xs
xsm
sm
md
lg

“แม้ว” ไต่บันไดขั้นสองยึดอำนาจ-บล็อก “สีเขียว” ขยับไม่ออก !!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

ยิ่งใกล้รู้ผลการเลือกตั้งมากเท่าใดก็ยิ่งทำให้บรรยากาศการเมืองตึงเครียดมากขึ้นเป็นลำดับ เนื่องจากเป้าหมายของแต่ละฝ่ายต่างก็ต้องการแย่งชิงอำนาจรัฐกันทั้งสิ้น อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาในความเป็นไปได้มากที่สุด ขอแยกออกมาเป็นสองขั้วหลักๆ เท่านั้น คือ ขั้วที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์ ผลักดันให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับมาเป็นายกรัฐมนตรีอีกรอบ ขณะที่ขั้วที่ 2 นำโดยพรรคเพื่อไทย เสนอชื่อ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัครบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

ส่วนขั้วที่ 3 ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มกันของพรรคขนาดกลางและขนาดเล็กนั้น นาทีนี้ถือว่าแทบเป็นไปไม่ได้เอาเสียเลย ที่ผ่านมาเป็นแค่ “วาทกรรมอำพราง” ทางการเมืองเท่านั้น เนื่องจากเวลานี้พรรคการเมืองในกลุ่มนี้ ต่างก็เคลื่อนไหว “เอาตัวรอด” กันแล้ว แม้กระทั่งเอ็มโอยูที่ลงนามกันล่วงหน้าระหว่างพรรคชาติไทยพัฒนากับพรรคภูมิใจไทยว่า “ไปไหนไปกัน” นั้น ล่าสุดทำท่าจะจะถูก “ฉีกทิ้ง” อย่างไร้ความหมาย ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่า “ประเทศชาติต้องการปรองดอง และต้องเดินไปข้างหน้า”

อย่างไรก็ดี เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดมากขึ้น ก็ต้องสรุปเข้าไปใกล้อีกก็คือ เวลานี้หากพิจารณาจากแนวโน้มแล้วหลายฝ่ายเริ่มมองเห็นแล้วว่า พรรคเพื่อไทยน่าจะชนะการเลือกตั้งเหนือพรรคประชาธิปัตย์ ส่วน ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรจะเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องรอดูคำตอบหลังจากรู้ผลการนับคะแนนได้จำนวน ส.ส.ไปแล้ว

สาเหตุที่ยังไม่ชัวร์ว่า ยิ่งลักษณ์จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่นั้น เนื่องจากหนทางข้างหน้ายังเต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนามไม่น้อย โดยเฉพาะในด้านกฎหมายในเรื่องคดี ให้ “ข้อมูลเท็จ” กรณีคดีซุกหุ้นภาค 2 ของ พี่ชายคือ ทักษิณ ชินวัตร ที่เวลานี้ แก้วสรร อติโพธิ อดีตกรรมการตรวจสอบการกระทำอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) นักวิชาการด้านกฎหมายคนสำคัญพร้อมด้วยทีมงานได้ “เงื้อง่า” เตรียมเข้าแจ้งความดำเนินคดีเอาไว้แล้ว หากทุกอย่างดำเนินการเข้าสู่กระบวนการศาลเมื่อไหร่นั่นก็หมายความว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็จะเป็นคู่กรณีทำให้การเสนอออกกฎหมายนิรโทษกรรมหรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจมีปัญหา ในข้อห้ามเรื่อง “ขัดกันแห่งผลประโยชน์” แม้ว่าล่าสุดทางคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้มีมติออกมา “ฟอกตัว” ให้ยิ่งลักษณ์ แล้วว่า กรณีการถือหุ้นแทนของเธอให้กับ ทักษิณ พี่ชาย นั้นไม่เข้าข่ายความผิด เนื่องจากเป็นการถือหุ้นไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ใช่ว่าจะพ้นวิบากกรรมไปได้ เพราะยังมีประเด็นอื่นในทางกฎหมายตามมาอีก ซึ่งจากการระบุของ แก้วสรร ว่าเป็น “ความผิดที่สำเร็จแล้ว”
 

นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า ทักษิณก็ไม่ต้องการให้น้องสาว “ช้ำ” ไปก่อนเวลาอันควร มีความประสงค์ตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่ได้ต้องการผลักดันให้เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากรู้ดีว่าต้องเจอกับแรงเสียดทานขนาดหนักรอบด้าน ในฐานะที่เข้ามาเป็นตัวแทนของตระกูลชินวัตร ขณะที่ตัวเธอยังด้อยประสบการณ์จึงเป็นเรื่องสุ่มเสี่ยง แต่ที่ต้องลงสมัครในระบบบัญชีรายชื่ออันดับที่ 1 ทางหนึ่งก็เพื่อสร้างกระแส “ตัวแทน” หรือ “โคลนนิ่ง” อย่างที่ได้ระบุเอาไว้ แต่เมื่อถึงเวลาเอาจริงก็มีตัวเลือกคนอื่นที่ “ซ่อน” เอาไว้แล้ว ซึ่งเท่าที่พอมองเห็นแว่บๆก็อาจจะเป็น พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ผู้สมัครบัญชีรายชื่อของพรรคลำดับที่ 5 ก็ได้

อย่างไรก็ดี เอาเป็นว่านาทีนี้แม้ว่าในเชิงลึกอาจจะยังไม่ชัดเจนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ยิ่งลักษณ์ จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ด้วยเหตุผลทางกฏหมายดังกล่าว แต่เมื่อดูจากสถานการณ์แวดล้อมรอบด้านแล้วก็น่าจะเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งเป็นไปได้สูงยิ่ง สูงกว่าพรรคประชาธิปัตย์แน่นอน

แต่ขณะเดียวกันก็ใช่ว่าหนทางข้างหน้าจะไม่มีอุปสรรค เนื่องจากยังมี “กลุ่มอำนาจ” สำคัญที่ยังไว้ใจไม่ได้เต็มร้อย นั่นก็คือ กองทัพ หรือ “พรรคสีเขียว” ที่แม้ว่าเวลานี้มีการกำหนดออกมาเป็นนโยบายนำไปปฏิบัติจากผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างหนักแน่นไปแล้วว่า ทหารไม่ยุ่งการเมือง และวางตัวเป็นกลางในการเลือกตั้งครั้งนี้ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการย้ำออกมาหลายครั้งเพื่อให้ทุกฝ่ายเกิดความมั่นใจ

เพราะต้องยอมรับว่า ไม่ว่าใครก็ตามก็ต้องย่อมปฏิเสธกลุ่มพลังอำนาจของกองทัพไปได้ และที่ผ่านมาสาเหตุที่ ทักษิณ ชินวัตร ต้องพ้นจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีอย่าง “ฉับพลัน” ก็มาจากกลุ่มนี้นั่นเอง และตลอดระยะเวลากว่า 5 ปี หลังจากถูกรัฐประหาร ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับผู้นำกองทัพก็ยังกระท่อนกระแท่น ไม่ชัดเจน แม้ว่ามีรายงานมาตลอดว่า ทั้งสองฝ่ายพยายามต่อสาย “เคลียร์” กันมาหลายครั้งแล้วก็ตาม แม้กระทั่งในช่วงเวลานี้ก็ยังมีข่าวว่ากำลัง “ต่อรอง” กันใน “บางเรื่อง” อยู่ก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลเล็ดรอดออกมาว่าไปถึงขั้นไหนกันแล้ว

แต่ในช่วงราว 2 สัปดาห์ที่ผ่านมามีความเคลื่อนไหวที่กระทบกระทั่งกันขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำหน้าที่ปราบปรามยาเสพติดของหน่วยเฉพาะกิจ 3-1-5 ไปเกิดเรื่องเกิดราวกับผู้สมัครคนหนึ่งของพรรคเพื่อไทยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จนมีการชักปืนข่มขู่ทหารและต่อมามีการแจ้งความดำเนินคดี รวมไปถึงการกระพือข่าวเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารในยุคของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากปากของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ และตอกย้ำโดย หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ชุมพล ศิลปอาชา ในเรื่องของ “อำนาจแฝง” ที่ปฏิเสธไม่ได้

สอดรับกับการให้สัมภาษณ์สื่อสารกับสื่อต่างประเทศ และภายในประเทศของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ระบุว่าหากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งคงไม่มีการขัดขวางไม่ให้จัดตั้งรัฐบาล หรือคงไม่มีใครมาขัดขวางกระบวนการประชาธิปไตยของประชาชนไปได้ ซึ่งก็ฟังดูดีมีหลักการ

แต่อีกด้านหนึ่งนี่คือการ “บล็อก” ไม่ให้กองทัพหรือ “พรรคสีเขียว” ที่ฝ่าย ทักษิณ ยังให้ความยำเกรงมากที่สุดได้เคลื่อนไหวโดยพลการ โดยยกเอาเรื่อง “ทวนกระแส” มาข่มขู่ และมองข้ามช็อตไปหลังเลือกตั้งที่มั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง หลังจากส่งสัญญาณชัดเจนแล้วว่าจะต้องดึงพรรคชาติไทยพัฒนาของ บรรหาร ศิลปอาชา แยกออกมาจากพรรคภูมิใจไทยมาร่วมเกมขย่มเรื่อง “อำนาจแฝง” และ การ “ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร” ความหมายก็คือก็เพื่อสร้างแรงกดดันกลับไปที่ผู้นำกองทัพให้รีบแสดงท่าทีออกมา ซึ่งก็ได้ผลอย่างน้อยก็ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ออกมาย้ำอีกครั้งว่า กองทัพเป็นกลาง และพร้อมยอมรับผลการเลือกตั้ง

มองในเชิงยุทธวิธีถือว่าฝ่าย ทักษิณได้รุกคืบเข้ามาเป็นขั้นเป็นตอนตาม “แผนขั้นบันได” สำหรับการกลับมายึดอำนาจรัฐ ยึดประเทศนี้อีกรอบ นั่นคือหลังจากชนะเลือกตั้งแล้วก็ต้องจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ แต่ในเมื่ออุปสรรคยังอยู่ที่กองทัพ ดังนั้นก็ต้องหาทางบีบให้อยู่ในที่ตั้ง ซึ่งก็ได้ผล ทุกอย่างเริ่มกลับมาอยู่ในเกมที่ ทักษิณ ชินวัตร ต้องการแล้ว!!

ต้านนิรโทษฯ คอร์รัปชันบีบ “แม้ว” รีบเปลี่ยนแคนดิเดตนายกฯ แทน ปู!?
ต้านนิรโทษฯ คอร์รัปชันบีบ “แม้ว” รีบเปลี่ยนแคนดิเดตนายกฯ แทน ปู!?
ถามว่าถ้าไม่ใช่ ยิ่งลักษณ์ แล้วจะเป็นใคร ก็ต้องตอบรวบรัดตัดความ เชื่อว่า พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทยลำดับต้นๆ และเคยเป็นตัวแทนเสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรีโหวตแข่งกับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในสภามาแล้วสมัยที่ยังอยู่พรรคเพื่อแผ่นดิน ซึ่งในฐานะที่เป็นอดีต “ตำรวจ” เหมือนกัน และที่สำคัญเชื่อว่า “บารมี” ของ พล.ต.อ.ประชา จะสามารถเคลียร์กับทุกกลุ่มไม่เว้นแม้แต่ “อำมาตย์” ทำให้ไว้ใจได้ เชื่อว่าชื่อนี้แหละที่ “ซ่อน” เอาไว้ข้างหลังและมีความเป็นไปได้มากที่สุด
กำลังโหลดความคิดเห็น