพากษาปี 2505 หลังจากศาลพิจารณาคำขอของกัมพูชาแล้ว จะกำหนดว่าไทยจะต้องยื่นความเห็นต่อศาลเป็นลายลักษณ์อักษรเมื่อใด ซึ่งอาจจะเป็นประมาณ 4-5 เดือนจากนี้ โดยปกติศาลจะใช้เวลาในการพิจารณาคดีประมาณ 1-2 ปี
ในการพิจารณาคดีที่ผ่านมา คณะดำเนินคดีของไทยได้กล่าวต่อศาลครอบคลุมในทุกประเด็นที่ฝ่ายกัมพูชาหยิบยกขึ้น โดยกล่าวภาพรวมเกี่ยวกับนโยบายและท่าทีของไทย และบริบททางการเมือง และความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา ย้ำความสม่ำเสมอ และความต่อเนื่องของท่าทีไทย รวมทั้งความจริงใจในการส่งเสริมความสัมพันธ์กับกัมพูชา จึงไม่มีเหตุผลใดที่ไทยจะต้องสร้างความขัดแย้งกับกัมพูชา ขณะที่ที่ปรึกษากฎหมายระหว่างประเทศ 3 คนของไทยได้ชี้แจงในประเด็นเกี่ยวกับขอบเขตของคดีและเขตอำนาจของศาล ตลอดจนคำขอมาตรการชั่วคราวและคำขอตีความคำพิพากษา เพื่อชี้ให้ศาลเห็นว่า ศาลไม่มีอำนาจในการพิจารณาคำขอทั้งสองของกัมพูชา เนื่องจากไทยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาเมื่อปี 2505 ครบถ้วนแล้ว และฝ่ายกัมพูชาก็ไม่เคยทักท้วงมาเป็นเวลาเกือบ 50 ปี เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งสองประเทศจึงไม่ได้มีความเห็นขัดแย้งกันเกี่ยวกับความหมายหรือขอบเขตของคำพิพากษาที่จะต้องให้ศาลตีความอีก นอกจากนี้ การให้ศาลพิจารณาปัญหาเขตแดนตามที่ฝ่ายกัมพูชาเสนอก็เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนืออำนาจการพิจารณาของศาล เนื่องจากศาลไม่ได้ตัดสินในเรื่องนี้เมื่อปี 2505
ทั้งนี้ ศาลจะพิจารณาตีความคำพิพากษาได้เฉพาะเรื่องที่สืบเนื่องจากคำพิพากษาเดิมเท่านั้น อีกทั้งไทยกับกัมพูชาก็ได้ตกลงที่จะเจรจาจัดทำหลักเขตแดนตลอดแนว รวมถึงบริเวณปราสาทพระวิหารแล้ว โดยลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ปี 2543 (เอ็มโอยู 2543)
นอกจากนี้ ที่ปรึกษากฎหมายของไทยยังได้ชี้ให้ศาลเห็นว่า คำขอมาตรการชั่วคราวของกัมพูชา ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่ศาลกำหนดไว้ อาทิ ต้องเป็นเรื่องเร่งด่วนและส่งผลกระทบต่อสิทธิของฝ่ายหนึ่งอย่างไม่อาจแก้ไขได้ อีกทั้งการที่กัมพูชาขอมาตรการชั่วคราวโดยอ้างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่อื่นที่ห่างจากปราสาทพระวิหาร (เหตุการณ์ปะทะที่บริเวณปราสาทตาเมือนและปราสาทตาควาย เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2554) ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการตีความคำพิพากษาปี 2505 ดังนั้น ด้วยเหตุผลที่กล่าวมา ศาลจึงไม่ควรพิจารณาออกมาตรการชั่วคราว และขอให้ศาลยกคำร้องของฝ่ายกัมพูชา
ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวไปแล้ว จึงเชื่อมั่นได้ว่า ฝ่ายไทยได้เตรียมการในเรื่องนี้มาอย่างรอบคอบและต่อเนื่อง เพราะคาดการณ์ไว้ว่า กัมพูชาอาจนำเรื่องไปยังศาลโลก ตามสิทธิที่มีตามมาตรา 60 ของธรรมนูญของศาลโลก ฝ่ายไทยจึงได้เตรียมการมาเป็นระยะๆ โดยหารือกับที่ปรึกษากฎหมายในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ในการทำงานของฝ่ายไทยได้บูรณาการการทำงานอย่างเป็นระบบระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และโดยที่คดีอยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาลแล้ว จึงไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าผลการพิจารณาจะเป็นเช่นไร เพราะขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของศาลโลก โดยศาลจะพิจารณาจากข้อมูลและหลักฐานต่างๆ ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้เสนอต่อศาลโลกอย่างครบถ้วนแล้ว