โฆษกพันธมิตรฯ แฉ “มาร์ค” แก้เกี้ยวส่ง “สุวิทย์” เป็นหนังหน้าไฟ เลื่อนพิจารณาแผนบริหารจัดการมรดกโลกปราสาทพระวิหาร ฝรั่งเศสแค่ถ่วงเวลา โยนภาระการปกป้องอธิปไตยให้รัฐบาลชุดต่อไป ย้อนถามความกล้าถอนตัวจากภาคีฯ เชิญชวนพันธมิตรฯ ร่วมรำลึก 3 ปี ชุมนุม 193 วัน ที่มัฆวานฯ เตรียมฟัง “ยะใส” คืนเวทีประกาศจุดยืนร่วม “โหวตโน” เผยเตรียมปักป้ายยักษ์รณรงค์ทั่วประเทศ
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ให้สัมภาษณ์
วันนี้ (25 พ.ค.) ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงกรณีที่ พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม ระบุถึงทีมสำรวจของอินโดนีเซียว่า เป็นเพียงผู้สำรวจล่วงหน้า และไม่ได้อยู่ในข้อกำหนด (ทีโออาร์) ร่วมกัน 3 ฝ่ายว่า เรื่องนี้มีความไม่ชัดเจน และยังคลุมเครืออยู่มาก เพราะเป็นข้อมูลที่ไม่ตรงกับที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้สัมภาษณ์ยอมรับว่าจากการพบกันระหว่าง รมว.กลาโหมของทั้ง 2 ประเทศมีข้อตกลงร่วมกันถึงแนวทางปฏิบัติที่เป็นขั้นเป็นตอน โดยข้อแรกในทีโออาร์ได้ระบุให้มีชุดสำรวจล่วงหน้าเข้ามาเพื่อกำหนดจุดว่าชุดสังเกตการณ์จะมาประจำอยู่จุดไหน โดยจะอยู่เพียง 1-2 วัน แล้วก็จะกลับ จากคำให้สัมภาษณ์ของนายกฯแสดงให้เห็นว่า ชุดสำรวจทีมนี้เป็นขั้นตอนตามทีโออาร์ที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้ตกลงกันไว้ทุกประการ โดยเฉพาะในเรื่องของห้วงเวลาที่ระบุไว้ชัดในเอกสารทีโออาร์ จึงเป็นสาเหตุที่ทางกัมพูชากล้าบอกว่าการเข้ามาครั้งนี้ เป็นการเดินหน้าตามข้อตกลงที่มีต่อกัน เมื่อวันที่ 9 พ.ค.ที่ผ่านมา
“หมายความว่าประเทศไทยกำลังถลำลึกในข้อตกลงที่ไปแอบตกลงกับเขามา โดยที่ประชาชนไม่รู้ และไม่ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภา ซึ่งหากมีผลในการเปลี่ยนแปลงอาณาเขต ก็จะขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 อย่างแน่นอน” นายปานเทพกล่าว
นายปานเทพยังได้กล่าวถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ระบุว่า ประเด็นที่นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ ที่จะไปประชุมทวิภาคีกับทางกัมพูชาในวันที่ 25-26 พ.ค.นี้ ที่ประเทศฝรั่งเศส จะเป็นการเสนอขอเลื่อนวาระการพิจารณาแผนบริหารจัดการมรดกโลกปราสาทพระวิหารออกไปว่า การสรุปให้ดำเนินการในแนวทางดังกล่าวนั้น เท่ากับว่าประเทศไทยไม่ได้ปฏิเสธการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบเป็นมรดกโลกจากมติคณะกรรมการมรดกโลกหลายครั้งที่ผ่านมา และเป็นการเดินหน้าในลักษณะการถ่วงเวลา ที่ปัดความรับผิดชอบให้อยู่ภายใต้การตัดสินใจของรัฐบาลชุดต่อไป เราถือว่าหากนายอภิสิทธิ์ไม่สามารยับยั้งจัดการให้ถึงขั้นยกเลิกการขึ้นทะเบียนได้ และปล่อยให้มีการเลื่อนออกไปในอนาคต ถือว่ารัฐบาลมีส่วนสมรู้ร่วมคิดในการโยนความรับผิดชอบในเรื่องที่ยังเป็นปัญหา และไม่มีหลักประกันว่าจะสามารถรักษาอธิปไตย หรือปกป้องทวงคืนแผ่นดินไทย หากรัฐบาลนี้ไม่เห็นพ้องด้วยกับแผนและการขึ้นทะเบียนดังกล่าว สิ่งเดียวที่ทำได้ก่อนที่ตัวเองจะหมดวาระการรักษาการณ์ไป ก็คือต้องประกาศถอนตัวออกจากภาคีอนุสัญญามรดกโลก
“หากมัวแต่ถ่วงเวลาไปจะเป็นภัยอันใหญ่หลวงภายใต้รัฐบาลหน้า เพราะไม่มีหลักประกันใดๆทั้งสิ้นว่าการตัดสินใจของรัฐบาลชุดหน้าจะเอื้อประโยชน์หรือขัดขวางแนวทางของคณะกรรมการมรดกโลกในการบริหารจัดการของทางกัมพูชา และทำให้ไทยต้องเสียดินแดน ดังนั้นหากไทยเสียเปรียบในรัฐบาลชุดหน้า ต้องถือว่าเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” นายปานเทพกล่าว
นายปานเทพยังกล่าวด้วยว่า วันนี้ (25 พ.ค.) ถือเป็นวันครบรอบ 3 ปีวันเริ่มต้นชุมนุม 193 วัน ซึ่งถือเป็นการชุมนุมที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เราจึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมหลายอย่าง เช่น การแสดงดนตรี การรำลึกถึงวีรชน การทบทวนแนวทางตลอด 3 ปีที่ผ่านมาของการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ และการเดินหน้าต่อไป ซึ่งในช่วงเวลาประมาณ 19.00 น. นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ ในฐานะอดีตผู้ประสานงานพันธมิตรฯ จะมาร่วมขึ้นเวทีเสวนา เพื่อแสดงจุดยืนในการไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง และสนับสนุนการรณรงค์โหวตโน
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่พรรคเพื่อฟ้าดินส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเพิ่มเติม นายปานเทพกล่าวว่า เดิมทีพรรคเพื่อฟ้าดินส่งผู้สมัครบัญชีรายชื่อเพียงแค่คนเดียว จึงมีผลทำให้วงเงินในการรณรงค์โหวตโนนั้นจำกัดอยู่ที่วงเงิน 1.5 ล้านบาทเท่านั้น ดังนั้น หากส่งผู้สมัครเพิ่มเติมในระบบเขตก็จะทำให้มีโอกาสในการรณรงค์เพิ่มมากขึ้น ทำให้การรณรงค์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยน่าจะมีการดำเนินการส่งผู้สมัครไม่ต่ำกว่า 100 คน ทำให้มีวงเงินไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทในการรณรงค์โหวตโนทั่วประเทศ แม้ว่าเราจะไม่มีเม็ดเงินมากขนาดนั้น แต่เป็นการครอบคลุมพื้นที่ให้มากที่สุดสำหรับการรณรงค์โหวตโน อย่างไรก็ตาม ในส่วนของป้ายคัตเอาต์ขนาดใหญ่ที่กำลังจะติดตั้งเพิ่มเติมนั้นจะมีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีป้ายรณรงค์มาในประเทศไทย ส่วนจะอยู่ที่ไหน ใหญ่ขนาดไหน และมีเนื้อหาอย่างไรนั้น ขอให้ติดตามต่อไป