“ประพันธ์” ซัด “มาร์ค” แหลซ้ำซาก แอบไปยอมรับ TOR ให้อินโดฯเข้าไทยไม่บอกประชาชนสักคำ เทียบจุดแข็ง-จุดอ่อน “มาร์ค-ปู” ชี้ชัดเลวพอกัน ต่างก็อาศัยการเลือกตั้งทำเพื่อตัวเองและพวกพ้อง ยกตัวอย่างเลือกตั้งนายกอบจ.สมุทรปราการที่ประชาชนกาโหวตโนเกือบ 3 หมื่นเสียง บัตรเสียกว่า 1 หมื่นใบ เป็นการแสดงพลังไม่เอานักการเมืองชั่ว เช่นเดียวกับการรณรงค์ “โหวตโน” ของพันธมิตรฯ
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง "รวมพลัง ปกป้องแผ่นดิน" ปราศรัยโดย "นายประพันธ์ คูณมี"
เมื่อเวลาประมาณ 21.10 น.ของวันนี้ (24 พ.ค.) นายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย ปราศรัยว่า เมื่อวานเป็นครั้งแรกที่นายอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับปัญหาไทย-กัมพูชา ในประเด็นที่สำคัญดังนี้
1.ตลอดเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ยืนยันว่าต้องแก้ไขปัญหาด้วยการเจรจาทวิภาคีมาโดยตลอด พยายามอ้างว่าเอ็มโอยู 43 ทำให้ประเทศอื่นไม่สามารถแทรกแซงได้ สามารถแก้ปัญหาการใช้กำลังตามแนวชายแดนได้ จนถึงเมื่อวานนี้เรียกว่านายกฯ ยอมรับ จำนนต่อหลักฐาน ยอมรับแล้วว่าวันนี้มีประเทศที่ 3 เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยนายอภิสิทธิ์บอกว่าต้องเจรจาทวิภาคี อาเซียนไม่ควรเข้ามาเกี่ยวข้อง วันนี้นายอภิสิทธิ์ล้มเหลวในจุดยืนเรื่องนี้ไปแล้วเรียบร้อย
2.ไม่เคยยอมรับว่าจะมีผู้สังเกตการณ์เข้ามาในพื้นที่ชายแดนไทย แต่เมื่อวานนี้ก็ยอมรับแล้วว่าอินโดนีเซียจะส่งผู้สังเกตการณ์เข้ามาแต่จะส่งคณะสำรวจเข้ามาก่อน อันเป็นการปฏิบัติตาม TOR ที่อินโดนีเซียเสนอ ตลอดเวลามาไม่เคยบอกพี่น้องประชาชนเลยว่าไปตกลงกับเขาอย่างนี้ จน พล.อ.เตียบัญ รัฐมนตรีกลาโหมกัมพูชา ไปให้สัมภาษณ์ว่าไทยยอมรับให้ผู้สังเกตการณ์เข้ามา นายอภิสิทธิ์โกหกประชาชนมาโดยตลอด
3. การยอมรับ TOR ที่ฝ่ายอินโดนีเซียเสนอ ไม่เคยบอกประชาชนเลย และกระทำในขณะที่ยุบสภาแล้ว เป็นรัฐบาลรักษาการณ์ ย่อมเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ปกปิดประชาชนซ้ำซาก
นายประพันธ์กล่าวอีกว่า ถ้าเทียบความเป็นผู้นำประเทศระหว่างนายอภิสิทธิ์ กับนายฮุนเซน นายฮุนเซนนั้นเมือมีปัญหาชายแดนเขาเปิดแนวรบทุกด้าน 1.ทางการทูต ได้เดินสายไปประเทศทั่วโลกว่าไทยรุกรานกัมพูชา 2.ยื่นคำร้องไปที่ยูเอ็น 3.ขอให้อาเซียนนำปัญหาเข้าสู่การพิจารณา ท้ายที่สุดก็ส่งผู้แทนอาเซียนเข้ามาสังเกตการณ์ 4.ยื่นไปที่ศาลโลกให้ตีคำพิพากษาใหม่ ให้ครอบคลุมไปยังพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารด้วย 5.ที่ยูเนสโกก็ได้นำเรื่องนี้ไปยืนยันว่าปราสาทพระวิหารเป็นของเขา ปิดปากไม่ให้ไทยใช้ข้อสงวนสิทธิ์ที่ทำไว้ว่าจะเอาปราสาทพระวิหารคืนมา
มาดูฝั่งไทย 1.พอกัมพูชาไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก ก็ตามไปรับฟังแผนบริหารจัดการ ค้านแบบไม่เอาจริงเอาจัง บางครั้งไปกลายเป็นตัวเพิ่มความชอบธรรมให้เขาอีก 2.บอกว่าจะเจรจาไปๆมาๆ กลายเป็นมีประเทศที่ 3 เข้ามาแทรกแซง 3.ผลการเจรจาที่มีนายอภิสิทธิ์ และนายกษิต ก็ล้มเหลวเช่นเคย 4.ด่าคนไทยปิดปากพันธมิตรฯ จ้างนักวิชาการ 7.1 ล้านมาปิดปากคนไทยที่ออกมาทวงอธิปไตยตัวเอง ขณะเดียวกันกัมพูชาจ้างนักวิชาการเพื่อเอาแผ่นดินไทย 5.ยุทธวิธีทางการทหาร นายอภิสิทธิ์ปิดปากทหาร ยึดกระบอกปืนไว้ไม่ให้ตอบโต้รุนแรง ในขณะที่ฮุนเซนบุกมายิงไทยหลายครั้ง ให้พี่น้องคนไทยขุดหลุมหนีอย่างเดียว ส่วนกัมพูชาเอาประชาชนมายึดพื้นที่ไทย
“ทั้งหมดนี้มันจะมีแนวรบไหนชนะฮุนเซนได้ อภิสิทธิ์เลยทำได้อย่างเดียวคือตอแหล โกหกประชาชนไปวันๆ แม้กระทั่งเรื่อง TOR ไปยอมรับก็ไม่เคยบอกประชาชน บอกว่าไม่ยอมให้ผู้สังเกตการณ์เข้ามาจนกว่ากัมพูชาจะถอนทหาร แต่วันนี้มาแล้ว แหลประชาชนหน้าด้านๆ เปรียบฮุนเซนกับอภิสิทธิ์ ในทางการทูต มันคนละชั้นเลย เป็นเรื่องที่น่าอายที่สุด ทำงานต่างประเทศล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ถ้าหากรัฐบาลอภิสิทธิ์ยังเดินแนวทางนี้อยู่ ไม่มีทางได้แผ่นดินคืน นายวีระ-น.ส.ราตรี ไม่ได้ออกจากคุก ไทยจะตกเป็นลูกไล่เขมรอย่างน่าละอายที่สุดในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ” นายประพันธ์ กล่าว
นายประพันธ์ยังกล่าวอีกว่า การเปรียบเทียบกันระหว่างนายอภิสิทธิ์ กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตนขอมองในมุมตัวเอง จุดแข็งของน.ส.ยิ่งลักษณ์ คือ 1.เงินหนา 2.มีฐานมวลชน มีเสื้อแดงสนับสนุน มีกลุ่มคนที่หลงไหลทักษิณไม่ว่าทำเลวทำชั่วอย่างไรก็ยังหลงไหล 3.มีทีมเลือกตั้งที่แข็ง มีทั้งทีมบู๊ โกง อุ้ม ฆ่า 4.ควบคุมสื่อได้ มีการกระพือกระแสให้เป็นนายกฯ กระบวนการสร้างภาพของสื่อทำผีให้เป็นคนได้
จุดแข็งนายอภิสิทธิ์ 1.คุมอำนาจรัฐ เป็นนายกฯ รักษาการคุมกลไกข้าราชการเป็นเครื่องมือ 2.มีประสบการณ์บริหารบ้านเมือง 3.หน้าตาดูดี ชายชอบ หญิงรัก การศึกษาดี 4.เงินพร้อมสู้ทักษิณได้เลย ประชาธิปัตย์ไม่จนเหมือนเดิมแล้ว 5.กุมสื่อได้ ควบคุมสื่อเช่นเดียวกับฝ่ายทักษิณ เมื่อเปรียบเทียบแล้วจุดแข็งพอๆ กัน กินกันไม่ลง
นายประพันธ์กล่าวต่อว่า จุดอ่อน น.ส.ยิ่งลักษณ์ 1.ถูกชักใยไม่เป็นตัวของตัวเอง นายทักษิณบอกโคลนนิ่งมาเลย 2.ไม่มีประสบการณ์บริหารทางการเมือง 3.มาเป็นนายกฯ เพื่อฟอกความผิดให้ทักษิณ 4.พรรคเพื่อไทยพัวพันกับเสื้อแดง ขบวนการล้มเจ้า เผาบ้านเผาเมือง คนเลยไม่ไว้วางใจ
ส่วนจุดอ่อนนายอภิสิทธิ์ 1.ผลงาน 2 ปีที่ผ่านมาล้มเหลวโดยสิ้นเชิง 2.ถูกชักใยโดยนายสุเทพ นายเนวิน พล.อ.ประวิตร ส่วนตัวเองแหลไปแหลมา 3.ไม่มีภาวะผู้นำ คับแคบ 4.ปราบคอรัปชั่นไม่ได้ 5.มีปัญหากับประชาชน เนรคุณประชาชนที่สนับสนุน 6.ที่สำคัญไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในความสงบเรียบร้อยได้
“ดูจุดแข็งจุดอ่อนของทั้ง 2 คน ก็รู้แล้วว่าเลือกใคร ก็คงพอๆ กัน ไม่มีอะไรดีกว่ากัน จึงมองไม่ออกเลยว่าใครจะมาเป็นนายกฯ ได้ดี สรุปแล้วเวลานี้คนที่เป็นนายกฯที่ดีไม่ได้อยู่ในการเลือกตั้ง” นายประพันธ์กล่าว
โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรฯ กล่าวว่า สุดท้ายมีประเด็นว่าวันนี้ยังไม่ทันเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยก็การพูดถึงการนิรโทษกรรมแล้ว สื่อมวลชนพยายามาถามพันธมิตรฯเราก็ตอบแล้วว่าไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรม ในบรรดากลุ่มคนที่อยู่ในข่ายเหมารวมจะได้นิรโทษกรรม คือ 1.นักการเมืองที่ถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองจากการยุบพรรค 2.พวกนักการเมืองที่ทุจริต แล้วถูกศาลตัดสินลงโทษ เช่นนายทักษิณ 3.แดงฮาร์ดคอร์ พวกล้มสถาบัน พวกนี้ส่วนหนึ่งอยู่ในศาล อีกพวกหนีไปต่างประเทศ บางคนลงสมัคร ส.ส.
4.ตำรวจที่ประพฤติมิชอบ ก็คือตำรวจที่ทำร้ายพันธมิตรฯ เมื่อ 7 ตุลา 5.ทหารที่ถูกรัฐบาลใช้ไปปราบปรามประชาชน บางคนถูกดำเนินคดีอยู่ 6.พันธมิตรฯก็ถูกเอาไปเหมารวมด้วย 7 .พวกนักการเมืองที่สังหารประชาชน เช่นการปราบปรามสงครามยาเสพติด เหตุการณ์กรือเซะ ตากใบ
เมื่อเทียบกับกลุ่มพวกนี้ เราไม่ต้องการให้นิรโทษกรรมเลย เราต้องการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ดังนั้นการที่จะอ้างผลการเลือกตั้งเพื่อนิรโทษกรรมเป็นการฟอกความผิดให้ตัวเอง ส่วนอีกฝ่ายก็อาศัยการเลือกตั้งเพื่อปกปิดความล้มเหลวในการบริหารบ้านเมือง กลบเกลื่อนการโกง การทุจริต มันจึงเป็นพฤติกรรมที่เลวทั้งคู่ เราไม่สนุบสนุน
“การตัดสินใจรณรงค์โหวตโนนั้น มันเทียบได้กับการเลือกตั้งนายก อบจ.สมุทรปราการ ที่พี่น้องประชาชนโหวตโนเกือบ 3 หมื่นเสียง ทำบัตรเสียกว่า 1 หมื่นใบ เพราะมีแต่นักเลงมาลง ส่วนการเมืองระดับประเทศนั้นยิ่งกว่า เพราะอัปปรีย์ไปจัญไรมา เชื่อว่ายิ่งใกล้เลือกตั้งพี่น้องยิ่งตัดสินใจง่าย เพราะน่ากลัวทั้งคู่ เป็นสัตว์การเมืองที่ไม่ควรปล่อยให้เข้าสู่สภา” นายประพันธ์กล่าว
