ผ่าประเด็นร้อน
คำพูดระหว่างการปราศรัยหาเสียงของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง “ขุนพล” คนสำคัญของพรรคเพื่อไทยที่ประกาศบนเวทีในภาคเหนือเมื่อสองสามวันก่อน ระบุออกมาถึงสองครั้งทั้งที่จังหวัด เชียงใหม่ และเชียงราย ว่าจะย้าย “ล้างบาง” ผู้ว่าราชการจังหวัด หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลและยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี
แม้ว่าอาจเป็นคำพูดในลักษณะส่วนตัว-เอามัน ระหว่างการปราศรัย เพื่อเอาใจมวลชนที่มาฟัง และสร้างอารมณ์ร่วมให้เกิดขึ้นก็ตาม แต่รับรองว่าความหมายจากคำพูดดังกล่าวจะต้องเกิดขึ้นจริง
หลายคนเชื่อตรงกันว่า เหตุการณ์ดังกล่าวจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และไม่ใช่เฉพาะระดับผู้ว่าราชการจังหวัด และข้าราชการในกระทรวงมหาดไทยเท่านั้น แต่จะข้ามไปถึงหน่วยงานอื่นๆ ด้วย หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลจะต้องมีการโยกย้ายล้างบาง ข้าราชการ รวมไปถึงองค์กรสำคัญอื่นๆที่เห็นว่าเป็นศัตรูกับเขา โดยเฉพาะกลุ่มคนที่อยู่ข้าง “อำมาตย์” ในความหมายของเครือข่าย “ระบอบทักษิณ” ทั้งหมด
ดังนั้น การที่บอกว่าสามัคคีปรองดอง ไม่แก้แค้น แต่รับรองว่าผลจะออกมาในทางตรงข้าม ส่วนจะมีวิธีการแบบไหนค่อยมาว่ากันอีกทีหลังการเลือกตั้งและยึดอำนาจรัฐเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ล่าสุด ยังมีการเปิดเผยออกมาจากปากของรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ปลอดประสพ สุรัสวดี ระบุว่าจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ครอบคลุมในทุกประเด็น ทั้งองค์กรอิสระ และรื้อระบบศาลยุติธรรมอีกด้วย โดยอ้างว่าเพื่อความเท่าเทียมกัน มันก็ยิ่งชัดขึ้นไปอีก
นี่คือสัญญาณที่ส่งออกมาล่วงหน้าตั้งแต่เริ่มต้นหาเสียง ขณะที่อีกด้านหนึ่งก็เน้นย้ำในเรื่องการปรองดอง ไม่แก้แค้น ซึ่งฟังดูแล้วช่างสับสนและไม่น่าเชื่อถือ
อย่างไรก็ดี หากหันมาพิจารณาในประเด็นหลักที่สังคมรับรู้กันไปแล้วว่า การที่ ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของพรรคเพื่อไทย ส่ง น้องสาวคนเล็ก คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ามาสู่สนามการเมืองเพื่อชิงอำนาจรัฐในครั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญที่สุด คือ ต้องการ “นิรโทษกรรม” ลบล้างความผิดให้กับตัวเองทั้งหมด รวมไปถึงการได้เงินที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยึดไปจำนวน 46,000 ล้านบาทกลับคืนมา ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้นถือว่าเป็นเรื่องรองลงไป เพราะถ้าสองอย่างดังกล่าวทำได้สำเร็จนั่นก็หมายความว่าเขาจะกลับมามี “อำนาจเหนือการเมือง” ครอบครองประเทศนี้อีกครั้ง โดยที่ไม่มีขัดขวางได้อีกต่อไป
ที่สำคัญไม่จำเป็นต้องเกรงใจใครอีกต่อไป โดยเฉพาะ “อำมาตย์” ในความหมายที่พวกเขาเข้าใจ
เพราะในสนามเลือกตั้งเที่ยวนี้สำหรับ ทักษิณ แล้วถือว่าเป็นการ “ประกาศ สงคราม” ในอีกรูปแบบหนึ่ง ผ่านการลงคะแนนโหวตของชาวบ้านที่เขา “ซื้อ” ด้วยนโยบายประชานิยมหลอกล่อเอาไว้ให้เสพติดไว้ล่วงหน้าแล้ว ประกอบกับความ “ไม่เอาไหน” ของรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้เขามั่นใจว่าต้องชนะแน่ และรูปการณ์กำลังจะเป็นแบบนั้นเสียด้วย
อย่างไรก็ดี เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นจะมีการชี้ให้เห็นว่ามีข้าราชการในหน่วยงานใดบ้างที่จะต้องถูกเช็กบิลแก้แค้นอย่างโหดเหี้ยมในอันดับต้น หลังจากที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี “หุ่นเชิด” คนต่อไป
แน่นอนว่าเป้าหมายแรกย่อมต้องหนีไม่พ้นกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ที่นำโดย ธาริต เพ็งดิษฐ์ ชะตากรรมอาจจะเลวร้ายกว่า สุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีดีเอาไอคนก่อนก็เป็นได้ ส่วนกระทรวงมหาดไทยนั้นไม่ผิดหวังรอเก็บกระเป๋ารอไว้ได้เลย ตามที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ว่าที่หัวหน้าทีมนิรโทษกรรมให้กับ ทักษิณ ได้ประกาศเอาไว้ล่วงหน้านั่นแหละ เพราะในความเป็นจริงมันก็มีหลายจังหวัดที่เป็นเครือข่ายตำแหน่งของ เนวิน ชิดชอบ อยู่แล้ว หน่วยงานต่อไปก็คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แม้ว่าหน่วยงานดังกล่าวส่วนใหญ่จะเป็น “มะเขือเทศ” หรือพร้อมเปลี่ยนสีปรับตัวรับใช้ได้ง่ายอก็ตาม แต่รับรองว่าตำแหน่งสำคัญจะต้องมีการเปลี่ยนกันอย่างขนานใหญ่ เพื่อรับประกันความชัวร์
แต่ประเด็นที่น่าตกใจก็คือ การประกาศจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อรื้อโครงสร้างกันใหม่ที่ครอบคลุมไปทั้งองค์กรอิสระ และ “ระบบศาลยุติธรรม” ซึ่งอย่างหลังนี่แหละถือว่าเป็นเป้าหมายสำคัญของทักษิณ เนื่องจากที่ผ่านมาทำให้เขาต้องถูกยึดทรัพย์ ถูกจำคุกสองปีในความผิดที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต และการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ และที่ผ่านมาก็พยายามดิสเครดิต ทำลายความน่าเชื่อถืออยู่ตลอดเวลา รวมไปถึงใช้มวลชนคนเสื้อแดงข่มขู่กดดัน
ดังนั้นอย่าได้แปลกใจเลยว่าจะต้องมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นหากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาล และ น้องสาวของเขาคือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี จะต้องมีรายการล้างบางข้าราชการฝ่ายตรงข้าม แต่นั่นไม่ร้ายกาจเท่ากับการแก้ไขรัฐธรรมนูญรื้อองค์กรอิสระ และ “รื้อศาลยุติธรรม” แต่อีกมุมหนึ่งมันก็ช่วยไม่ได้ เพราะนี่คือสงคราม ถ้าได้ชัยชนะก็ต้องมีการ “กวาดล้าง” เป็นเรื่องปกติ ซึ่งอีกฝ่ายรอรับชะตากรรมกันได้เลย!!
