xs
xsm
sm
md
lg

อย่าปฏิวัติเลย “เสียของ” เปล่าๆ ปล่อย “แม้ว” ยึดประเทศไปเถอะ!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ทักษิณ ชินวัตร
ผ่าประเด็นร้อน

อาจเป็นเพราะต้องการสร้างภาพนักประชาธิปไตยให้สังคมทั่วไปและนานาชาติได้เห็น ทำให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คู่ชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย ของ ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นพี่ชาย เปิดโอกาสให้สื่อต่างประเทศอย่างเอเอฟพีเข้ามาสัมภาษณ์ โดยสาระสำคัญที่เธอต้องการส่งสัญญาณออกไปก็คือการ “ดักคอ” การรัฐประหารเอาไว้ก่อน หากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งแล้วได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก อีกทั้งยังเป็นการฉวยโอกาสฟ้องต่างประเทศล่วงหน้าอีกด้วย

ประการต่อมา นี่คือการหาเสียงกับพวกคาบคัมภีร์ประชาธิปไตยด้วยพิธีกรรมเลือกตั้ง ถือว่าทุกอย่างถ้าผ่านการเลือกตั้งแล้วถือว่าเป็นประชาธิปไตยหมด ไม่สนใจว่าการเลือกตั้งดังกล่าวนั้นจะเต็มไปด้วยการซื้อเสียง ข่มขู่ ฉ้อฉลต่างๆ นานาก็ตาม

และประการที่สามก็คือ เป็นการกระตุ้นให้คนเสื้อแดงเตรียมเคลื่อนไหวแต่เนิ่นๆ หากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง แต่ไม่ได้เป็นรัฐบาล ขณะเดียวกัน ความมุ่งหวังลึกๆ ของเครือข่ายทักษิณแล้ว ใจหนึ่งคงอยากให้เกิดการรัฐประหารเหมือนกัน เพราะจะได้มีความชอบธรรมที่จะได้ระดมคนเสื้อแดงออกมากวาดและ “พลิกคว่ำ” ไปในคราวเดียวกันด้วยซ้ำไป

นั่นเป็นประเด็นหลักๆ ที่ ทักษิณ ชินวัตร ต้องการให้ น้องสาวของเขา คือ ยิ่งลักษณ์ สื่อสารออกไป แต่ที่มีความหมายมากที่สุดก็คือการส่งสัญญาณไปที่กองทัพ รวมไปถึง “อำมาตย์” ในความหมายของพวกเขาอีกด้วย เพราะจะว่ากันไปแล้วสิ่งที่ ทักษิณ ยังหวั่นเกรงอยู่ในเวลานี้ก็คือคนกลุ่มนี้นั่นเอง ที่เขายังเข้าควบคุมไม่ได้ ขณะที่ระดับมวลชนทั่วไปถือว่าสามารถเข้าไปครองใจได้เกินครึ่งแล้ว

อย่างไรก็ดี หากย้อนกลับไปดูบรรยากาศก่อนหน้านี้ที่มีกระแสข่าวหนาหูว่าจะเกิดการรัฐประหาร และไม่มีการเลือกตั้ง แต่ในที่สุด นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ได้ตัดสินใจยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 3 กรกฎาคม แต่ก่อนหน้านี้ก็ได้มีการประกาศท่าทีชัดเจนแล้วว่าจะยุบสภาเดือนไหน เปิดเผยให้เห็นเป็นระยะ อีกนัยหนึ่งเหมือนกับเป็นการ “บล็อก” กระแสปฏิวัติให้อยู่กับที่ไม่ให้ขยับโดยพลการ

นอกจากนี้ สิ่งที่น่าสังเกตไปกว่านั้นก็คือ การให้การสนับสนุนการันตีให้มีการประกันตัวบรรดา “หัวโจก” คนเสื้อแดงออกมาเกือบทั้งหมด ถูกมองว่านี่คือเครื่องมือในการต่อต้านการรัฐประหาร

คำถามจึงมีว่า ทำไม? อภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์จึงต้องทำแบบนี้ ทั้งที่เป็นคู่แข่งกับพรรคเพื่อไทย คำตอบเท่าที่หาได้ในตอนนี้ก็คือ หากเกิดการรัฐประหารมันก็ย่อมทำให้บทบาทและโอกาสของนักการเมืองอย่างพวกเขาต้องดับวูบลง อำนาจก็จะสวิงกลับมาอยู่ที่ “ฝ่ายก่อการ” อย่างเบ็ดเสร็จ แม้ว่าจะชั่วขณะหนึ่งก็ตาม แต่อีกด้านหนึ่งนั้นการสลัดหลุดออกมาแล้วมาขับเคี่ยวกับพรรคตรงข้ามในสนามเลือกตั้งถึงอย่างไรก็ยังไม่เสียเปรียบมากนัก มิหนำซ้ำยังมีโอกาสชนะอยู่ไม่น้อย

อย่างไรก็ดี หากกล่าวถึงการรัฐประหารแล้วก็ต้องย้อนกลับไปดูผลงานของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็นคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ว่าเป็นอย่างไร ก็ต้องตอบแบบตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมว่า “ห่วยแตก” น่าผิดหวัง ทำให้ประเทศต้องเสียหายป่นปี้ แทนที่จะฉวยโอกาสปรับรื้อโครงสร้างประเทศกันอย่างขนานใหญ่ เพื่อนำไปสู่การปฏิรูป สร้างระบบการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ เพื่อล้างนักการเมืองชั่วๆออกไปให้มากที่สุด แต่สิ่งที่ได้ก็คือกลับทำให้เครือข่าย “ระบอบทักษิณ” มีความเข้มแข็งมากขึ้น กลับส่งเสริมทางอ้อมให้ “ขบวนการล้มเจ้า” เติบใหญ่จนกลายเป็นปัญหากระทบความมั่นคงอย่างน่ากลัว

การที่คณะรัฐประหารในยุค คมช. แต่งตั้ง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่กลับไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ผลงานที่เป็นเกียรติประวัติเพียงอย่างเดียวก็คือ ได้มีชื่อบันทึกอยู่ใน “หอเกียรติยศนายกรัฐมนตรี” ที่บ้านมนังคศิลา ที่เหลือก็เป็นการรอส่งมอบรัฐบาลให้กับ ทักษิณ เท่านั้น เพียงแต่บังเอิญว่ายังมีกลุ่มประชาชนที่รู้ทันและไม่ยอมยืนยันขับไล่ออกไปอีกครั้ง

สรุปก็คือ ผลจากการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ที่ลงทุนด้วยราคาแสนแพง แต่ผลที่ได้ไม่คุ้มค่า ขณะเดียวกันยังทำให้สถาบันหลักของชาติสั่นคลอนอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเมื่อสถานการณ์ดำเนินมาจนถึงวันนี้วันที่ยังมีการพูดถึงเรื่องดังกล่าวกันอีก โดยคาดหมายว่าคนที่มีศักยภาพจะทำได้ก็ยังเป็นคนที่เคยเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในครั้งนั้น หากเป็นจริงก็ถือว่าประเทศจะโชคร้ายมากไปกว่าเดิม เพราะที่ผ่านมาได้เห็นฝีมือและท่าทีกันมานานพอสมควร นานพอที่จะรู้ล่วงหน้าแล้วว่าคนพวกนี้มีฝีมือและแนวคิดอย่างไรกันบ้าง ถ้าลงมืออีกก็ “เสียของ” เสียเวลาเปล่า บางครั้งถึงกับมีการประชดตามมาว่า ถ้าอย่างนี้สู้ปล่อยให้ ทักษิณ ชินวัตร กลับมายึดประเทศไปเสียดีกว่า

เพราะหากมองอีกมุมหนึ่งมันอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ว่าชาวบ้านจะได้ “ตาสว่าง” จากพฤติกรรมที่เอาแต่ได้ เห็นแก่ตัว ในที่สุดความจริงก็จะทยอยปรากฏออกมา จากข้อกล่าวหาเดิมๆที่มีอยู่มากมาย แต่ที่ผ่านมาสามารถอำพรางปกปิดเอาไว้ตลอดเวลา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเรามีรัฐบาลที่ไม่เอาไหน จนทำให้ยังไม่อาจก้าวข้ามไปได้สักที

ดังนั้น แม้ว่ากระแสปฏิวัติจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ก็ตาม และการออกมาพูดของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เป็น “โคลน” ของพี่ชาย คือ ทักษิณ จะมีนัยเพื่อดักคอไว้ก่อน หรือเป็นการส่งสัญญาณเตือนเอาไว้ล่วงหน้าว่าหากพรรคเพื่อไทยชนะก็ต้องได้เป็นรัฐบาล ไม่เช่นนั้น “มีเรื่องแน่” แต่ขณะเดียวกัน หากกระแสอย่างแรกมีจริงก็สมควรหยุดเคลื่อนไหวได้แล้ว เพราะเมื่อพิจารณาตัวบุคคลล้วนถือว่า “ไม่ได้ความ” เสียของเปล่า ปล่อยให้พรรคเพื่อไทยได้ในสิ่งปราถนาไปดีกว่า เพราะถึงตอนนั้นบางทีเราก็จะได้เห็นรัฐมนตรีหน้าตาแปลกๆ หลายคน เช่น จตุพร พรหมพันธุ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รวมไปถึง นพ.เหวง โตจิราการ เป็นต้น และมีการนิรโทษกรรมลบล้างความผิดให้กับพวกเดียวกันเอง ฯลฯ มันก็น่าสนุกไม่น้อยไม่ใช่หรือ!!
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
กำลังโหลดความคิดเห็น