อีกตั้งเดือนกว่าจะถึงวันเลือกตั้งทั่วไป พรรคการเมืองทั้งหลาย นักการเมืองทั้งหลายยังพอมีเวลาหาเสียงเรียกคะแนนนิยมเพื่อที่จะได้กุมอำนาจรัฐ แต่ดูเหมือนว่า เราจะรู้ผลการเลือกตั้งล่วงหน้าแล้วจากโพลสำนักต่างๆ รวมทั้งโพลจากพรรคการเมืองที่ลงสนามต่อสู้เพื่อเอาชนะ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐ
พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่ไม่ต้องใช้ความคิดอันใด เพราะมีทักษิณคอยคิดให้กำชัยในทุกส่วน ทั้งปาร์ตี้ลิสต์และ ส.ส.แบบเขตเลือกตั้ง
พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลรักษาการอยู่ในขณะนี้กำชัยชนะในเขตเลือกตั้งภาคใต้ตามเคย
เรื่องนี้มิได้เหนือความคาดหมาย แต่ที่รู้สึกเหนือความคาดหมายอยู่บ้างก็ตรงที่รัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำปล่อยให้เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และเมื่อเกิดขึ้นแล้วสะท้อนให้เห็นอะไรบ้าง
เราเคยมีความรู้สึกว่า รัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่เป็นรัฐบาลรับเชิญจากคณะทหารที่ยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ไม่ทำงาน หรือทำก็กล้าๆ กลัวๆ กลัวผู้คนจะมองว่าเป็นเผด็จการ ก็เลยคิดอย่างเดียวคือจะต้องคืนอำนาจให้ประชาชน ให้ประชาชนไปใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้ง เลือกรัฐบาลตามวิถีของประชาธิปไตย
นายอภิสิทธิ์ก็มาอีหรอบเดียวกันกับพลเอกสุรยุทธ์ คือ อยากเป็นนายกรัฐมนตรี พลเอกสุรยุทธ์อยากเป็นเพราะโอกาสให้ จังหวะให้ แต่นายอภิสิทธิ์อยากเป็นจริงๆ เป็นความใฝ่ฝันแต่เด็ก แต่เยาว์วัย เมื่อโตขึ้นก็สานฝันให้ได้ แต่คงไม่ได้คิดว่า เป็นแล้วประเทศชาติจะเป็นอย่างไรไม่รู้ หรือรู้แต่คิดว่าคงจะไม่หนักหนาสาหัสแต่อย่างใด
แต่ในความเป็นจริง 2 ปีกว่าๆ ที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีบ้านเมืองของเราเสียหายหนักหนาสาหัสมาก
กฎหมายไม่เป็นกฎหมาย เกิดเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองในปี 2552 รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ก็ปล่อยให้เหตุการณ์เกิดขึ้นซ้ำรอยในปี 2553 ซ้ำหนักหนาสาหัสกว่าเดิม มาอีกปี 2544 นายอภิสิทธิ์ก็ใช้นโยบายปรองดอง ปล่อยให้ออกมาชิงอำนาจรัฐกับนายอภิสิทธิ์ด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์ของนายอภิสิทธิ์โผล่ไปหาเสียงที่ใดก็จะเจอปาไข่ เจอเสียงโห่ฮาขับไล่
การบริหาร รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไม่ต้องใช้สมองคิดเพราะมีตัวอย่างรัฐบาล ทักษิณ รัฐบาลสมัคร ทำไว้ให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว นายอภิสิทธิ์เพียงเพิ่มงบประมาณให้มากขึ้น เปลี่ยนคำว่า ประชานิยมเป็นประชาวิวัฒน์ เสียก็เท่านั้น
ทั้งที่ตอนเป็นฝ่ายค้านวิพากษ์วิจารณ์นโยบายประชานิยมซะเสียหาย จะทำให้ประชาชนอ่อนแอ คอยแต่ขอความช่วยเหลือจากรัฐ จะทำให้เสียระเบียบ ขาดวินัยการเงินการคลัง
ล้วนเป็นคำวิพากษ์วิจารณ์ดูมีเหตุมีผลทรงภูมิปัญญาอย่างยิ่ง แต่พอเป็นรัฐบาลกลับลืมคำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น แล้วก้มหน้าก้มตาทำตามที่เขาทำทุกอย่าง ซ้ำหนักกว่าเดิมอีก ไม่มีอาย ไม่มีเขินเสียอีก
เลือกตั้งครั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์บอกว่า เลือกพรรคประชาธิปัตย์ลงมือทำได้ทันที ชาวบ้านถามว่า 2 ปีที่ผ่านมา ไปอยู่เสียที่ไหนจึงไม่ลงมือทำ นายอภิสิทธิ์บอกว่ารับรู้ปัญหาของประชาชน รู้ว่าประชาชนกำลังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจ แล้วยังไง รู้แล้วทำไมไม่แก้ จะต้องให้เลือกกลับมาใหม่หรือจึงจะแก้
นี่คือเหตุที่โพลทุกสำนักยกให้พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายมีเปรียบอยู่ในขณะนี้ ทั้งที่รู้ว่าเผาบ้านเผาเมือง ทั้งที่รู้ว่ามีนโยบายที่จะนิรโทษกรรมให้กับ ทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่วิตกวิจารณ์แต่อย่างใด เพราะประชาชนเอือมระอาต่อพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ เต็มที
ประชาชนรู้ว่า พรรคประเภทเดียวกันนี้ สปีชี่เดียวกันนี้ เมื่อครั้งมีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นหัวหน้าพรรคชนะการเลือกตั้งได้บริหารประเทศอยู่ระยะหนึ่ง แต่ครั้นจะลงมือรับใช้ทักษิณ ประชาชนทั่วประเทศก็ออกมาเคลื่อนไหว จนกระทั่งในที่สุดก็แก้ไขกฎหมายหรือหาทางที่จะนิรโทษกรรมให้ทักษิณไม่ได้ จนกระทั่งทักษิณต้องเคลื่อนไหวในเหตุการณ์สงกรานต์ 2552 และสงกรานต์ 2553
หลังการเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554 อย่าได้หวังว่า บ้านเมืองของเราจะสงบ ประชาชนจะอยู่เย็นเป็นสุข ไม่มีทางเลยตราบใดที่ทักษิณยังรู้สึกอยู่ว่า เขาไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาต้องหนีคุก หนีคดีความอีกหลายคดี เขาจะต้องต่อสู้ให้เขาได้รับความเป็นธรรม (ในความคิดของเขา) จนกว่าจะตายไปจากโลกนี้
แม้มีโลกหน้าให้เขาสู้ เขาก็คงจะสู้
หลังการเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม จะมีคนอีกกลุ่มลุกขึ้นมาทวงสิทธิของพวกเขาบ้างอย่างแน่นอน สิทธินั้นก็คือ สิทธิที่พวกเขาลงคะแนนด้วยการกาในช่องที่ไม่เลือกใคร เพราะเห็นว่าผู้สมัครที่เสนอหน้ามาให้เลือกล้วนมีคุณสมบัติไม่เหมาะสม สมควรที่ประเทศไทยของเราจะต้องปฏิรูปใหม่ เราไม่ต้องการนักการเมืองที่เคยเป็นรัฐมนตรีมาแล้วในรัฐบาลพลเอกเปรม พลเอกชาติชาย นายชวน นายบรรหาร พลเอกชวลิต ทักษิณ สมัคร สมชาย และอภิสิทธิ์ ลูก เมีย ผัว ญาติโกโหติกา เราก็ไม่ต้องการ
เราอยากเห็นคนที่มีความรู้มีความสามารถจริงๆ ไม่ใช่ดีแต่พูด เราต้องการคนที่เคารพกฎหมาย ทำกฎหมายให้เป็นกฎหมาย ไม่ใช้เล่ห์กระเท่ห์ ตีความ เล่นลิ้น เอาตัวรอดไปวันๆ เราต้องการคนที่ซื่อสัตย์สุจริตต่อประเทศชาติ ต่อประชาชน
หลังวันที่ 3 กรกฎาคม กระแสเรียกร้องเช่นนี้จะเกิดขึ้นแน่นอน
พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่ไม่ต้องใช้ความคิดอันใด เพราะมีทักษิณคอยคิดให้กำชัยในทุกส่วน ทั้งปาร์ตี้ลิสต์และ ส.ส.แบบเขตเลือกตั้ง
พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลรักษาการอยู่ในขณะนี้กำชัยชนะในเขตเลือกตั้งภาคใต้ตามเคย
เรื่องนี้มิได้เหนือความคาดหมาย แต่ที่รู้สึกเหนือความคาดหมายอยู่บ้างก็ตรงที่รัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำปล่อยให้เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และเมื่อเกิดขึ้นแล้วสะท้อนให้เห็นอะไรบ้าง
เราเคยมีความรู้สึกว่า รัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่เป็นรัฐบาลรับเชิญจากคณะทหารที่ยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ไม่ทำงาน หรือทำก็กล้าๆ กลัวๆ กลัวผู้คนจะมองว่าเป็นเผด็จการ ก็เลยคิดอย่างเดียวคือจะต้องคืนอำนาจให้ประชาชน ให้ประชาชนไปใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้ง เลือกรัฐบาลตามวิถีของประชาธิปไตย
นายอภิสิทธิ์ก็มาอีหรอบเดียวกันกับพลเอกสุรยุทธ์ คือ อยากเป็นนายกรัฐมนตรี พลเอกสุรยุทธ์อยากเป็นเพราะโอกาสให้ จังหวะให้ แต่นายอภิสิทธิ์อยากเป็นจริงๆ เป็นความใฝ่ฝันแต่เด็ก แต่เยาว์วัย เมื่อโตขึ้นก็สานฝันให้ได้ แต่คงไม่ได้คิดว่า เป็นแล้วประเทศชาติจะเป็นอย่างไรไม่รู้ หรือรู้แต่คิดว่าคงจะไม่หนักหนาสาหัสแต่อย่างใด
แต่ในความเป็นจริง 2 ปีกว่าๆ ที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีบ้านเมืองของเราเสียหายหนักหนาสาหัสมาก
กฎหมายไม่เป็นกฎหมาย เกิดเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองในปี 2552 รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ก็ปล่อยให้เหตุการณ์เกิดขึ้นซ้ำรอยในปี 2553 ซ้ำหนักหนาสาหัสกว่าเดิม มาอีกปี 2544 นายอภิสิทธิ์ก็ใช้นโยบายปรองดอง ปล่อยให้ออกมาชิงอำนาจรัฐกับนายอภิสิทธิ์ด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์ของนายอภิสิทธิ์โผล่ไปหาเสียงที่ใดก็จะเจอปาไข่ เจอเสียงโห่ฮาขับไล่
การบริหาร รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไม่ต้องใช้สมองคิดเพราะมีตัวอย่างรัฐบาล ทักษิณ รัฐบาลสมัคร ทำไว้ให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว นายอภิสิทธิ์เพียงเพิ่มงบประมาณให้มากขึ้น เปลี่ยนคำว่า ประชานิยมเป็นประชาวิวัฒน์ เสียก็เท่านั้น
ทั้งที่ตอนเป็นฝ่ายค้านวิพากษ์วิจารณ์นโยบายประชานิยมซะเสียหาย จะทำให้ประชาชนอ่อนแอ คอยแต่ขอความช่วยเหลือจากรัฐ จะทำให้เสียระเบียบ ขาดวินัยการเงินการคลัง
ล้วนเป็นคำวิพากษ์วิจารณ์ดูมีเหตุมีผลทรงภูมิปัญญาอย่างยิ่ง แต่พอเป็นรัฐบาลกลับลืมคำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น แล้วก้มหน้าก้มตาทำตามที่เขาทำทุกอย่าง ซ้ำหนักกว่าเดิมอีก ไม่มีอาย ไม่มีเขินเสียอีก
เลือกตั้งครั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์บอกว่า เลือกพรรคประชาธิปัตย์ลงมือทำได้ทันที ชาวบ้านถามว่า 2 ปีที่ผ่านมา ไปอยู่เสียที่ไหนจึงไม่ลงมือทำ นายอภิสิทธิ์บอกว่ารับรู้ปัญหาของประชาชน รู้ว่าประชาชนกำลังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจ แล้วยังไง รู้แล้วทำไมไม่แก้ จะต้องให้เลือกกลับมาใหม่หรือจึงจะแก้
นี่คือเหตุที่โพลทุกสำนักยกให้พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายมีเปรียบอยู่ในขณะนี้ ทั้งที่รู้ว่าเผาบ้านเผาเมือง ทั้งที่รู้ว่ามีนโยบายที่จะนิรโทษกรรมให้กับ ทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่วิตกวิจารณ์แต่อย่างใด เพราะประชาชนเอือมระอาต่อพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ เต็มที
ประชาชนรู้ว่า พรรคประเภทเดียวกันนี้ สปีชี่เดียวกันนี้ เมื่อครั้งมีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นหัวหน้าพรรคชนะการเลือกตั้งได้บริหารประเทศอยู่ระยะหนึ่ง แต่ครั้นจะลงมือรับใช้ทักษิณ ประชาชนทั่วประเทศก็ออกมาเคลื่อนไหว จนกระทั่งในที่สุดก็แก้ไขกฎหมายหรือหาทางที่จะนิรโทษกรรมให้ทักษิณไม่ได้ จนกระทั่งทักษิณต้องเคลื่อนไหวในเหตุการณ์สงกรานต์ 2552 และสงกรานต์ 2553
หลังการเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554 อย่าได้หวังว่า บ้านเมืองของเราจะสงบ ประชาชนจะอยู่เย็นเป็นสุข ไม่มีทางเลยตราบใดที่ทักษิณยังรู้สึกอยู่ว่า เขาไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาต้องหนีคุก หนีคดีความอีกหลายคดี เขาจะต้องต่อสู้ให้เขาได้รับความเป็นธรรม (ในความคิดของเขา) จนกว่าจะตายไปจากโลกนี้
แม้มีโลกหน้าให้เขาสู้ เขาก็คงจะสู้
หลังการเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม จะมีคนอีกกลุ่มลุกขึ้นมาทวงสิทธิของพวกเขาบ้างอย่างแน่นอน สิทธินั้นก็คือ สิทธิที่พวกเขาลงคะแนนด้วยการกาในช่องที่ไม่เลือกใคร เพราะเห็นว่าผู้สมัครที่เสนอหน้ามาให้เลือกล้วนมีคุณสมบัติไม่เหมาะสม สมควรที่ประเทศไทยของเราจะต้องปฏิรูปใหม่ เราไม่ต้องการนักการเมืองที่เคยเป็นรัฐมนตรีมาแล้วในรัฐบาลพลเอกเปรม พลเอกชาติชาย นายชวน นายบรรหาร พลเอกชวลิต ทักษิณ สมัคร สมชาย และอภิสิทธิ์ ลูก เมีย ผัว ญาติโกโหติกา เราก็ไม่ต้องการ
เราอยากเห็นคนที่มีความรู้มีความสามารถจริงๆ ไม่ใช่ดีแต่พูด เราต้องการคนที่เคารพกฎหมาย ทำกฎหมายให้เป็นกฎหมาย ไม่ใช้เล่ห์กระเท่ห์ ตีความ เล่นลิ้น เอาตัวรอดไปวันๆ เราต้องการคนที่ซื่อสัตย์สุจริตต่อประเทศชาติ ต่อประชาชน
หลังวันที่ 3 กรกฎาคม กระแสเรียกร้องเช่นนี้จะเกิดขึ้นแน่นอน