ผ่าประเด็นร้อน
ก่อนที่จะมีการเริ่มเปิดรับสมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อวันแรกในวันนี้ (19 พฤษภาคม) และก่อนที่จะไปถึงวันเลือกตั้งที่กำหนดเอาไว้ในวันที่ 3 กรกฎาคม ก็คงต้องหันมาเบรกอารมณ์และทำความเข้าใจในสาระสำคัญอะไรบางอย่าง เพื่อไม่ให้หลายคนต้องหลงไปกับกระแสและ “วาทะอำพราง” ที่บรรดานักการเมือง นักลงทุนทางการเมืองเขี้ยวลากดินกำลังสร้างขึ้นมาเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิด และหลงไปตามเกมที่พวกเขากำหนดเอาไว้
สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจกันในความหมายของคำว่า “ถูก” กับ “ผิด” และ “โกง” กับ “ไม่โกง” นั้นมันสมานฉันท์ปรองดอง รวมไปถึงการใช้วิธีตัดสินกันด้วยการเลือกตั้งอย่างนั้นหรือ เพราะเวลานี้เริ่มมีเสียงที่ออกมาจากปากของนักการเมืองคนสำคัญหลายคนต่างชอบพูดกันนักว่า อยากให้สามัคคีกัน อย่าแตกแยกเพื่อให้บ้านเมืองก้าวข้ามความขัดแย้งแล้วเดินไปข้างหน้าเสียที
แน่นอนว่าคงไม่มีใครเถียงทุกคนอยากให้บ้านเมืองเกิดความสามัคคีเกิดขึ้นทั้งนั้น แต่กว่า 5 ปี นับตั้งแต่มีการประท้วงใหญ่เพื่อขับไล่รัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร และต่อมาเกิดการรัฐประหารเมื่อปี 2549 เป็นต้นมา สาเหตุสำคัญก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าต้องการขับไล่ผู้นำที่ทุจริตคอรัปชั่นและใช้อำนาจที่มิชอบ เอาเปรียบชาวบ้าน แต่อย่างไรก็ดี อาจเป็นเพราะการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร การรู้เท่าทันของ “นักกินเมือง” ไม่เท่าทัน มันก็ทำให้มีคนอีกจำนวนไม่น้อยหลงติดกับอยู่ในมายาภาพ การลดแลกแจกแถมจากนโยบายประชานิยม หยิบยื่น “เศษเงิน” มาให้แบบชั่วครั้งชั่วคราวจนหลงงมงาย
เมื่อพิจารณาแบบรวบรัดตัดความในเวลาต่อมา ทักษิณ ชินวัตร ถูกศาลยุติธรรมตัดสินความผิดฐานใช้อำนาจโดยมิชอบถูกจำคุก 2 ปี ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท รวมทั้งยังมีคดีที่ถูกฟ้องในข้อหาทุจริตคอรัปชั่นอีกหลายคดีคาอยู่ในศาล ยังไม่สามารถเดินต่อไปได้ เนื่องจากจำเลยคือ ทักษิณ ไม่ยอมมาปรากฏตัวต่อศาล เนื่องจากยังหลบหนีอยู่ต่างประเทศ
แน่นอนว่า มีคนแย้งว่านั่นเป็นเพราะ ทักษิณ ไม่ได้รับความยุติธรรม ถูกกลั่นแกล้งจาก “อำมาตย์” หรืออำนาจมืดจากการรัฐประหาร ซึ่งหากมองแบบนั้นก็ไม่ว่ากัน แต่สิ่งที่ต้องไม่ลืมกันก็คือข้อกล่าวหาและความผิดของเขามันมีการแฉมีการเปิดโปงมาก่อนเสียอีก จนกระทั่งเกิดคลื่นมหาชนออกมาต่อต้านขับไล่กันขนานใหญ่ สรุปก็คือมันไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น
ที่สำคัญไม่มีเรื่องไหนที่เป็นเรื่องการเมือง หรือถูกกลั่นแกล้ง ตรงกันข้ามมีแต่แกล้งคนอื่น และเป็นเรื่อง “โกง” ล้วนๆ นอกจากนี้ที่สร้างความโมโหให้กับคนไทยที่จงรักภักดีแบบปรองดองกันไม่ได้เลยก็คือ เขาเป็นตัวการสำคัญใน “ขบวนการล้มเจ้า” ทั้งพฤติกรรมและคำพูดมีหลักฐานปรากฏชัดว่า ทักษิณ ชินวัตร นี่แหละคือตัวการใหญ่
อย่างไรก็ดี สิ่งที่พรรคเพื่อไทยและตัวแทนของ ทักษิณ กำลังจะดำเนินการในอีกไม่กี่วันข้างหน้านั่นคือจะใช้การเลือกตั้ง เพื่อ “ฟอกความผิด” ให้เขา สร้างกระแสบิดเบือนให้เห็นว่าหากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งนั่นก็หมายความว่า ชาวบ้านต้องการทักษิณ ต้องการให้กลับมา ความผิดให้ลบล้างกันไป เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่บอกว่าไม่ผิด
นอกจากนี้ยังมีแนวทางใหม่ที่แย้มออกมาล่วงหน้าจากแกนนำพรรคเพื่อไทยอีกว่า หากวิธีการแรกที่ใช้ในการรณรงค์หาเสียงไม่ได้ผล จนเกิดเสียงคัดค้านเสียก่อน ก็จะหันไปใช้วิธี “ลงประชามติ” เพื่อตัดสินว่าสมควรจะ “นิรโทษกรรม” ยกเลิกความผิดให้กับทักษิณ หรือไม่ ซึ่งหากเป็นแบบนี้จริงก็ถือว่าเป็นเรื่องพิลึก เป็นตรรกะที่เหลวไหล เพราะถือว่าเป็นกระบวนการที่ย่ำยี “ระบบศาลยุติธรรม” อย่าง “หน้าด้าน” ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
ดังนั้นเมื่อเป็นความผิดทางอาญา เป็นคดีทุจริต ไม่ใช่เรื่องการเมือง จะมานิรโทษกรรมลบล้างไม่ได้ และที่สำคัญถูกกับผิด หรือโกงกับไม่โกงจะมาตัดสินกันด้วยการเลือกตั้ง และปรองดองไม่ได้เป็นอันขาด เพราะถ้าทำได้กระบวนการศาลยุติธรรมก็ไม่มีความหมาย!!