ทักษิณกำลังทำหน้าที่หมอตำแย . . . ทำงานเพื่อส่งต่อให้สัปเหร่อ
แม้ว่าวันเลือกตั้งยังมาไม่ถึง แต่ผลการเลือกตั้งก็มีกระแสพอที่จะคาดการณ์ได้ล่วงหน้าแล้วว่าระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ใครจะมาเป็นที่ 1 และ 2 จากจำนวนพรรคการเมืองที่มีทั้งหมดกว่า 50 พรรค
สิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญมากกว่าก็คือพรรคเพื่อไทยจะได้จำนวน ส.ส.แตกต่างจากพรรคประชาธิปัตย์มากน้อยเพียงใดต่างหาก ปัจจัยนี้จะเป็นตัวบ่งชี้ว่าทักษิณจะมีทางเลือกอย่างไรต่อไปในอนาคต
หากพรรคเพื่อไทยได้จำนวน ส.ส.มากกว่า 250 คนขึ้นไป แน่นอนว่าการเป็นรัฐบาลพรรคเดียวที่มีนายกฯ เป็นสตรีก็มีโอกาสสูงพร้อมๆ กับ “ความเสี่ยง” ดังเช่นที่พรรคไทยรักไทยหรือพรรคพลังประชาชนที่เป็นบรรพบุรุษของพรรคเพื่อไทยเคยประสบมา
ความเสี่ยงที่ว่านี้เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่สามารถส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ที่คาดหวังเอาไว้ให้แปรเปลี่ยนไปได้ ปัจจัยที่ทำให้เกิดความเสี่ยง “สูง” ที่ว่านี้ของพรรคเพื่อไทยก็คือ
(1) การรวมเอาแกนนำ นปช.มาเป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อจำนวนมากเป็นเครื่องชี้เจตนาที่ชัดเจนว่าทักษิณมิได้รังเกียจ แถมยังสนับสนุนขบวนการล้มเจ้าและการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็น “รัฐไทยใหม่” ดังที่แกนนำ นปช.ถูกกล่าวหาจากทั้งสังคมและตามกฎหมายจากการกระทำที่ผ่านมา
ความไม่ไว้วางใจและแรงต่อต้านจากการนำเอากลุ่มคนที่มีส่วนกับการก่อความไม่สงบ “เผาบ้าน เผาเมือง” มาแล้วถึง 2 ครั้งซ้อนซึ่งไม่อาจถือได้ว่าเป็น “สิทธิ” ของพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่จะสนับสนุนคัดเลือกบุคคลเหล่านี้เป็นผู้สมัครแต่อย่างใด
(2) แม้ว่ายิ่งลักษณ์จะมีโอกาสสูงที่จะเป็นนายกฯ หญิงคนแรกของประเทศไทย แต่ก็จะเป็นนายกฯ ยิ่งลักษณ์ที่มีโอกาสที่จะถูกกล่าวโทษจากข้อหาเบิกความเท็จในคดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาททั้งในชั้นสอบสวนโดย คตส. และ/หรือในชั้นศาลฯ รวมถึงการแจ้งข้อมูลอันเป็นเท็จจากการรับโอนหุ้นตามกฎหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์จากผู้ที่เกี่ยวข้อง
ยิ่งลักษณ์จะเผชิญชะตากรรมเดียวกับที่ทักษิณเผชิญที่มี “ชนักติดหลัง” เมื่อครั้งเข้าสู่ตำแหน่งนายกฯ อันเนื่องมาจากการ “ซุกหุ้น” ทำให้มีสภาพเป็น “ลูกไก่ในกำมือ” ที่จะถูกดำเนินคดีเมื่อใดก็ได้ ผลกรรมของยิ่งลักษณ์จึงหลีกไม่พ้นเหมือนที่ สมัคร หรือ สมชาย ได้ประสบ และ
(3) ความเสี่ยงจะยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นเป็นทวีคูณ หากมีความพยายามให้ทักษิณสามารถกลับประเทศไทยได้โดยไม่ต้องรับโทษ ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎหมายนิรโทษกรรมที่ “ดิบและเถื่อน”เสมือนการ “หักด้ามพร้าด้วยเข่า” หรือการกลับไปแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันให้เหมือนฉบับ พ.ศ. 2540 ที่อาจเนียนกว่าแต่ก็ใช้เวลายาวนานกว่าเพื่อให้ทักษิณพ้นจากความผิดทั้งปวง
การเลือกตั้งมิใช่เป็นการมอบอำนาจให้ฝ่ายบริหารไปแทรกแซงอำนาจฝ่ายตุลาการในการตัดสินอรรถคดีต่างๆ ที่ได้ตัดสินไปแล้ว การออกเสียงประชามติก็เช่นเดียวกันไม่สามารถออกเสียงเพื่อสนับสนุนให้ฝ่ายนิติบัญญัติไปอนุมัติออกกฎหมายยกเว้นโทษที่ฝ่ายตุลาการกำหนดตามกฎหมายที่มีอยู่แล้วได้ มิเช่นนั้นก็จะไม่มีความเสมอภาค
ดังนั้น การดำรงไว้ซึ่งหลักการแบ่งแยกอำนาจและความเสมอภาคจึงจะเป็นที่มาของนิติรัฐ หาใช่ด้วยการใช้ “คะแนนเสียงส่วนใหญ่” หรือ Majority Rule จากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยเป็นการแสดงความชอบธรรมที่จะไปทำอะไรก็ได้ ไม่เว้นแม้แต่การเข้าไปแทรกแซงก้าวก่ายอำนาจอธิปไตยอื่น
ในกรณีที่พรรคเพื่อไทยไม่ได้เสียงข้างมากแต่มีจำนวน ส.ส.มากเป็นที่ 1 การจัดตั้งรัฐบาลผสมหลายพรรคทั้งจากพรรคเล็กประเภท 3-4 พรรค 100 เสียง หรือแม้แต่รวมกับพรรคประชาธิปัตย์เพียง 2 พรรคก็สามารถเกิดขึ้นได้ อย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้
เพราะพรรคเล็กทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคกิจสังคม พรรคมาตุภูมิ พรรคภูมิใจไทย พรรคพลังชล ต่างก็คาดคิดไว้แล้วว่าหากพรรคเพื่อไทยไม่ได้เสียงข้างมากโอกาสในการตั้งเงื่อนไขเรียกร้องก็มีสูงเหมือนอย่างเช่นที่พรรคภูมิใจไทยทำกับพรรคประชาธิปัตย์ในอดีตที่ผ่านมา กลายเป็นพรรคเล็กที่ได้เสียงรวมกันระหว่าง 100-120 ส.ส. มากำหนดเงื่อนไขให้พรรคใหญ่เอาชิ้นปลามันไปกิน
แต่หากทักษิณเลือกที่จะลดเงื่อนไขที่เป็นความเสี่ยงของพรรคเพื่อไทยลง โดยยอมที่จะไม่กลับมาเพื่อไม่ต้องออกกฎหมายมาช่วยและให้พรรคประชาธิปัตย์เสนอชื่ออภิสิทธิ์หรือใครก็ได้มาเป็นนายกฯ แทนก็จะเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว เพราะนอกจากจะลดความเสี่ยงของพรรคเพื่อไทยที่จะเผชิญจากข้อหาสนับสนุนขบวนการล้มเจ้าแล้ว ยังช่วยผ่อนแรงกดดันมิให้ตกอยู่กับยิ่งลักษณ์จากการเป็นเป้านายกฯ หญิง
การเป็นรองนายกฯ ของยิ่งลักษณ์และสามารถควบคุมกระทรวงสำคัญๆ เอาไว้จะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดในพรรคเพื่อไทยและเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตเมื่อคนบ้านเลขที่ 111 พ้นโทษในปีหน้าได้เป็นอย่างดี
แม้ตำแหน่งนายกฯ จะเป็นของพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่แปลกเพราะประสบการณ์พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีคนเช่น “อภิสิทธิ์” อยู่อีกมากที่ยอมขายวิญญาณเพื่อแลกการเป็นนายกฯ แม้ไม่มีอำนาจก็ยอม อีกทั้งยังสามารถอาศัยการสนับสนุนจากแม่ยกหรือสาวกพันธุ์แท้ของพรรคประชาธิปัตย์ที่สนับสนุนคนอย่าง “อภิสิทธิ์” เป็นนายกฯ มาเป็นเกราะปิดบังตัวตนที่แท้จริงได้อีก เป็นการสร้างภาพ “การปรองดอง” ระหว่าง 2 ขั้วให้สาธารณชนเห็นเป็นประจักษ์
การที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส.มาเป็นลำดับที่ 2 และหากมีส่วนต่างจำนวน ส.ส. ห่างจากพรรคเพื่อไทยมากจะทำให้อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีอำนาจต่อรองมากนักไม่ว่ากับบรรดาพรรคเล็กหรือพรรคเพื่อไทยก็ตาม การจัดตั้งรัฐบาลผสมกับพรรคเล็กต่างๆ เหล่านี้จะทำได้ยากกว่าการจัดตั้งรัฐบาล 2 พรรคใหญ่กับพรรคเพื่อไทยที่อาจมีเสียงรวมกันถึง 350-400 เสียงโดยที่ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ได้ตำแหน่งนายกฯ ไปในขณะที่พรรคเพื่อไทยเข้ากุมทั้งอำนาจและตำแหน่งสำคัญในรัฐบาล ผลก็คือจะเป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพทางการเมืองมากกว่ารัฐบาลผสมที่มีเสียงปริ่มน้ำเหมือนอดีตที่ผ่านมา
การอาศัย “ตาอยู่” จากพรรคเล็กมาเป็นนายกฯ จึงเป็นไปได้ยากสำหรับพรรคเพื่อไทย หากจะทำก็ควรจะได้เสียงสนับสนุนรัฐบาลเป็นกอบเป็นกำเป็นร้อยเสียงซึ่งพรรคประชาธิปัตย์จะมีความเหมาะสมมากกว่า
เงื่อนไขของความสำเร็จจึงอยู่ที่ทักษิณว่าจะเลือกที่จะสร้างภาพกับผู้สนับสนุนตนเองอย่างไรต่อไป อย่าลืมว่าด้วยสภาพความจริงที่เป็นอยู่ทักษิณแทบจะไม่มีโอกาสเลยที่จะพ้นจากสถานะนักโทษหากเลือกที่จะกลับมาไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะได้เสียงข้างมากหรือไม่ก็ตาม
อย่าได้หลอกตนเองหรือผู้อื่นอีกเลย เอาพระอินทร์ลงมาเมืองมนุษย์ยังง่ายกว่าเอาทักษิณกลับบ้านโดยไม่ติดคุกเสียอีก
ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลหรือประโยชน์อะไรเลยที่ทักษิณจะต้องเอาตัวเองมาเสี่ยงกับคุกตะรางและความวุ่นวายทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นจากการกลับมาของตนเอง เป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่จะถูก “คว่ำ” กระดานการเมืองที่ตนได้ลงทุนไปมากแล้ว มีแต่พวกที่หากินหาเสียงกับ “การนำเอาทักษิณกลับบ้าน” เท่านั้นที่พยายามจะสร้างมายาคติให้คนเสื้อแดงหลงเชื่อ
อุปสรรคที่ขวางกั้นการจัดตั้งรัฐบาล 2 พรรคใหญ่ก็คือ เนวินกับพรรคภูมิใจไทย คนเสื้อแดงและเหลืองต่างหาก
สำหรับเนวินและพรรคภูมิใจไทยมิใช่เป็นปัญหาสำหรับทักษิณแต่เพียงลำพัง หากแต่เป็นปัญหากับพรรคประชาธิปัตย์ด้วยเช่นกันหากต้องมาร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลผสม 2 พรรคใหญ่ การมีสัญญาใจระหว่างกันมาก่อนกับคนของพรรคประชาธิปัตย์บางคนที่จะจัดตั้งรัฐบาลร่วมกันในอนาคตอาจเป็นอุปสรรคที่สำคัญพอๆ กับความบาดหมางของการเป็น “เนวินผู้ทรยศ” สำหรับทักษิณ อีกทั้งการปล่อยให้เนวินอยู่ข้างนอกก็อาจเกิดการจับมืออย่างลับๆ กับฝ่ายอื่นๆ เช่น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพื่อต่อต้านรัฐบาล 2 พรรคใหญ่โดยอาศัยอำนาจนอกรัฐธรรมนูญมาเป็นตัวช่วยเหมือนเช่นที่พรรคประชาธิปัตย์เคยทำมาแล้ว
ส่วนกลุ่มคนเสื้อแดงนั้นจะเป็นอุปสรรคน้อยกว่า การให้แกนนำ นปช.มาเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อแม้จะเป็นผลลบสำหรับพรรคเพื่อไทยของทักษิณ แต่ในอีกมุมหนึ่งก็มีประโยชน์ด้วยเช่นกันเพราะการมีสถานะเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อแม้จะช่วยเป็นเกราะกำบังมิให้ถูกดำเนินคดีกับคนเหล่านี้ได้ในระยะสั้น แต่ก็เป็นเงื่อนไขให้ทักษิณสามารถใช้เพื่อต่อรองให้คนเหล่านั้นอยู่ในความสงบไม่สามารถเคลื่อนไหว หรือเข้ามามีอำนาจยึดพรรคแบบเบ็ดเสร็จด้วยการสนับสนุนของกลุ่มคนเสื้อแดงเหมือนเช่นที่เมีย “เหวง” คุยโวโอ้อวดแบบ “เหวงๆ” เอาไว้
อย่าลืมว่า ส.ส.บัญชีรายชื่อสามารถถูกขับออกจากพรรคพ้นสภาพ ส.ส.ได้โดยง่ายเพราะไม่มีโอกาสกลับไปเลือกตั้งใหม่หรือเข้าสังกัดพรรคอื่นเหมือนเช่น ส.ส.เขตทั่วไป การสิ้นสภาพ ส.ส.นั้นหมายถึงขาดความปลอดภัย อาจจะต้องกลับเข้าคุก และพรรคเพื่อไทยก็สามารถนำคนอื่นๆ มาทดแทนได้โดยง่ายไม่เสียหายมากนัก
ทางเลือกของทักษิณ จึงเป็นดั่ง หมอตำแย ทำงานเพื่อส่งสัปเหร่อ ตามสำนวนของ อาจินต์ ปัญจพรรค์ บัณฑิตจากมหาวิทยาลัย(ชีวิต)เหมืองแร่ผู้มีมาตรวัดด้วยแก้วโอเลี้ยงโดยแท้ ท้ายที่สุด สิ่งที่ตนเองทำให้เกิดขึ้นมาก็ต้องมาดับสลายไปในที่สุดด้วยน้ำมือผู้อื่น
ทักษิณความจำสั้นไม่เคยจดจำเลยหรือว่าเรื่องบ้านเมืองเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่คิดร้ายย่อมมีอันเป็นไปทุกผู้ทุกคน
แม้ว่าวันเลือกตั้งยังมาไม่ถึง แต่ผลการเลือกตั้งก็มีกระแสพอที่จะคาดการณ์ได้ล่วงหน้าแล้วว่าระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ใครจะมาเป็นที่ 1 และ 2 จากจำนวนพรรคการเมืองที่มีทั้งหมดกว่า 50 พรรค
สิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญมากกว่าก็คือพรรคเพื่อไทยจะได้จำนวน ส.ส.แตกต่างจากพรรคประชาธิปัตย์มากน้อยเพียงใดต่างหาก ปัจจัยนี้จะเป็นตัวบ่งชี้ว่าทักษิณจะมีทางเลือกอย่างไรต่อไปในอนาคต
หากพรรคเพื่อไทยได้จำนวน ส.ส.มากกว่า 250 คนขึ้นไป แน่นอนว่าการเป็นรัฐบาลพรรคเดียวที่มีนายกฯ เป็นสตรีก็มีโอกาสสูงพร้อมๆ กับ “ความเสี่ยง” ดังเช่นที่พรรคไทยรักไทยหรือพรรคพลังประชาชนที่เป็นบรรพบุรุษของพรรคเพื่อไทยเคยประสบมา
ความเสี่ยงที่ว่านี้เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่สามารถส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ที่คาดหวังเอาไว้ให้แปรเปลี่ยนไปได้ ปัจจัยที่ทำให้เกิดความเสี่ยง “สูง” ที่ว่านี้ของพรรคเพื่อไทยก็คือ
(1) การรวมเอาแกนนำ นปช.มาเป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อจำนวนมากเป็นเครื่องชี้เจตนาที่ชัดเจนว่าทักษิณมิได้รังเกียจ แถมยังสนับสนุนขบวนการล้มเจ้าและการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็น “รัฐไทยใหม่” ดังที่แกนนำ นปช.ถูกกล่าวหาจากทั้งสังคมและตามกฎหมายจากการกระทำที่ผ่านมา
ความไม่ไว้วางใจและแรงต่อต้านจากการนำเอากลุ่มคนที่มีส่วนกับการก่อความไม่สงบ “เผาบ้าน เผาเมือง” มาแล้วถึง 2 ครั้งซ้อนซึ่งไม่อาจถือได้ว่าเป็น “สิทธิ” ของพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่จะสนับสนุนคัดเลือกบุคคลเหล่านี้เป็นผู้สมัครแต่อย่างใด
(2) แม้ว่ายิ่งลักษณ์จะมีโอกาสสูงที่จะเป็นนายกฯ หญิงคนแรกของประเทศไทย แต่ก็จะเป็นนายกฯ ยิ่งลักษณ์ที่มีโอกาสที่จะถูกกล่าวโทษจากข้อหาเบิกความเท็จในคดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาททั้งในชั้นสอบสวนโดย คตส. และ/หรือในชั้นศาลฯ รวมถึงการแจ้งข้อมูลอันเป็นเท็จจากการรับโอนหุ้นตามกฎหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์จากผู้ที่เกี่ยวข้อง
ยิ่งลักษณ์จะเผชิญชะตากรรมเดียวกับที่ทักษิณเผชิญที่มี “ชนักติดหลัง” เมื่อครั้งเข้าสู่ตำแหน่งนายกฯ อันเนื่องมาจากการ “ซุกหุ้น” ทำให้มีสภาพเป็น “ลูกไก่ในกำมือ” ที่จะถูกดำเนินคดีเมื่อใดก็ได้ ผลกรรมของยิ่งลักษณ์จึงหลีกไม่พ้นเหมือนที่ สมัคร หรือ สมชาย ได้ประสบ และ
(3) ความเสี่ยงจะยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นเป็นทวีคูณ หากมีความพยายามให้ทักษิณสามารถกลับประเทศไทยได้โดยไม่ต้องรับโทษ ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎหมายนิรโทษกรรมที่ “ดิบและเถื่อน”เสมือนการ “หักด้ามพร้าด้วยเข่า” หรือการกลับไปแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันให้เหมือนฉบับ พ.ศ. 2540 ที่อาจเนียนกว่าแต่ก็ใช้เวลายาวนานกว่าเพื่อให้ทักษิณพ้นจากความผิดทั้งปวง
การเลือกตั้งมิใช่เป็นการมอบอำนาจให้ฝ่ายบริหารไปแทรกแซงอำนาจฝ่ายตุลาการในการตัดสินอรรถคดีต่างๆ ที่ได้ตัดสินไปแล้ว การออกเสียงประชามติก็เช่นเดียวกันไม่สามารถออกเสียงเพื่อสนับสนุนให้ฝ่ายนิติบัญญัติไปอนุมัติออกกฎหมายยกเว้นโทษที่ฝ่ายตุลาการกำหนดตามกฎหมายที่มีอยู่แล้วได้ มิเช่นนั้นก็จะไม่มีความเสมอภาค
ดังนั้น การดำรงไว้ซึ่งหลักการแบ่งแยกอำนาจและความเสมอภาคจึงจะเป็นที่มาของนิติรัฐ หาใช่ด้วยการใช้ “คะแนนเสียงส่วนใหญ่” หรือ Majority Rule จากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยเป็นการแสดงความชอบธรรมที่จะไปทำอะไรก็ได้ ไม่เว้นแม้แต่การเข้าไปแทรกแซงก้าวก่ายอำนาจอธิปไตยอื่น
ในกรณีที่พรรคเพื่อไทยไม่ได้เสียงข้างมากแต่มีจำนวน ส.ส.มากเป็นที่ 1 การจัดตั้งรัฐบาลผสมหลายพรรคทั้งจากพรรคเล็กประเภท 3-4 พรรค 100 เสียง หรือแม้แต่รวมกับพรรคประชาธิปัตย์เพียง 2 พรรคก็สามารถเกิดขึ้นได้ อย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้
เพราะพรรคเล็กทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคกิจสังคม พรรคมาตุภูมิ พรรคภูมิใจไทย พรรคพลังชล ต่างก็คาดคิดไว้แล้วว่าหากพรรคเพื่อไทยไม่ได้เสียงข้างมากโอกาสในการตั้งเงื่อนไขเรียกร้องก็มีสูงเหมือนอย่างเช่นที่พรรคภูมิใจไทยทำกับพรรคประชาธิปัตย์ในอดีตที่ผ่านมา กลายเป็นพรรคเล็กที่ได้เสียงรวมกันระหว่าง 100-120 ส.ส. มากำหนดเงื่อนไขให้พรรคใหญ่เอาชิ้นปลามันไปกิน
แต่หากทักษิณเลือกที่จะลดเงื่อนไขที่เป็นความเสี่ยงของพรรคเพื่อไทยลง โดยยอมที่จะไม่กลับมาเพื่อไม่ต้องออกกฎหมายมาช่วยและให้พรรคประชาธิปัตย์เสนอชื่ออภิสิทธิ์หรือใครก็ได้มาเป็นนายกฯ แทนก็จะเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว เพราะนอกจากจะลดความเสี่ยงของพรรคเพื่อไทยที่จะเผชิญจากข้อหาสนับสนุนขบวนการล้มเจ้าแล้ว ยังช่วยผ่อนแรงกดดันมิให้ตกอยู่กับยิ่งลักษณ์จากการเป็นเป้านายกฯ หญิง
การเป็นรองนายกฯ ของยิ่งลักษณ์และสามารถควบคุมกระทรวงสำคัญๆ เอาไว้จะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดในพรรคเพื่อไทยและเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตเมื่อคนบ้านเลขที่ 111 พ้นโทษในปีหน้าได้เป็นอย่างดี
แม้ตำแหน่งนายกฯ จะเป็นของพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่แปลกเพราะประสบการณ์พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีคนเช่น “อภิสิทธิ์” อยู่อีกมากที่ยอมขายวิญญาณเพื่อแลกการเป็นนายกฯ แม้ไม่มีอำนาจก็ยอม อีกทั้งยังสามารถอาศัยการสนับสนุนจากแม่ยกหรือสาวกพันธุ์แท้ของพรรคประชาธิปัตย์ที่สนับสนุนคนอย่าง “อภิสิทธิ์” เป็นนายกฯ มาเป็นเกราะปิดบังตัวตนที่แท้จริงได้อีก เป็นการสร้างภาพ “การปรองดอง” ระหว่าง 2 ขั้วให้สาธารณชนเห็นเป็นประจักษ์
การที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส.มาเป็นลำดับที่ 2 และหากมีส่วนต่างจำนวน ส.ส. ห่างจากพรรคเพื่อไทยมากจะทำให้อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีอำนาจต่อรองมากนักไม่ว่ากับบรรดาพรรคเล็กหรือพรรคเพื่อไทยก็ตาม การจัดตั้งรัฐบาลผสมกับพรรคเล็กต่างๆ เหล่านี้จะทำได้ยากกว่าการจัดตั้งรัฐบาล 2 พรรคใหญ่กับพรรคเพื่อไทยที่อาจมีเสียงรวมกันถึง 350-400 เสียงโดยที่ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ได้ตำแหน่งนายกฯ ไปในขณะที่พรรคเพื่อไทยเข้ากุมทั้งอำนาจและตำแหน่งสำคัญในรัฐบาล ผลก็คือจะเป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพทางการเมืองมากกว่ารัฐบาลผสมที่มีเสียงปริ่มน้ำเหมือนอดีตที่ผ่านมา
การอาศัย “ตาอยู่” จากพรรคเล็กมาเป็นนายกฯ จึงเป็นไปได้ยากสำหรับพรรคเพื่อไทย หากจะทำก็ควรจะได้เสียงสนับสนุนรัฐบาลเป็นกอบเป็นกำเป็นร้อยเสียงซึ่งพรรคประชาธิปัตย์จะมีความเหมาะสมมากกว่า
เงื่อนไขของความสำเร็จจึงอยู่ที่ทักษิณว่าจะเลือกที่จะสร้างภาพกับผู้สนับสนุนตนเองอย่างไรต่อไป อย่าลืมว่าด้วยสภาพความจริงที่เป็นอยู่ทักษิณแทบจะไม่มีโอกาสเลยที่จะพ้นจากสถานะนักโทษหากเลือกที่จะกลับมาไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะได้เสียงข้างมากหรือไม่ก็ตาม
อย่าได้หลอกตนเองหรือผู้อื่นอีกเลย เอาพระอินทร์ลงมาเมืองมนุษย์ยังง่ายกว่าเอาทักษิณกลับบ้านโดยไม่ติดคุกเสียอีก
ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลหรือประโยชน์อะไรเลยที่ทักษิณจะต้องเอาตัวเองมาเสี่ยงกับคุกตะรางและความวุ่นวายทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นจากการกลับมาของตนเอง เป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่จะถูก “คว่ำ” กระดานการเมืองที่ตนได้ลงทุนไปมากแล้ว มีแต่พวกที่หากินหาเสียงกับ “การนำเอาทักษิณกลับบ้าน” เท่านั้นที่พยายามจะสร้างมายาคติให้คนเสื้อแดงหลงเชื่อ
อุปสรรคที่ขวางกั้นการจัดตั้งรัฐบาล 2 พรรคใหญ่ก็คือ เนวินกับพรรคภูมิใจไทย คนเสื้อแดงและเหลืองต่างหาก
สำหรับเนวินและพรรคภูมิใจไทยมิใช่เป็นปัญหาสำหรับทักษิณแต่เพียงลำพัง หากแต่เป็นปัญหากับพรรคประชาธิปัตย์ด้วยเช่นกันหากต้องมาร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลผสม 2 พรรคใหญ่ การมีสัญญาใจระหว่างกันมาก่อนกับคนของพรรคประชาธิปัตย์บางคนที่จะจัดตั้งรัฐบาลร่วมกันในอนาคตอาจเป็นอุปสรรคที่สำคัญพอๆ กับความบาดหมางของการเป็น “เนวินผู้ทรยศ” สำหรับทักษิณ อีกทั้งการปล่อยให้เนวินอยู่ข้างนอกก็อาจเกิดการจับมืออย่างลับๆ กับฝ่ายอื่นๆ เช่น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพื่อต่อต้านรัฐบาล 2 พรรคใหญ่โดยอาศัยอำนาจนอกรัฐธรรมนูญมาเป็นตัวช่วยเหมือนเช่นที่พรรคประชาธิปัตย์เคยทำมาแล้ว
ส่วนกลุ่มคนเสื้อแดงนั้นจะเป็นอุปสรรคน้อยกว่า การให้แกนนำ นปช.มาเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อแม้จะเป็นผลลบสำหรับพรรคเพื่อไทยของทักษิณ แต่ในอีกมุมหนึ่งก็มีประโยชน์ด้วยเช่นกันเพราะการมีสถานะเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อแม้จะช่วยเป็นเกราะกำบังมิให้ถูกดำเนินคดีกับคนเหล่านี้ได้ในระยะสั้น แต่ก็เป็นเงื่อนไขให้ทักษิณสามารถใช้เพื่อต่อรองให้คนเหล่านั้นอยู่ในความสงบไม่สามารถเคลื่อนไหว หรือเข้ามามีอำนาจยึดพรรคแบบเบ็ดเสร็จด้วยการสนับสนุนของกลุ่มคนเสื้อแดงเหมือนเช่นที่เมีย “เหวง” คุยโวโอ้อวดแบบ “เหวงๆ” เอาไว้
อย่าลืมว่า ส.ส.บัญชีรายชื่อสามารถถูกขับออกจากพรรคพ้นสภาพ ส.ส.ได้โดยง่ายเพราะไม่มีโอกาสกลับไปเลือกตั้งใหม่หรือเข้าสังกัดพรรคอื่นเหมือนเช่น ส.ส.เขตทั่วไป การสิ้นสภาพ ส.ส.นั้นหมายถึงขาดความปลอดภัย อาจจะต้องกลับเข้าคุก และพรรคเพื่อไทยก็สามารถนำคนอื่นๆ มาทดแทนได้โดยง่ายไม่เสียหายมากนัก
ทางเลือกของทักษิณ จึงเป็นดั่ง หมอตำแย ทำงานเพื่อส่งสัปเหร่อ ตามสำนวนของ อาจินต์ ปัญจพรรค์ บัณฑิตจากมหาวิทยาลัย(ชีวิต)เหมืองแร่ผู้มีมาตรวัดด้วยแก้วโอเลี้ยงโดยแท้ ท้ายที่สุด สิ่งที่ตนเองทำให้เกิดขึ้นมาก็ต้องมาดับสลายไปในที่สุดด้วยน้ำมือผู้อื่น
ทักษิณความจำสั้นไม่เคยจดจำเลยหรือว่าเรื่องบ้านเมืองเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่คิดร้ายย่อมมีอันเป็นไปทุกผู้ทุกคน