โพลทุกสำนักเว้นพรรคประชาธิปัตย์ สำรวจพบว่า พรรคเพื่อไทย ซึ่งมีทักษิณ ชินวัตร บงการอยู่ขณะนี้ชนะขาดในการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 3 กรกฎาคมนี้
เป็นอันว่ารัฐบาลใหม่จะมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ หรือหากชนะถล่มทลายก็อาจจะได้จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว หากไม่ก็อาจจะมีพรรคชาติไทย พรรคพัฒนาชาติไทย และพรรคเล็กพรรคน้อยอื่นๆ เว้นพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็อาจจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย รองนายกรัฐมนตรีก็อาจจะเป็น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ดูแลด้านความมั่นคง นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ดูแลด้านเศรษฐกิจ พลเอกชัยสิทธิ์ ชินวัตร เป็นรัฐมนตรีกลาโหม นายจตุพร พรหมพันธุ์ เป็นรัฐมนตรีช่วยกลาโหม นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยมีนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นรัฐมนตรีช่วยฯ
พรรคชาติไทยหากได้เข้าร่วมรัฐบาล นายชุมพล ศิลปอาชา ก็ต้องเป็นรัฐมนตรีกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง ไม่แน่นัก เที่ยวนี้นายบรรหาร อาจจะส่งคุณหญิงแจ่มใจมาเป็นรัฐมนตรีก็ได้ ใครจะไปรู้เพราะลูกสาว นางสาวกาญจนา ลูกชายยังมาไม่ได้ และก็อาจจะถึงเวลาที่ พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ จะได้สนับสนุนลูกชายให้เป็นรัฐมนตรีดังที่เคยตั้งใจไว้
พรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งมีนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อยู่เบื้องหลัง ก็คงจะส่งภริยามาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งเหมือนเดิม ถ้าหากโควตาเหลือก็จะเป็นของตระกูลสุรรณฉวี อาจจะเป็นภรรยานายไพโรจน์ ที่ล่วงลับไปแล้ว หรือไม่ก็อาจจะยกตำแหน่งรัฐมนตรีให้ลูกชาย ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาของนักการเมืองบ้านเราที่จะมีลูกชาย ลูกสาว เมีย ผัว น้อง น้องเมีย น้องผัว พี่ พี่เมีย เมียน้อย เป็นนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการฯ รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ หรือตำแหน่งทางการเมืองตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งได้ ไม่ว่าจะมีความสามารถหรือไม่มีความสามารถ ทำงานไม่เป็นสัปะรดขลุ่ยยังไงก็ได้ เพราะเขามาโดยโควตาอย่างหนึ่ง และอีกอย่างหนึ่ง ประชาชนของประเทศนี้ก็ว่านอนสอนง่าย ยอมรับง่าย ยอมรับได้ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม
เพราะเขาชนะเลือกตั้งมาแล้ว ประชาชนหย่อนบัตรลงคะแนนให้เขาแล้ว
ส่วนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกรัฐมนตรีก็คงจะได้เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภา หากท่านไม่ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เสียก่อน ดังที่ได้ลั่นวาจาไว้ว่า หากพาพรรคประชาธิปัตย์แพ้เลือกตั้งได้ไม่ถึง 170 เสียง จะลาออก (ความจริงควรที่จะลาออกตั้งแต่แพ้นายสมัคร สุนทรเวช โน่นแล้ว เพราะการกดดันให้นายบัญญัติ บรรทัดฐาน หัวหน้าพรรคคนก่อนพ้นจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคก็อ้างว่า นายบัญญัติพาพรรคประชาธิปัตย์แพ้ทักษิณในการเลือกตั้ง)
การเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ น่าจะเป็นตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุด เพราะนายอภิสิทธิ์นั้น ท่านเป็นคนเจ้าคารี้สีคารม พูดเก่ง ดีเบตเก่ง ทอดตาไปทั่วแผ่นดินแล้วแทบจะหาคนที่สองไม่เจอ สมญานามที่ประชาชนตั้งให้ระหว่างที่มีการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ไม่ว่าจะไปทางไหน เหนือ ใต้ ออก ตก ท่านก็จะเจอป้ายคำว่า “ดีแต่พูด” นั่น ย่อมได้มามิใช่โชคช่วย หากเป็นด้วยความสามารถพิเศษของท่านล้วนๆ
แล้วบ้านเมืองจะเป็นอย่างไรต่อไป?
การที่พรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งได้จัดตั้งรัฐบาลมิใช่เรื่องแปลก พรรคเพื่อไทยกำเนิดมาจากพรรคพลังประชาชน ซึ่งมีรากเหง้ามาจากพรรคไทยรักไทย และชนะเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ตลอดมานับตั้งแต่ปี 2543 ที่นายอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี นั่นก็เพราะพรรคพลังประชาชนถูกยุบ แล้วมีสมาชิกพรรคส่วนหนึ่งแยกตัวออกมา แล้วมาตั้งพรรคภูมิใจไทย และมาสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งฝ่ายเสื้อแดงอ้างความไม่ชอบธรรมของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ว่า ไม่เป็นประชาธิปไตยเพราะมีมือที่มองไม่เห็นบีบพรรคการเมืองบางพรรคให้ร่วมรัฐบาล หรือแม้กระทั่งกล่าวหาว่า จัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร และถือเป็นเหตุให้ฝ่ายเสื้อแดงชุมนุมคัดค้านเผาบ้านเผาเมืองในเหตุการณ์สงกรานต์ปี 2552 และ 2553 ดังที่ทราบกันดีอยู่แล้ว
รัฐบาลที่จะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม จึงเป็นรัฐบาลที่ไม่แตกต่างไปจากรัฐบาลนายสมัคร นายสมชาย หลังการเลือกตั้งเดือนธันวาคม 2550 เพียงแต่มีนายกรัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรีที่เปลี่ยนหน้าไปดังที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่ก็ล้วนมาจากเทือกเถาเหล่ากอเดียวกัน สปีชี่เดียวกัน ไฟลั่มเดียวกันทั้งสิ้น
มีที่พิเศษก็คือ ฝ่ายทักษิณถือว่าการเลือกตั้งเที่ยวนี้อาจจะพิเศษหน่อยตรงที่คนที่เป็นนายกรัฐมมนตรีนั้นคือน้องสาวของเขาเอง โคลนนิ่งมาจากตัวเขาเอง เพราะฉะนั้นก็จะง่ายกว่าการสั่งการนายสมัคร สุนทรเวช นอมินีตัวแรก เป้าหมายที่ทักษิณต้องการก็คือ การกลับประเทศไทยอย่างผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง คดีความทั้งหลายทั้งปวงต้องพ้นจากสารบบศาล
นี่เป็นเป้าหมาย เป็นความเรียกร้องต้องการที่ทักษิณ ไม่ได้สรุปบทเรียนจากรัฐบาลสมัคร สมชาย ขี้ข้าม้าใช้ของเขารายแรกๆ เขามองไม่เห็นประชาชนเรือนหมื่นเรือนแสนที่ออกมาคัดค้านจนกระทั่งสมัคร สมชาย ไม่อาจช่วยเขาได้แม้แต่นิดเดียว
คราวนี้นอกจากประชาชนเรือนหมื่นเรือนแสนที่เคยคัดค้านรัฐบาลสมัคร สมชาย เมื่อปี 2551 อย่างแข็งขันแล้ว รัฐบาลโคลนนิ่งของทักษิณ ยังจะต้องเจอกับประชาชนนับล้านๆ ที่ปฏิเสธการเลือกตั้งน้ำเน่า ปฏิเสธนักการเมือง พรรคการเมือง นักเลือกตั้งที่อาศัยการเลือกตั้งปู้ยี้ปูยำประเทศชาติมาเป็นเวลานาน 3 ทศวรรษด้วยการกาบัตรเลือกตั้งในช่อง ไม่ประสงค์จะลงคะแนน (เพื่อให้เกิดการปฏิรูปประเทศไทยใหม่ เพื่อแก้ไขกฎหมายให้เป็นธรรม เพื่อให้นักการเมืองชั่วๆ มองเห็นเงาหัวตัวเอง ฯลฯ) ด้วยแล้ว การช่วยเหลือ ทักษิณให้พ้นผิดกลับประเทศไทยได้อย่างสง่าผ่าเผยนั้นมองไม่เห็นเลย นอกจากจะกลับมาเข้าคุก
ยังมี ต้องไม่ลืมว่า การเป็นพยานเท็จในคดียึดทรัพย์ทักษิณ ป้ายหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ เสี่ยงต่อคุกตะรางของนางสาวยิ่งลักษณ์ และเสี่ยงต่อการที่พรรคเพื่อไทยจะถูกยุบพรรคยิ่งนัก
หลัง 3 กรกฎาคม คอยดูก็แล้วกัน
เป็นอันว่ารัฐบาลใหม่จะมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ หรือหากชนะถล่มทลายก็อาจจะได้จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว หากไม่ก็อาจจะมีพรรคชาติไทย พรรคพัฒนาชาติไทย และพรรคเล็กพรรคน้อยอื่นๆ เว้นพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็อาจจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย รองนายกรัฐมนตรีก็อาจจะเป็น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ดูแลด้านความมั่นคง นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ดูแลด้านเศรษฐกิจ พลเอกชัยสิทธิ์ ชินวัตร เป็นรัฐมนตรีกลาโหม นายจตุพร พรหมพันธุ์ เป็นรัฐมนตรีช่วยกลาโหม นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยมีนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นรัฐมนตรีช่วยฯ
พรรคชาติไทยหากได้เข้าร่วมรัฐบาล นายชุมพล ศิลปอาชา ก็ต้องเป็นรัฐมนตรีกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง ไม่แน่นัก เที่ยวนี้นายบรรหาร อาจจะส่งคุณหญิงแจ่มใจมาเป็นรัฐมนตรีก็ได้ ใครจะไปรู้เพราะลูกสาว นางสาวกาญจนา ลูกชายยังมาไม่ได้ และก็อาจจะถึงเวลาที่ พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ จะได้สนับสนุนลูกชายให้เป็นรัฐมนตรีดังที่เคยตั้งใจไว้
พรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งมีนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อยู่เบื้องหลัง ก็คงจะส่งภริยามาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งเหมือนเดิม ถ้าหากโควตาเหลือก็จะเป็นของตระกูลสุรรณฉวี อาจจะเป็นภรรยานายไพโรจน์ ที่ล่วงลับไปแล้ว หรือไม่ก็อาจจะยกตำแหน่งรัฐมนตรีให้ลูกชาย ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาของนักการเมืองบ้านเราที่จะมีลูกชาย ลูกสาว เมีย ผัว น้อง น้องเมีย น้องผัว พี่ พี่เมีย เมียน้อย เป็นนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการฯ รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ หรือตำแหน่งทางการเมืองตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งได้ ไม่ว่าจะมีความสามารถหรือไม่มีความสามารถ ทำงานไม่เป็นสัปะรดขลุ่ยยังไงก็ได้ เพราะเขามาโดยโควตาอย่างหนึ่ง และอีกอย่างหนึ่ง ประชาชนของประเทศนี้ก็ว่านอนสอนง่าย ยอมรับง่าย ยอมรับได้ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม
เพราะเขาชนะเลือกตั้งมาแล้ว ประชาชนหย่อนบัตรลงคะแนนให้เขาแล้ว
ส่วนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกรัฐมนตรีก็คงจะได้เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภา หากท่านไม่ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เสียก่อน ดังที่ได้ลั่นวาจาไว้ว่า หากพาพรรคประชาธิปัตย์แพ้เลือกตั้งได้ไม่ถึง 170 เสียง จะลาออก (ความจริงควรที่จะลาออกตั้งแต่แพ้นายสมัคร สุนทรเวช โน่นแล้ว เพราะการกดดันให้นายบัญญัติ บรรทัดฐาน หัวหน้าพรรคคนก่อนพ้นจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคก็อ้างว่า นายบัญญัติพาพรรคประชาธิปัตย์แพ้ทักษิณในการเลือกตั้ง)
การเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ น่าจะเป็นตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุด เพราะนายอภิสิทธิ์นั้น ท่านเป็นคนเจ้าคารี้สีคารม พูดเก่ง ดีเบตเก่ง ทอดตาไปทั่วแผ่นดินแล้วแทบจะหาคนที่สองไม่เจอ สมญานามที่ประชาชนตั้งให้ระหว่างที่มีการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ไม่ว่าจะไปทางไหน เหนือ ใต้ ออก ตก ท่านก็จะเจอป้ายคำว่า “ดีแต่พูด” นั่น ย่อมได้มามิใช่โชคช่วย หากเป็นด้วยความสามารถพิเศษของท่านล้วนๆ
แล้วบ้านเมืองจะเป็นอย่างไรต่อไป?
การที่พรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งได้จัดตั้งรัฐบาลมิใช่เรื่องแปลก พรรคเพื่อไทยกำเนิดมาจากพรรคพลังประชาชน ซึ่งมีรากเหง้ามาจากพรรคไทยรักไทย และชนะเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ตลอดมานับตั้งแต่ปี 2543 ที่นายอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี นั่นก็เพราะพรรคพลังประชาชนถูกยุบ แล้วมีสมาชิกพรรคส่วนหนึ่งแยกตัวออกมา แล้วมาตั้งพรรคภูมิใจไทย และมาสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งฝ่ายเสื้อแดงอ้างความไม่ชอบธรรมของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ว่า ไม่เป็นประชาธิปไตยเพราะมีมือที่มองไม่เห็นบีบพรรคการเมืองบางพรรคให้ร่วมรัฐบาล หรือแม้กระทั่งกล่าวหาว่า จัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร และถือเป็นเหตุให้ฝ่ายเสื้อแดงชุมนุมคัดค้านเผาบ้านเผาเมืองในเหตุการณ์สงกรานต์ปี 2552 และ 2553 ดังที่ทราบกันดีอยู่แล้ว
รัฐบาลที่จะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม จึงเป็นรัฐบาลที่ไม่แตกต่างไปจากรัฐบาลนายสมัคร นายสมชาย หลังการเลือกตั้งเดือนธันวาคม 2550 เพียงแต่มีนายกรัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรีที่เปลี่ยนหน้าไปดังที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่ก็ล้วนมาจากเทือกเถาเหล่ากอเดียวกัน สปีชี่เดียวกัน ไฟลั่มเดียวกันทั้งสิ้น
มีที่พิเศษก็คือ ฝ่ายทักษิณถือว่าการเลือกตั้งเที่ยวนี้อาจจะพิเศษหน่อยตรงที่คนที่เป็นนายกรัฐมมนตรีนั้นคือน้องสาวของเขาเอง โคลนนิ่งมาจากตัวเขาเอง เพราะฉะนั้นก็จะง่ายกว่าการสั่งการนายสมัคร สุนทรเวช นอมินีตัวแรก เป้าหมายที่ทักษิณต้องการก็คือ การกลับประเทศไทยอย่างผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง คดีความทั้งหลายทั้งปวงต้องพ้นจากสารบบศาล
นี่เป็นเป้าหมาย เป็นความเรียกร้องต้องการที่ทักษิณ ไม่ได้สรุปบทเรียนจากรัฐบาลสมัคร สมชาย ขี้ข้าม้าใช้ของเขารายแรกๆ เขามองไม่เห็นประชาชนเรือนหมื่นเรือนแสนที่ออกมาคัดค้านจนกระทั่งสมัคร สมชาย ไม่อาจช่วยเขาได้แม้แต่นิดเดียว
คราวนี้นอกจากประชาชนเรือนหมื่นเรือนแสนที่เคยคัดค้านรัฐบาลสมัคร สมชาย เมื่อปี 2551 อย่างแข็งขันแล้ว รัฐบาลโคลนนิ่งของทักษิณ ยังจะต้องเจอกับประชาชนนับล้านๆ ที่ปฏิเสธการเลือกตั้งน้ำเน่า ปฏิเสธนักการเมือง พรรคการเมือง นักเลือกตั้งที่อาศัยการเลือกตั้งปู้ยี้ปูยำประเทศชาติมาเป็นเวลานาน 3 ทศวรรษด้วยการกาบัตรเลือกตั้งในช่อง ไม่ประสงค์จะลงคะแนน (เพื่อให้เกิดการปฏิรูปประเทศไทยใหม่ เพื่อแก้ไขกฎหมายให้เป็นธรรม เพื่อให้นักการเมืองชั่วๆ มองเห็นเงาหัวตัวเอง ฯลฯ) ด้วยแล้ว การช่วยเหลือ ทักษิณให้พ้นผิดกลับประเทศไทยได้อย่างสง่าผ่าเผยนั้นมองไม่เห็นเลย นอกจากจะกลับมาเข้าคุก
ยังมี ต้องไม่ลืมว่า การเป็นพยานเท็จในคดียึดทรัพย์ทักษิณ ป้ายหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ เสี่ยงต่อคุกตะรางของนางสาวยิ่งลักษณ์ และเสี่ยงต่อการที่พรรคเพื่อไทยจะถูกยุบพรรคยิ่งนัก
หลัง 3 กรกฎาคม คอยดูก็แล้วกัน