ผ่าประเด็นร้อน
ดูตามรูปการณ์แล้วหากเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งด้วยระบบที่เป็นอยู่คงไม่มีอะไรมาหยุดยั้งไม่ให้กระบวนการ “ฟอกตัว” ของทักษิณ ชินวัตร ดำเนินไปสู่เป้าหมายตามที่ต้องการได้ เพราะเมื่อพิจารณาจากผลสำรวจทุกสำนัก ล่าสุดแม้แต่ “นิด้าโพล” ที่หลายคนมีการกล่าวหาว่าอาจจะโน้มเอียงไปทางฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังออกมาสำทับอีกว่า พรรคเพื่อไทยมีคะแนนนำห่างหลายเปอร์เซ็นต์ นั่นก็หมายความว่าโอกาสที่พรรคเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาล รวมไปถึงการนิรโทษกรรมให้กับ ทักษิณ ก็ต้องเดินไปตามเป้าหมายดังกล่าวอย่างแน่นอน
ทุกอย่างก็ไม่น่าจะออกมาผิดเพี้ยนไปจากนี้ และย่อมมีแนวโน้มให้เห็นว่าวิกฤตของบ้านเมืองรออยู่ข้างหน้า เนื่องจากคงไม่ยอมให้เกิดรายการใช้ “อภิสิทธิชน” เอาเปรียบคนอื่น เพราะเป็นการทำลายระบบศาลยุติธรรมลงอย่างยับเยิน
นาทีนี้ไม่ต้องพูดกันมากแล้ว เพราะเมื่อพิจารณาจากฝ่ายทักษิณ ที่ระบุออกมาอย่างชัดเจน มีการกำหนดวันเวลาเสร็จสรรพแล้วว่าจะเดินทางกลับประเทศไทยในเดือนธันวาคม ก็แสดงให้เห็นว่าเขามั่นใจแล้วว่าพรรคเพื่อไทยจะต้องได้ชัยชนะ อำนาจรัฐก็จะตกในมือของเขา ส่วนจะผ่านทางของ “โคลนนิ่ง” ในนาม ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวหรือไม่ก็ค่อยดูกันอีกทีหนึ่ง แต่เส้นทางน่าจะต้องเดินมาแบบนี้
อย่างไรก็ดี อีกด้านหนึ่งมันก็ย่อมส่อให้เห็นถึงแนวโน้มถึงความยุ่งยาก ทางออกเริ่มตีบตันทุกทีเพราะเริ่มมีการก่อหวอดตั้งขบวนต่อต้านกันบ้างแล้ว เนื่องจากเห็นตรงกันว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เป็นการ “เห็นแก่ตัว” และเป็น “ตรรกะที่ผิดเพี้ยน” ใช้กระบวนการเลือกตั้ง มา “ฟอกความผิด” ให้แก่ตัวเอง
แม้ว่าในระยะหลังมีความพยายามที่จะปรับวิธีการใหม่ให้แนบเนียนมากกว่าเดิม โดยเปลี่ยนวิธีการใหม่เป็นการ “ลงประชามติ” แทนการอ้างการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว ซึ่งการลงประชามติถามประชาชนว่าจะมีการนิรโทษกรรมให้ตัวเอง ก็ยังถือว่าเป็น “วาระซ่อนเร้น” อยู่ดี แม้ว่าจะดูเหมือนว่าเป็นการแสดงให้เห็นว่ามีความเกรงใจ แยกออกมาถามประชาชนเสียก่อนว่าจะเอาด้วยหรือไม่ แต่ปัญหาก็คือความผิดของทักษิณ ชินวัตร มันเป็นคดีอาญาที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งไม่เคยมีธรรมเนียมที่ไหนเขาทำกัน เพราะหากเป็นแบบนั้นนักโทษทุกคนที่ถูกศาลตัดสินจำคุกในเรือนจำก็จะต้องถูกปล่อยตัวออกมาเหมือนกันหรือไม่ รวมไปถึงพวกที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นพวก “ล้มเจ้า” โดยใช้ตรรกะเดียวกันเพื่อให้เกิดความเสมอภาค ไม่เว้นว่าจะเป็น “เศรษฐี” หรือ “ไพร่”
ขณะเดียวกัน ถ้าเกิดมีรายการ “ฟ้าถล่ม” พลิกล็อกผลออกมาแบบกลับหลังหัน ฝ่ายประชาธิปัตย์ และอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี มี สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นผู้จัดการรัฐบาล และมีพรรคภูมิใจไทยของ เนวิน ชิดชอบ เข้ามาเป็นพรรคร่วมรัฐบาล นั่นคือมีผลการเลือกตั้งออกมาในแบบสูสี หรือว่าพรรคประชาธิปัตย์แพ้ไม่กี่คะแนน ทั้งสองพรรคดังกล่าวสามารถกอดคอกันแน่นเพื่อกอดคอกันตั้งรัฐบาล มันก็สุ่มเสี่ยงที่จะเกิดรายการ “ป่วน” ตามมาแน่นอน
เนื่องจากเป็นที่คาดหมายกันไว้ล่วงหน้ากันว่าหาก คราวนี้พรรคเพื่อไทยหรือ ทักษิณ พ่ายแพ้การเลือกตั้ง ไม่ได้จัดตั้งรัฐบาล ไม่มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ นั่นก็หมายความว่าตัวเองก็ยังมีชนักปักหลังจากคดีทุจริต ใช้อำนาจมิชอบอยู่ต่อไปเหมือนเดิม คนพวกนี้ก็ไม่มีทางจะอยู่นิ่งเฉย
เมื่อพิจารณาจากสภาพที่เป็นอยู่ก็เป็นไปได้สูงยิ่งที่พรรคเพื่อไทยจะชนะเลือกตั้ง เพียงแต่ว่าจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่เท่านั้น เนื่องจากมีหลายปัจจัยทั้งภายในและภายนอกเข้ามาแทรกซ้อน เริ่มจากปัจจัยภายในก่อนก็คือคะแนนเสียงของพรรคเพื่อไทยมีไม่มากพอที่จะเป็นรัฐบาลเพียงพรรคเดียวต้องดึงพรรคอื่นเข้ามา ส่วน “ปัจจัยภายนอก” ที่ถูกระบุว่าอาจเข้ามาร่วมกดดันบีบบังคับให้เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งในที่นี้อาจจะมาจาก “พรรคสีเขียว” ตามที่มีการสร้างกระแสในเรื่องการ “จัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร” ก่อนหน้านี้ โอกาสก็ย่อมเกิดขึ้นได้ทั้งสองทาง
หากพิจารณาตามสถานการณ์แล้วนี่คือวิกฤติที่รออยู่ข้างหน้า โอกาสเกิดขึ้นได้ทั้งสองทางไม่ว่าฝ่ายไหนจะได้จัดตั้งรัฐบาล เพราะหากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลเราก็จะต้องได้เห็นการนิรโทษกรรมให้กับ ทักษิณ กับพวก ไม่ต่างจาก “พวกเทวดา” มี “อภิสิทธิชน” เหนือคนอื่น ขณะที่อีกฝ่ายคือ ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลก็จะเกิดความวุ่นวาย มีโอกาสเผาบ้านเมืองกันอีกรอบจากคนเสื้อแดง เพราะจะต้องบอกว่าตัวเองถูกโกง ถูกปล้นชัยชนะจากอำนาจ “พิเศษ” กันซ้ำซาก และที่สำคัญไปกว่านั้นไม่ว่าฝ่ายไหนจะมา เราก็จะมีนักเลือกตั้ง ผู้ก่อการร้าย โจรห้าร้อยใส่สูทเข้ามา แฝงตัวเป็นผู้ทรงเกียรติไม่ต่างจากสัตว์นรกกันเต็มสภา
อย่างไรก็ดี เราก็มีหนทางที่จะหยุดยั้งวิกฤตของบ้านเมืองที่กำลังจะเกิดข้างหน้าได้อย่างสมเหตุสมผล ไม่จำเป็นต้องมีการประท้วงจนต้องเสี่ยงกับการเสียเลือดเนื้อกันอีก นั่นคือ วิธีการ “โหวตโน” เพื่อหาทางออกให้กับบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นการกดดันนักการเมืองชั่วๆ ไม่ให้อ้างสิทธิ์นำไปสร้างความชอบธรรมแบบมั่วๆกันเหมือนเดิมอีกต่อไป ขณะเดียวกันถ้าพี่น้องรวมพลังกันไปใช้สิทธิ์โหวตโนกาในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน ยิ่งมีจำนวนมากเท่าใด ก็ยิ่งมีพลังมากขึ้นเท่านั้น เป็นการส่งสัญญาณให้เห็นชัดเจนว่าชาวบ้านเขาไม่นิ่งเฉย และไม่ยอมรับนักเลือกตั้งประเภทนี้อีกต่อไป
ลองนึกดูก็แล้วกันว่า หากผลโหวตออกมามีคนออกไปแสดงเจตนารมณ์โหวตโนพร้อมกันหลายล้านเสียงมันจะเกิดอะไรขึ้น เป็นการแสดงให้เห็นว่ามีคนที่ตื่นตัวและไม่ยอมรับนักการเมืองประเภทนี้อีกต่อไปจึง “ตั้งใจ” มาลงคะแนน “ไม่เลือกใคร” เป็นการกดดันไม่ให้ทำอะไรได้ตามอำเภอใจได้อีกต่อไป นั่นหมายความว่าความตั้งใจสำหรับการปฏิรูปการเมืองให้เข้าสู่ยุคใหม่โดยภาคประชาชนจะได้เป็นจริง และไปในทิศทางที่ประชาชนต้องการ ไม่ใช่กำหนดโดยนักการเมือง “ขี้ฉ้อ” อย่างที่เป็นมาทุกยุคสมัย
ดังนั้น นาทีนี้หากพิจารณาจากปัจจัยทุกอย่างรอบด้านดังกล่าว มีทางเดียวที่จะหยุดวิกฤติชาติที่กำลังรออยู่ข้างหน้าก็คือ ต้องร่วมใจกันไป “โหวตโน” เพราะนี่คือการสั่งสอนนักการเมืองเก่าๆที่ไร้ค่า มีแต่เข้ามาเกาะกินชาติ จนชาวบ้านเอือมระอา และที่ผ่านมาก็ต้องฝืนใจเลือกคนพวกนี้เข้ามาเหมือนกับยอมจำนน แต่คราวนี้ถึงเวลาที่ต้องแสดงพลัง “ไม่เลือกใคร” เพราะไม่ต่างจาก “อัปรีย์ไปจัญไรมา” จึงต้องสั่งสอนให้รู้สำนึก!!