“ประพันธ์” เชื่อไม่ว่าใครได้เป็น รบ.ประเทศจะวุ่นวายไม่รู้จบ ลั่นหากเป็น ผบ.ทบ. ฟันธงไม่มีโจรครองเมือง หนุนยิงเป้าพวกทุจริต รับเศร้าคนยังงมงายในตัวบุคคล ยึดติดกับพรรค ชี้ไม่มีทางออกใดนอกจากโหวตโน เว้นแต่เกิดเหตุบางสิ่งซึ่งขึ้นอยู่กับ ผบ.เหล่าทัพ รับได้หรือไม่ต้องไปยืนกุมเป้าโค้งคำนับ “ไอ้ตู่-ไอ้เต้น” พร้อมยก 4 เหตุกองทัพเสื่อมมนต์ขลัง
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง "รวมพลัง ปกป้องแผ่นดิน" ปราศรัยโดย "นายประพันธ์ คูณมี"
วันที่ 22 พ.ค.2554 บนเวทีปราศรัยการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ นายประพันธ์ คูณมี โฆษกการชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดิน กล่าวว่า ตั้งแต่ก่อนยุบสภาจนถึงขณะนี้โพลทุกสำนัก ออกมาในแนวทางเดียวกัน ว่า พรรคประชาธิปัตย์แพ้พรรคเพื่อไทย ทั้งที่พรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้ทำตัวดีขึ้นเลย เข้าร่วมเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง ในสภาก็แสดงพฤติกรรน่ารังเกียจ จนได้รับสมญานามว่า สภาเถื่อน ถ่อย ถีบ ขนาดพฤติพรรมพรรคเพื่อไทยแย่สุดๆ คะแนนนิยม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังไม่เพิ่มขึ้นเลย แสดงให้เห็นว่าไม่มีผลงานโดดเด่นให้ชื่นชม ว่าฝ่ายหนึ่งเน่าแล้วตัวเองยิ่งเน่ากว่าอีก
น่าเศร้า อันตรายอย่างยิ่งกับอนาคตการเมืองไทย จากโพลสำรวจประชาชนตัดสินใจเลือก คนที่ชอบและสังกัดพรรคที่ชอบ 50.07% เลือกเฉพาะพรรค 28.10% เน้นเฉพาะตัวบุคคล 14.62% ส่วนนโยบายดูแค่ 3.59% ซ้ำร้ายตัดสินใจจากการดูผลงาน ประวัติคน แค่ 3.54% การตัดสินใจแบบนี้ประเทศไปรอดยาก คนยังศรัทธางมงายในตัวบุคคล ในพรรค โดยไม่ดูผลงานที่ทำไว้ว่าเป็นอย่างไร ฝ่ายหนึ่งโกงโคตรโกง มีความผิดจนต้องหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ บัญชีรายชื่อเต็มไปด้วยคนเผาบ้านเผาเมือง ก่อการร้าย ล้มเจ้า ขณะที่อีกฝ่ายดีแต่แหล ทำงานไม่เป็น แก้ปัญหาไม่ได้สักเรื่อง
นายประพันธ์ กล่าวว่า มีนายทหารใหญ่ มาถามตนบ้านเมืองจะไปในแนวทางใด ไม่มีการเลือกตั้งหรือไม่ ตนก็ถามย้อนไปว่าจะมาถามตนได้อย่างไร เรื่องนี้น่าจะถามท่านมากกว่าเพราะท่านเป็นนายทหาร นาทีนี้มีทางเดียวหากจะไม่เกิดการเลือกตั้ง คือ การเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองทางใดทางหนึ่ง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับทหารจะคำนึงถึงความมั่นคงของชาติบ้านเมืองหรือไม่ ยอมรับได้หรือไม่หากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง แล้ว นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เป็นนายกฯ และ ส.ส.ในสภาเต็มไปด้วยคนเผาบ้านเผาเมือง บอกจะแก้ไขไม่แก้แค้น ยังไม่ทันได้เป็นรัฐบาลเลย ปราศรัยที่เชียงใหม่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ยังบอกเตรียมเช็กบิลผู้ว่าราชการเชียงใหม่ ที่สำคัญ ผบ.เหล่าทัพทั้งหลาย รับได้หรือไม่ต้องไปยืนกุมเป้าโค้งคำนับ นายจตุพร พรหมพันธ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
ทั้งนี้ สาเหตุที่ประชาชนไม่เชื่อถือ ไม่ไว้วางใจกองทัพดังเช่นอดีตที่ผ่านมา เป็นเพราะ 1.ระยะเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมาขบวนการโจมตีสถาบัน ขยายตัวบ้านเต็มเมือง เปิดเผยอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย แต่กองทัพทำได้เพียงให้นายทหารพระธรรมนูญไปแจ้งความกับตำรวจ จะว่าไปการแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมจากกองทัพ ยังน้อยกว่าประชาชนที่ออกมาต่อสู้ด้วยซ้ำ 2.ปกป้องอธิปไตยในดินแดนของตัวเองไม่ได้ ยอมให้เขมรรุกรานแผนดิน เท้านั้นยังไม่พอ ยังผลักใสไล่ส่ง คนไทยให้ไปติดคุกเขมรอีก 3.ทุจริตคอร์รัปชันในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ช่วงหลังผลาญงบไปไม่น้อยแต่ใช้ประโยชน์ในทางการรบไม่ได้ หากเกิดศึกใหญ่ๆขึ้นมามีหวังได้เห็นรถถังที่ซื้อ ออกมาวิ่งเป็นเศษเหล็กประจานกองทัพ 4.ทหารดีแต่ยืนกุมเป้า ครับผม กับนักการเมือง ยึดคติฝ่ายนโยบายใครมาก็ต้องเคารพปฎิบัติตามคำสั่ง คำถามหากคนที่เข้ามาเป็นการเมืองโกง ขายชาติ ทำลายชาติบ้านเมือง เห็นแก้ได้ เห็นแก่พวกพ้อง ก็จะก้มหัวกุมเป้าครับผมอย่างนั้นหรือ
“นักการเมืองฉลาดรู้ทหารอยากซื้ออาวุธ จึงแจกให้ไม่อั้นเพื่อปิดปากทหาร ทำให้ผู้นำเหล่าทัพต้องมีชนักติดหลังกลายเป็นพวกนักการเมืองเพราะแบ่งปันผลประโยชน์กันเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น หากจะถามบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร ตนตอบไม่ได้ เพราะไม่ได้เป็น ผบ.ทบ.ทั้งนี้ หากตนเป็น ผบ.ทบ.สามารถตอบได้เลยว่าพรุ่งนี้ บ้านเมืองต้องเรียบร้อยไม่มีโจรครองเมือง นอกจากนี้ยังจะเสนอให้ออกกฎหมายจัดการพวกทุจริต ด้วยการยิงเป้ากลางสนามหลวงให้ประชาชนดู หากไม่ทำเช่นนี้รับรองชาตินี้ไม่มีวันหยุดพวกโกงกินได้”
นายประพันธ์ กล่าวต่อว่า การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเผชิญหน้าครั้งสำคัญ หว่างระบอบทักษิณ กับระบอบอภิสิทธิ ไม่ใช่ระหว่างตัวนางสาวยิ่งลักษณ์ กับกับนายอภิสิทธิ์ ศึกครั้งนี้จะก่อให้เกิดความรุนแรงทั้งระหว่างเลือกตั้งและหลังเลือกตั้ง บ้านเมืองจะวุ่นวายอีกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากนายอภิสิทธิ์ ได้เป็นนายกฯอีก จะถูกต่อต้านอีกฝ่ายหาว่าปล้นคะแนน ขณะเดียวกัน หากพรรคเพื่อไทยได้ขึ้นเป็นนายกฯ อีกฝ่ายก็รับไมได้กับการตามแก้เค้นเช็กบิล เปิดทางทวงคืนทรัพย์ที่ถูกยึด นิรโทษกรรม ท้ายที่สุดทั้งสองฝ่ายจะหาข้อยุติไม่ได้ สรุปความวุ่นวายทางการเมืองเกิดจากสองพรรคสองฝ่ายเท่านั้น ไม่ใช่เกิดจากพวกเราเลย
นายประพันธ์ กล่าวถึงประเด็น โหวตโน ว่า เป็นคุณประโยชน์อย่างยิ่ง อย่างน้อยเมื่อการเมืองทั้งสองฝ่ายเป็นตัวปัญหาของประเทศ ก็จะเป็นตัวหยุดยั้งไม่ให้ทั้งสองฝ่ายเหิมเกริมในอำนาจ หันมารับฟังเสียงประชาชน หากโหวตโนมีจำนวนมาก จะเป็นสัญญาณบ่งบอกไปถึงบรรดาพรรคการเมืองว่า ประชาชนไม่ยอมรับ ทั้งนี้ สิ่งที่ประชาชนสองมือเปล่าสามารถทำได้ในขณะนี้ คือ เดินเข้าคูหากาในช่องไม่ลงคะแนนให้ใครให้มากที่สุด หากใครคิดว่าจะปล่อยให้บ้านเมืองเดินไปในสภาพอย่างนี้ไม่ได้ ใครมาก็ล้วนแต่ปู้ยี้ปู้ยำประเทศ ต้องออกมาช่วยกันล่มเรือโจร ปฎิรูปการเมืองไม่ได้เป็นภาระหน้าที่ของพันธมิตรฯแต่เพียงตามลำพัง เพราะประเทศนี้เป็นของพวกเราทุกคน
คำต่อคำ
กราบสวัสดีพี่น้องชาวไทยทุกท่านที่รับชมอยู่ทางบ้าน และในต่างประเทศนะครับ วันนี้ก็เจอพี่น้องชาวไทยที่อยู่ต่างประเทศ มาจากดัลลัส ใช่ไหมครับ นาวาเอก รู้สึกชื่อเหมือนกับผมเนี่ย น.อ.ประพันธ์ ซึ่งเป็นนายทหารเรือ นาวิกโยธิน และได้รับประกาศนียบัตรป้องกันราชอาณาจักรไปจากท่าน พล.ต.จำลอง แล้ว
เมื่อครั้งที่ผมไปดัลลัสกับคุณสนธิ คุณสุริยะใส ก็ได้เจอกับ น.อ.ประพันธ์ และพี่น้องชาวไทยที่ดัลลัส ท่านก็บอกว่าคนไทยที่ต่างประเทศรับชม รับฟัง ASTV และให้กำลังใจพี่น้องประชาชน และสนับสนุนการต่อสู้ของพี่น้องประชาชนเกิน 100% ครับ ปรบมือและขอบคุณพี่น้องชาวไทยในต่างประเทศทุกท่านด้วยนะครับ
พี่น้องครับ วันนี้สถานการณ์บ้านเมืองและการเลือกตั้งที่กำลังขมวดปมเข้ามา ก็ดูเหมือนทำให้สถานการณ์บ้านเมืองมีความเขม็งเกลียวขึ้นไปโดยลำดับ แต่ที่แน่ๆ ครับ ทราบว่าสถานการณ์ กระแสโหวตโนนั้นมาแรงมาก และเป็นที่ยอมรับว่ากำลังปกคลุม ตีคู่ไปกับการรณรงค์เลือกตั้งของบรรดานักการเมืองและพรรคการเมือง ซึ่งฟังจากอาจารย์นักรัฐศาสตร์หลายท่าน ที่ท่านเดินทางไปต่างจังหวัด ทั่วประเทศ รับฟังเสียงพี่น้องประชาชน ก็ทราบว่ากระแสรณรงค์ กระแสประชาชนที่ต้องการจะโหวตโนนั้นมีมาก และมากขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นกระแสที่กำลังมาแรงจริงๆ ครับ
และถ้าจะดูจากผลสำรวจของดุสิตโพล ล่าสุดนี้ผมจำตัวเลขได้ว่า จำนวนคนที่ตั้งใจว่าจะไปลงคะแนนใช้สิทธิ์แต่จะไม่เลือกใครนั้น ขณะนี้อยู่ประมาณ 2.78 เปอร์เซ็นต์ หรือเกือบ 3 เปอร์เซ็นต์ ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งนะครับ อันนี้ก็เป็นโพลของดุสิตโพลนะครับ ซึ่งถ้าหากว่ามีผู้ใช้สิทธิ์ที่ไม่ประสงค์ลงคะแนน 3 เปอร์เซ็นต์ 5 เปอร์เซ็นต์นั้น ก็จะไม่น้อยกว่า 2 ล้านแล้วครับ เพราะว่าขณะนี้ตัวเลขผู้ใช้สิทธิ์ ถ้าดูจากตัวเลขล่าสุดจะอยู่ประมาณ ปี 54 นี้จะมีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งอยู่ประมาณ 47,320,000 เศษๆ นะครับ เพราะฉะนั้นถ้าหากว่า 5 เปอร์เซ็นต์ ของ 47 ล้าน ก็ไม่ใช่น้อยนะครับ เกือบจะถึง 2 ล้านกว่า เกือบ 3 ล้านแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเรารณรงค์ไปเรื่อยๆ อาจจะเลย 5 เปอร์เซ็นต์ ไปถึง 6-7 เปอร์เซ็นต์ ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ เมื่อไรเป็นเรื่องใหญ่ล่ะครับ
ฉะนั้นวันนี้ที่เห็นพ่อแม่พี่น้องประชาชนของเราอาสาสมัครออกไปรณรงค์โหวตโน หรือเชิญชวนพี่น้องประชาชนไปใช้สิทธิ์ แต่กาในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน ที่สยามแสควร์วันนี้ เห็นภาพแล้วเป็นไปด้วยความคึกคักและมีสีสันอย่างยิ่ง ปรบมือให้พี่น้องเราอีกครั้งหนึ่งครับ
พี่น้องครับ เพื่อจะยืนยันว่า ที่เราไปรณรงค์โหวตโนนี้ เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพทางการเมืองโดยชอบ ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นไปตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง และเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพโดยชอบด้วยกฎหมายทุกประการ ไม่ผิดกฎหมายเลยนะครับ ใครจะไปคุกคาม ขัดขวาง ทำร้าย ทำลายพี่น้องประชาชนผู้ไปใช้สิทธิ์เสรีภาพนั้น ย่อมทำไม่ได้ด้วยกฎหมาย และไม่มีสิทธิ์ใดๆ ที่จะไปขัดขวางพี่น้องประชาชน เช่นเดียวกัน พรรคการเมืองจะรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ก็รณรงค์ไป แต่ประชาชนที่จะรณรงค์โหวตโนก็มีสิทธิ์ไปรณรงค์ได้ เพราะเป็นเสรีภาพทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยครับ ซึ่งโดยข้อกฎหมาย โดยรัฐธรรมนูญ โดยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผมได้พูดให้พี่น้องประชาชนฟังไปโดยค่อนข้างจะครบถ้วนแล้วว่า ไม่มีเรื่องใดอันเป็นการผิดกฎหมายเลย แต่วันนี้เพื่อจะเป็นการยืนยันว่า แม้กระทั่งคณะกรรมการ กกต.เขาได้ไปจ้างศิลปินที่มีชื่อเสียง ให้มาร้องเพลง และรณรงค์เชิญชวนคนไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ก็ยังมีเพลงที่รณรงค์บอกว่า ถ้าคุณไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง คุณไม่รัก คุณไม่ชอบใคร และไม่อยากเลือกใคร คุณก็ไปกาในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนได้ นี่เป็นผลงานของ กกต.ทำเองนะครับ ผมเข้าใจว่า กกต.จ้างนักร้องในค่ายของแกรมมี่ อย่างเช่น คุณอัสนี-วสันต์ คุณพลพล ไมค์ ภิรมย์พร อะไรพวกนี้ ไปร้องรณรงค์เชิญชวนประชาชนไปเลือกตั้ง
ทีนี้มันมีเพลงหนึ่งครับ เพื่อยืนยันว่า กกต.เองก็เข้าใจดีถึงสิทธิของประชาชนตรงนี้ และเพื่อให้พี่น้องตำรวจ เจ้าหน้าที่บ้านเมือง และบรรดาคนของพรรคการเมืองต่างๆ รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ด้วย ว่า เมื่อประชาชนไปรณรงค์โหวตโน เก็บอาการหน่อย อย่าแสดงอาการมาโห่ฮาหรือขัดขวางการใช้เสรีภาพของประชาชน เพราะมันเป็นเรื่องที่น่าละอายและกินปูนร้อนท้อง หรือหวาดกลัวจนเกินกว่าเหตุ ใช่มั้ยครับ
ผมก็เลยมีเพลงมาฝากพี่น้อง ให้ฟังก่อน ชื่อเพลงว่า สำเนียงประชาธิปไตย ร้องโดยอัสนี-วสันต์ แล้วในนี้เขาร้องรณรงค์ให้คนไปเลือกตั้ง และถ้าไม่ชอบใคร ก็ให้ไปกาในช่องไม่ลงคะแนนเลือกใครด้วย โดยอัสนี-วสันต์ ร้องเอง และเข้าใจว่า กกต.เป็นคนจ้างให้ร้องเพื่อรณรงค์เลือกตั้ง ไม่รู้ว่าทีมงานพร้อมมั้ยครับ เปิดไปก่อน เพราะว่าเพลงนี้จะได้ให้ความมั่นใจกับพี่น้องประชาชนทั่วประเทศด้วย
(เพลง : สำเนียงประชาธิปไตย)
ถ้าหากเธอไม่ประสงค์หรือเลือกใครไม่ลง ก็เลือกไปกาในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน นี่อัสนี-วสันต์ร้องนะครับ ไม่ใช่ผมร้อง เพราะฉะนั้นบรรดาเจ้าหน้าที่ตำรวจ บรรดาข้าราชการ หรือบรรดาสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์น่ะ ฟังเอาไว้ โหวตโนมันเป็นสิทธิ์ของคนไทยทุกคน ถ้าเราเลือกนักการเมืองพรรคไหน คนไหน เลือกไม่ลง เพราะมันอัปรีย์ไปจัญไรมา ก็กาในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนครับ
นี่ก็เป็นเพลงรณรงค์เลือกตั้งของ กกต.เขานะครับ ไม่ใช่ผมเอามาร้องเอง จึงเป็นที่ยืนยันได้ว่า ที่พี่น้องไปร่วมกันรณรงค์ในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน หรือโหวตโนนั้น เป็นสิทธิโดยชอบของพี่น้อง และไม่ผิดต่อกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นโหวตโนต้องเดินหน้าต่อไป ใช่มั้ยครับ รณรงค์ต่อไปจนกว่าจะถึงวันเลือกตั้ง เป็นสิทธิ์ของพวกเรา และเราก็เดินมาถูกจุดแล้วว่า การเมืองและบ้านเมืองวันนี้มันไม่มีทางเลือกอื่นใดที่จะให้ประชาชนเลือกได้เลย เพราะฝั่งหนึ่งก็เผาบ้านเผาเมือง อีกฝั่งหนึ่งก็ได้แต่แหลดีแต่พูด ทำงานไม่เป็น และก็ปล่อยให้เขาเผาบ้านเผาเมือง มันก็เลวพอๆ กัน ใช่มั้ยครับ เราก็เลือกไม่ลง
ทีนี้ พี่น้องครับ วันนี้ผมเห็นดุสิตโพล เห็นแล้วก็มันมีข้อสังเกตที่น่าสนใจในการเลือกตั้งครั้งนี้ อันนี้ดุสิตโพลเขาไปสำรวจในช่วงระหว่างวันที่ 19 พ.ค.ถึงวันที่ 22 ซึ่งอันนี้เราก็ฟังไว้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาในการเลือกตั้ง แต่อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เข้าใจว่าการเลือกตั้งในขณะนี้มันมีสภาพที่ชวนคิดอยู่หลายประการ ที่ชวนคิดก็คือว่า โพลทุกสำนัก ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง มาจนกระทั่งขณะนี้ ตั้งแต่ก่อนยุบสภา จนกระทั่งมาถึงขณะนี้ โพลทุกสำนักบอกว่าพรรคประชาธิปัตย์จะแพ้พรรคเพื่อไทย อันนี้ก็เป็นเรื่องของโพล ว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะ ไอ้ตรงนี้มันไม่ใช่ว่าเราไปโพลเองนะครับ นักวิชาการเขาทำของเขามา
ข้อสังเกตของผมก็คือว่า ทำไมโพลทุกสำนักจึงออกมาในลักษณะทำนองเดียวกันว่า ประชาธิปัตย์จะแพ้พรรคเพื่อไทย ทั้งๆ ที่พรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้ทำตัวอะไรให้ดีขึ้นมาเลย แถมมิหนำซ้ำยังก่อเหตุจลาจลวุ่นวาย เผาบ้านเผาเมืองร่วมกับกลุ่มคนเสื้อแดง แกนนำเสื้อแดงถึง 2 ครั้ง 2 ครา 10 เมษาฯ 19 พฤษภาฯ เป็นฝ่ายค้านในสภาก็ป่วน ด่าทอด้วยข้อความอันหยาบคาย มีพฤติกรรมอันน่ารังเกียจ กระโดดถีบ อ.สมเกียรติ จนสภาได้รับสมญานามว่าสภาเถื่อน ถ่อย ถีบ พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้าน อภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็อภิปรายงั้นๆ แหล่ะครับ สู้เวทีพันธมิตรฯ อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอภิสิทธิ์ยังมันส์กว่า ใช่มั้ยครับ
แต่คำถามว่า เอ๊ะทำไม พอถามความเห็นของประชาชนทั่วประเทศ คนถึงให้ความนิยมที่จะเลือกพรรคเพื่อไทย มากกว่าพรรคประชาธิปัตย์ นี่ขนาดว่าเขาแย่สุดๆ แล้วนะครับ คะแนนนิยม คะแนนศรัทธาของพรรคประชาธิปัตย์ และตัวนายอภิสิทธิ์ ก็ยังไม่กระเตื้องขึ้นเลย แถมเมื่อถามความนิยมระหว่างยิ่งลักษณ์ กับอภิสิทธิ์ ความนิยมศรัทธาของอภิสิทธิ์กลับถดถอยลง ความนิยมของยิ่งลักษณ์ กลับเพิ่มขึ้น นี่มันเป็นเรื่องตลก แต่มันก็เป็นตลกเศร้าที่เราหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ก็ไม่ออก แสดงว่าคุณอภิสิทธิ์เองก็ไม่ได้มีผลงานอะไรโดดเด่นที่ทำให้ประชาชนชื่นชม แทนที่อีกฝ่ายหนึ่งเขาแย่แล้ว ตัวเองกลับแย่กว่าอีก เลยขนมจีนผสมน้ำยา ผีเน่ากับโลงผุ มันพอๆ กันครับ
ดูตัวเลขนะครับ ความนิยมที่คนจะเลือก ถ้าเลือกบัญชีรายชื่อ ผมเอาเฉพาะในส่วนที่ประชาชนจะตัดสินใจเลือกตั้ง ดูจากอะไร เขาบอกว่า ประชาชนจะเลือก ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ หรือปาร์ตี้ลิสต์ โดยดูจากอะไร ปรากฏว่าสำรวจคนส่วนใหญ่แล้ว บอกว่าดูว่าเป็นคนที่ชอบ และสังกัดพรรคที่ชอบ ดูคนกับดูพรรค 50.07% โดยภาพรวม แต่ถ้าสังกัดพรรคที่ชอบ ดูเฉพาะพรรค ดูแค่ 28.18% แต่ถ้าเป็นคนที่ชอบ ตัวบุคคล ดูแค่ 14.62% ส่วนดูนโยบาย ดูแค่ 3.59% ที่ร้ายกว่านั้น คือดูอะไรครับ พอเขาถามว่าดูผลงานและประวัติกี่เปอร์เซ็นต์ คนเอามาตัดสินใจแค่ 3.54% เท่านั้นเอง
สรุปแล้วก็คือ ถ้าเขาเลือกชอบคน ชอบพรรคนี้ เขาก็เลือกเลย ไม่ต้องไปดูอะไร ไม่ดูผลงาน ไม่ดูนโยบาย ดูอย่างเดียวว่าเป็นคนที่ชอบ เป็นพรรคที่ชอบมั้ย ก็ตัดสินใจไปเลย การตัดสินใจแบบนี้อันตรายมากครับในการเมืองการเลือกตั้งของประเทศไทย มันเป็นลัทธิบูชาตัวบุคคล หรือศรัทธางมงายต่อพรรคใดพรรคหนึ่งก็เลือก โดยไม่ดูว่าผลงานของคนนั้น หรือพรรคนั้น ที่ทำไว้กับประเทศชาติบ้านเมือง เป็นอย่างไร นโยบายของพรรคนั้น หรือคนนั้น ที่ทำไว้กับประเทศชาติบ้านเมืองในการบริหารประเทศเป็นอย่างไร ไม่ดู ถ้าประชาชนไทยมีพฤติกรรมในการตัดสินการเลือกตั้งแบบนี้ ประชาธิปไตยไทยก็ล้มเหลวสุดๆ ครับ ไปรอดยากครับ
มันเป็นลัทธิบูชาตัวบุคคล หรือศรัทธางมงายต่อพรรค ต่อตัวบุคคลไหน ก็เลือกไปเลย ไม่ต้องไปสนใจว่าไอ้พรรคนี้ หรือคนนี้ มีประวัติ มีผลงานในการทำคุณงามความดีความชอบกับบ้านเมืองมาอย่างไร นโยบายที่จะมาแก้ไขปัญหากับประเทศชาติบ้านเมืองเชื่อถือได้แค่ไหน เพียงใด นี่คือความน่าเศร้าของการเมืองไทยครับ คือถ้าจะเลือก เอาเป็นว่า ผลงานและนโยบายนั้นแทบจะไม่ได้เอามาตัดสินใจเลย มิน่าล่ะครับ ขนาดโกง โคตรโกง หลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ บัญชีรายชื่อเข้ามาอยู่เต็มไปด้วยคนเผาบ้านเผาเมือง สร้างความเสียหาย ก่อการจลาจล กระทำความผิด ก่อการร้าย ล้มเจ้า ก็ยังไม่สนใจครับ
ขณะเดียวกัน อีกฝ่ายหนึ่งทำงานไม่เป็น ดีแต่แหล ดีแต่พูด แต่งตัวเฉิดฉายไปมา แก้ปัญหาไม่ได้สักเรื่อง ปัญหาดินแดน ปัญหาเอกราช ปัญหาอธิปไตยก็ทำไม่ได้ แก้ปัญหาไม่ได้ คนก็จะเลือก ไอ้คนที่งมงายกับปีกนี้ ก็ยังจะเลือกอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าการเมืองเป็นอย่างนี้ ผมถึงบอกว่าอันตรายอย่างยิ่ง ว่าประเทศไทยของเรามันจะไปทางไหนกันแน่ ในเมื่อพฤติกรรมการใช้สิทธิ์เลือกตั้งของประชาชนไม่สนใจชั่วดีเลวเลย ขอเพียงอุปถัมภ์ค้ำจุน เอาเงินมาแจกกู ก็พอแล้ว ถ้าอย่างนี้บ้านเมืองเห็นที่จะไม่มีอนาคตครับ
เมื่อมาดูคะแนนว่า เอาล่ะ จะเลือกพรรคไหนมากที่สุดในระบบบัญชีรายชื่อ ปรากฏว่าเพื่อไทย 74.30 เปอร์เซ็นต์ ประชาธิปัตย์ 67.83 เปอร์เซ็นต์ ส่วนพรรคอื่น ภูมิใจไทย 16 เปอร์เซ็นต์ รักประเทศไทย 15 ชาติไทย 13 ผมไม่รู้พรรครักประเทศไทย มาจากไหนครับ 15 เปอร์เซ็นต์ แสดงว่าการแสดงของชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ สามารถเรียกคะแนนเรทติ้งได้เหมือนกัน ประเทศไทยชอบบ้าๆ บอๆ แบบนี้ครับ
เอาล่ะ แต่ทั้งหมดนี้ โพลที่ประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายชนะมีอยู่โพลสำนักเดียวครับ คือสำนักจรกาโพลครับ นั่นล่ะโพลเดียวที่ชนะ นอกนั้นคือแพ้
ทีนี้ถ้าสถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างนี้ ทิศทางแนวโน้มของบ้านเมืองมันจะเป็นอย่างไร ปัญหาบ้านเมืองมันจะไปทางไหนกันแน่ ผมก็เลยถือโอกาสมาเล่าให้พี่น้องฟังว่า ก่อนจะมาขึ้นเวที ไปนั่งทานข้าว คุยกันกับนายทหารใหญ่คนหนึ่ง เอาว่าเป็นนายทหารใหญ่ ท่านเกษียณราชการแล้วล่ะ ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงอยากจะมาเจอผม อยากจะมาคุยกับผม บอกอยากมาคุยเรื่องบ้านเมือง เรื่องการเมือง ผมก็ถามว่า ท่านมีข้อกังวลใจว่ายังไง ท่านถามว่าบ้านเมืองมันจะจบลงยังไง มันจะมีเลือกตั้งมั้ย ผมก็ถามว่า ท่านมาถามผมได้ยังไง ผมต้องถามท่านสิ เพราะท่านเป็นนายทหาร ผมก็เลยตอบไปว่า ยังไงมาถึงนาทีนี้ มันก็ตอบไม่ได้หรอกว่าการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร แต่ขณะนี้ก็อยู่ในระหว่างการรณรงค์เลือกตั้ง ถ้ามันจะไม่มีการเลือกตั้ง มันก็มีประตูเดียว ทางเดียว คือเกิดการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองขึ้นมาด้วยวิธีทางใด วิถีทางหนึ่ง ซึ่งแน่นอนมันก็ควรต้องขึ้นอยู่กับทหารเป็นสำคัญ ว่าทหารคำนึงถึงปัญหาความมั่นคงของประเทศชาติบ้านเมืองมั้ย
ทีนี้ ความมั่นคงของประเทศชาติบ้านเมืองมันอยู่ตรงไหน ผมก็บอกว่า มันอยู่ที่ว่า วันนี้ทหาร ข้าราชการ ยอมรับได้หรือไม่ ถ้าเกิดว่าทักษิณ พรรคเพื่อไทยเขาชนะเลือกตั้ง ยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ ส.ส.ในสภาเต็มไปด้วยคนเผาบ้านเผาเมือง คนที่สู้รบกับทหารตาย 91 ศพ บาดเจ็บจำนวนมาก วันนี้เขาไปนั่งอยู่ในสภา เขาเป็นฝ่ายรัฐบาลแล้ว ทีนี้คุณบอกว่าเขาจะมาแก้ไข ไม่แก้แค้น นี่ยังไม่ทันได้เป็นรัฐบาลเลย ไปปราศรัยอยู่ที่เชียงใหม่ เฉลิมยังบอกว่าเตรียมจะเช็กบิลผู้ว่าราชการฯ เชียงใหม่แล้ว ใช่มั้ยครับ
ผมก็บอก ก็ต้องถามว่า ผบ.ทบ. ผบ.สูงสุด พวก ผบ.เหล่าทัพทั้งหลาย ยอมได้หรือเปล่าล่ะ ที่จะต้องไปยืนกุมเป้าโค้งคำนับ ฯพณฯ จตุพร ณัฐวุฒิ และยิ่งลักษณ์ ซึ่งก็คือนอมินีของคุณทักษิณ คือโคลนนิ่งของทักษิณ ถ้าท่านยอมรับได้ พวกผมก็จนด้วยเกล้าครับ ว่าประชาชนไทยนั้นนับถือครับ คือนับถือว่า ทหารไทยนี้ชื่อ ท.ทหารอดทน จริงๆ ครับ
ผมก็เลยถามต่อว่า ท่านบอกว่า คุณประพันธ์น่าจะมีข้อมูลเชิงลึกนะ น่าจะรู้ว่ามันจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ถึงรู้สึก บางทีพูดเหมือนกับไม่เชื่อว่าจะมีการเลือกตั้ง หรือไม่สนับสนุนการเลือกตั้ง ผมบอกว่าผมไม่ได้ไปขัดขวาง และไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อนะ ผมบอกว่าถ้ามันจะมีเลือกตั้ง ก็เลือกตั้ง แต่ถ้ามีเลือกตั้ง พวกเราก็ไปกาในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนเท่านั้น ใช่มั้ยครับ เพราะประชาชนไม่มีทางเลือก เราจะไปเลือกเพื่อไทย เราก็เห็นแล้วว่าเขาทำความเสียหายกับบ้านเมืองมาอย่างไร เราจะไปเลือกประชาธิปัตย์ เลือกนายอภิสิทธิ์ เราก็รู้แล้วว่าทำงานไม่เป็น ประชาชนพึ่งพาไม่ได้ และก็ได้พิสูจน์ตัวเองมาแล้วว่าเป็นอย่างไร ผลงานเห็นแล้ว มีฝีมือแค่ไหน เมื่อจะมาบังคับข่มขืนประชาชนให้ไปสู่กระบวนการเลือกตั้ง ทางออกที่ดีที่สุดของพวกเราก็คือรณรงค์โหวตโน ไม่ประสงค์ลงคะแนนเท่านั้น แต่มิใช่ว่าเราปฏิเสธระบอบการเมือง การเลือกตั้ง ถ้ามันมีเลือกตั้ง เราก็ไปเลือกตั้ง แต่กาช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนเลือกใครเท่านั้นเองครับ
ผมก็เลยถามว่า แล้วท่านคิดว่า ทหารเขาคิดอย่างไรล่ะ ท่านน่าจะรู้ดี ท่านก็บอกว่า ไม่รู้เขาคิดอะไรยังไง ทหารวันนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อน ท่านก็บอกว่าอย่างนี้นะครับ แล้วทหารระดับล่างๆ ล่ะ นายพันล่ะ เขาบอกเขาก็พร้อมนะ ถ้าเจ้านายสั่งเขาก็พร้อมปฏิบัติการ เอายังไงก็เอากัน แต่แกก็บอกเองว่า แต่ว่าดูแล้วนายมันคงไม่สั่ง นี่ผมก็มาเล่าให้ฟังนะครับ แต่ผมไม่ได้เล่าสิ่งที่ท่านพูดเท่านั้น ผมก็จะเล่าสิ่งที่ผมบอกไปด้วยว่า ท่านครับ ท่านรู้มั้ยว่าทุกวันนี้กองทัพและทหารไม่เป็นที่เชื่อถือ ไม่เป็นที่ศรัทธาต่อพี่น้องประชาชน ไม่เป็นที่ไว้วางใจต่อประชาชนนั้นด้วยเรื่องอะไร ท่านทราบมั้ย ท่านก็บอกว่า พี่ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมมันเป็นอย่างนี้ ผมก็บอก ผมจะบอกให้นะครับ วันนี้ทหารเสียเกียรติภูมิไปเยอะ เรื่องที่ทำให้ทหารเสื่อมเสียเกียรติภูมิและไม่เป็นที่เชื่อถือไว้วางใจของประชาชนนั้น มีอยู่ 4 ประการ ผมจะบอกให้
ประการที่ 1 คือ ตลอดระยะเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมานี้ มีขบวนการโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ ขยายตัวลามปามไปเต็มบ้านเต็มเมือง และก็พูดจาเปิดเผยโจมตีอย่างไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง และยังมีการจับกลุ่มสร้างขบวนการ เป็นขบวนการ เรียกว่าขบวนการล้มเจ้า ซึ่งทหารก็ทราบดี ฝ่ายความมั่นคงก็ทราบดี แต่ปรากฏว่าตลอดระยะเวลามา ผลงานของกองทัพ ทหาร มีอยู่เรื่องเดียว คือ ให้นายทหารพระธรรมนูญไปแจ้งความกับตำรวจเท่านั้นเอง ผลงานของการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ นี่ทำให้พี่น้องประชาชนรู้สึกไม่มั่นใจในกองทัพ ว่าไม่เหมือนทหารในอดีต ที่ถือเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะพระมหากษัตริย์คือจอมทัพไทย คือเสาหลักอันสำคัญของความมั่นคงของชาติ ถ้าทหารไม่รู้ร้อนรู้หนาวในเรื่องนี้ พวกผมประชาชนที่ออกมาสู้จะรู้ร้อนรู้หนาวมากกว่าทหาร มันก็กระไรอยู่ แต่มันกลายเป็นว่า โดยความเป็นจริงทุกวันนี้กลายเป็นประชาชนออกมาสู้ ออกมาปกป้องสถาบัน มากกว่าการแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมของทหารและกองทัพในเรื่องปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ นี่คือเรื่องที่ 1 ที่ทำให้ทหารตกต่ำและเสื่อมเสียเกียรติภูมิในการเดินขบวนสวนสนามปฏิญาณตนต่อธงชัยเฉลิมพล แล้ว กลับปล่อยให้เกิดขบวนการเหล่านี้เต็มบ้านเต็มเมือง
ประการที่ 2 ผมก็บอกว่า พี่ เรื่องที่ 2 ที่เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดของทหาร คือ นอกจากเรื่องสถาบันแล้ว มันจะมีเรื่องอะไรใหญ่เท่ากับเรื่องปกป้องอธิปไตย เอกราช และดินแดนประเทศของตัวเอง ใช่มั้ยครับ ยุคนี้ ตั้งแต่ประเทศไทยก่อตั้งมา ตั้งแต่เรารวมเป็นราชอาณาจักรไทย ตั้งแต่มีกองทัพไทยมา ไม่มีครั้งใดที่กองทัพเสื่อมเสียเกียรติภูมิเท่าครั้งนี้ ที่ยอมให้มีทหารเขมรและคนเขมรเข้ามารุกรานและยึดครองแผ่นดินไทย โดยกองทัพไทยยืนดูเฉยๆ หน้าที่ในการปกป้องเอกราช อธิปไตย มันคือจิตวิญญาณของทหาร ทำไมต้องกลายเป็นพี่น้องประชาชนมานั่งบ่น มานั่งว่า มานั่งวิพากษ์วิจารณ์กองทัพ ว่าไม่ทำหน้าที่ในการปกป้องดินแดน เอกราช และอธิปไตย ไม่ปกป้องดินแดนแล้วยังไม่พอ ยังผลักไสไล่ส่ง สร้างหลักฐานผลักไสคนไทยให้ไปติดคุกเขมรอีกต่างหาก นี่คือเรื่องที่ 2 ที่ทำให้กองทัพต้องตกต่ำและเสื่อมเสีย โดยรัฐมนตรีฯ กลาโหม และ ผบ.ทบ.ไม่ได้แสดงจุดยืนในความรักชาติ ปกป้องดินแดน เอกราช และอธิปไตยของตน นอกจากคุยว่ากองทัพไทยมีพลานุภาพ มีแสนยานุภาพ เหนือกองทัพเขมร แต่ยอมให้เขมรมายึดครองแผ่นดินไทยหน้าตาเฉยเลยครับ
เรื่องที่ 3 ที่ทำให้กองทัพตกต่ำ ที่ผมต้องพูดเพราะว่าต่อจากเวทีเสวนาวิชาการเมื่อเย็นนี้ เป็นรายการของทหารหาญเขามาพูดกัน ท่านอาจจะไม่ได้พูดประเด็นนี้ ผมก็เลยขอพูดประเด็นที่ 3 ที่ทำให้ทหารตกต่ำอีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ที่เป็นเศษเหล็กโดยเงินภาษีงบประมาณของแผ่นดินครับ
การจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพในช่วงหลังนี้ เป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ และทำให้ผลาญเงินภาษีงบประมาณของแผ่นดินไปจำนวนไม่น้อย แล้วอาวุธยุทโธปกรณ์เหล่านั้นก็มาใช้ประโยชน์ในทางการศึก ในทางการรบไม่ได้ ดีแต่ว่าประเทศไทยยังไม่มีศึกสงครามการสู้รบใหญ่ๆ เท่านั้นครับ ถ้ามีศึกสงคราม มีการปะทะ มีการสู้รบใหญ่ๆ ขึ้นมา คงได้เห็นอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ซื้อมา มาวิ่งเป็นเศษเหล็ก ประจานกองทัพไทยอย่างน่าละอายที่สุดครับ
ตัวอย่างเรื่องรถถังยูเครน นั่นเป็นตัวอย่างแล้ว ยังมีอีกเยอะ นี่กองทหารเรือก็จะขอซื้อเรือดำน้ำ ไม่รู้พ่อเจ้าประคุณจะเอาเรือดำน้ำไปรบกับใครครับ ขนาดเขมรยังไม่มีปัญญาไล่เขาออกจากแผ่นดินเลย จะเอาเรือดำน้ำไปไล่เขมรเหรอครับ
นี่คือ ทำให้ทหารตกต่ำ เมื่อเรื่องราวการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ถูกตีแผ่ เผยแพร่ออกมา มันก็ทำให้ชื่อเสียงเกียรติภูมิ ศักดิ์ศรีของกองทัพในสายตาประชาชนตกต่ำครับ นี่คือเรื่องที่ 3 ส่วนเรื่องที่ 4 คือเรื่องที่ทหารดีแต่ยืนกุมเป้า ครับผม ครับผม กับนักการเมือง ปากก็บอกว่าปล่อยให้การเมืองเขาแก้ปัญหาด้วยการเมือง การเมืองต้องเป็นฝ่ายนโยบาย ใครมาเราก็ต้องเคารพ เราก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง คำถามก็คือ ถ้าการเมืองมันเป็นการเมืองโกง การเมืองสามานย์ การเมืองสกปรก การเมืองที่เห็นแก่ได้ การเมืองที่เห็นแก่ประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง การเมืองที่ขายชาติ การเมืองที่ทำลายบ้านทำลายเมือง คุณก็จะก้มหัวกุมเป้า ครับผม ครับผม หรือครับ นี่ต่างหากที่ทำให้กองทัพตกต่ำ
และที่ตกต่ำมากกว่านั้นก็คือ กลายเป็นว่า อดีตนายทหาร อดีตผู้บัญชาการทหารบก ที่มาเล่นการเมือง กลายเป็นพวกที่หากินกับนักการเมืองครับ แล้วก็ลากดึงกองทัพกลายมาเป็นเครื่องค้ำบัลลังก์นักการเมืองเลว เอาทหารไปเจ็บ ไปตาย เพื่อค้ำบัลลังก์รัฐบาลแหลที่ดีแต่พูดครับ
ทหารแทนที่จะออกไปสู้รบ รบทัพจับศึก ปกป้องเอกราช ปกป้องดินแดน อธิปไตยของตนเอง ปรากฏว่ายุคหลังกองทัพมีหน้าที่มาปกป้องนักการเมืองเลว นักการเมืองโกง นักการเมืองที่ดีแต่พูด นักการเมืองที่ทำลายชาติบ้านเมือง ทหารดีๆ ตายฟรีครับ แล้วก็ไปฆ่าประชาชนคนไทยด้วยกันอีกต่างหาก การเมืองที่เลวก็นำทหารไปเผชิญหน้ากับประชาชน ทั้งๆ ที่เรื่องของกลุ่มคนเสื้อแดง และกลุ่มของทักษิณนั้น ถ้าทหารและรัฐบาลผนึกกำลังกับประชาชนที่รักบ้านรักเมืองส่วนใหญ่ทั้งประเทศ จัดการเสียโดยเด็ดขาด ยึดหลักกฎหมาย หลักนิติรัฐ หลักนิติธรรม มันก็ไม่ลามปามมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ใช่มั้ยครับ
ถ้านายอภิสิทธิ์ทำงานเป็น มีหรือที่พรรคเพื่อไทย ทักษิณ ชินวัตร และกลุ่มคนเสื้อแดง จะเหิมเกริมลอยหน้าลอยตา ใส่ชื่อบัญชีคนเผาบ้านเผาเมืองลงเลือกตั้งหน้าตาเฉยเลยครับ พอเลือกตั้งเสร็จ มันก็ฟอกตัวเรียบร้อย เห็นมั้ย ถ้ามันทำไม่ถูกประชาชนจะมาเลือกมันเหรอครับ ก็จะเอาผลเลือกตั้งมาลอยหน้าลอยตา กลายเป็นว่าบ้านนี้เมืองนี้ คนทำผิดทำชั่ว เผาบ้านเผาเมือง ได้รับความดีความชอบ คนที่ไม่ทำอะไรเลย ปล่อยให้เขาเผาบ้านเผาเมือง ก็ได้รับความดีความชอบ คนดีๆ ประชาชนอย่างพวกเรา ต้องคอยหลบพวกโจรครองเมือง
ทั้ง 4 ประการนี้คือความตกต่ำของกองทัพ เพราะฉะนั้นพี่ลองไปถามพวกรุ่นพี่ รุ่นเพื่อน รุ่นน้องของพี่ดูว่า เมื่อไรจะลุกขึ้นมากอบกู้เกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของตนเอง เมื่อไรจะยึดเอาผลประโยชน์ชาติ ผลประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้งเสียที ไม่ใช่ว่าเสวยสุขร่วมกับนักการเมือง แล้ววันนี้นักการเมืองฉลาดครับ นักการเมืองมันรู้นี่ ว่าทหารอยากจะซื้ออาวุธใช่มั้ย อ๋อ กองทัพเรืออยากจะซื้อเรือดำน้ำใช่มั้ย กองทัพบกอยากจะซื้อรถถังยูเครนใช่มั้ย กองทัพอากาศอยากจะซื้อเครื่องบินรบกริพเพนใช่มั้ย ฝ่ายการเมืองมันแจกให้เลย ไม่อั้นครับ เพื่ออะไร เพื่อปิดปากทหาร ท้ายที่สุดถ้าเกิดว่าการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ จัดซื้อมาแล้วมันใช้ไม่ได้ มันไม่มีประสิทธิภาพ ประชาชนก็ด่ากองทัพ ผู้นำเหล่าทัพก็มีชนักติดตัว ต้องกลายเป็นพวกเดียวกันกับนักการเมือง เพราะว่าแบ่งผลประโยชน์กันไปเรียบร้อยแล้ว ประเทศชาติบ้านเมือง ช่างมันครับ
ถึงเวลากองทัพซื้อยุทโธปกรณ์มาไม่มีประสิทธิภาพ เขาไม่ได้ด่านักการเมืองนะ เขาด่ากองทัพ ก็ฝ่ายกองทัพเสนอมา จะขอซื้อแบบนี้ เมื่อคุณต้องการแบบนี้ ผมก็จัดงบประมาณให้ตามที่คุณขอ เขาก็ประเคนให้ ส่วนใครจะได้ค่าคอมมิชชั่น ได้กำไร อิ่มหมีพีมันไปเท่าไรนั้น ก็ไปตามใช้เวรใช้กรรมเอาเมื่อเวลาหมดอำนาจครับ
เพราะฉะนั้นการเมืองวันนี้มันก็เลยพึ่งใครไม่ได้ ผมก็เลยตอบพี่ไปว่า พี่จะมาถามผมได้ยังไงว่าบ้านเมืองมันจะเป็นอย่างไร ผมตอบไม่ได้ครับ เพราะผมไม่ใช่ ผบ.ทบ. ถ้าผมเป็น ผบ.ทบ.ผมตอบพี่ได้เลยว่าบ้านเมืองพรุ่งนี้ต้องเรียบร้อย ไม่มีโจรครองเมืองเท่านั้นเองครับ ผมตอบได้
ไม่มีหรอกครับ ที่จะมีคนแบบนี้มาลอยหน้าลอยตา คนโกงแบบนี้ ถ้าผมมีอำนาจผมก็จะออกกฎหมาย พวกทุจริตทุกคนเนี่ย ผมจะขอความร่วมมือให้ยิงเป้ากลางสนามหลวงให้ประชาชนดูด้วยซ้ำไป ผมพูดจริงๆ นะครับ นักการเมืองไทยถ้าไม่เอามันไปยิงเป้ากลางสนามหลวงสัก 10 คน รับรองแม่งไม่หยุดโกงครับ จะบอกให้
ขนาดยึดทรัพย์ สมัยจอมพลถนอม จอมพลสฤษดิ์ มาถึงทักษิณ ยึดทรัพย์มันยังไม่เข็ดครับ เพราะมันสามารถกลับมาได้ และสามารถที่จะฟื้นอำนาจคืนมาได้ แต่ถ้าเมื่อไรกฎหมายเด็ดขาดแบบจีน แบบเวียดนามนะ ยิงเป้า ประหารชีวิต ความจริงแล้วโทษทุจริตคอร์รัปชั่นมันก็ถึงประหารชีวิต แต่ศาลและฝ่ายอัยการที่ฟ้อง ยังไม่ขอให้ประหารชีวิตสักที ถ้าประหารชีวิตนักการเมืองสัก 1-2 คน รับรองไม่มีใครกล้าครับ
ผมถึงบอกว่าบ้านเรานี่ ประหารชีวิตมาหมดแล้ว คดีฆ่าข่มขืนก็ประหารชีวิต คดีค้ายาเสพติดก็ประหารชีวิต คดีพวกนี้ มันโกง มันก็โกงเฉพาะคน สมมุติไปปล้น ฆ่าเจ้าทรัพย์ มันก็ตายเจ้าทรัพย์คนเดียว แต่ไอ้พวกโจรการเมืองที่มันปล้นประชาชนทั้งประเทศ ปล้นไปเป็นหมื่นๆ แสนๆ ล้าน มันปล้นทรัพย์สมบัติของคนทั้งประเทศ ทำให้ประเทศหายนะ ล่มจม ทั้งประเทศ ใช่มั้ยครับ เพราะฉะนั้นใครจะว่ารุนแรง ก็รุนแรงครับ ถ้าไม่ใช้ยาแรง ประเทศไทยชาตินี้ไม่มีวันคนมันจะอยู่ในแถว อยู่ในระเบียบ แต่ต้องเอาไอ้หัวโจกใหญ่ๆ ครับ อย่าไปเอาตัวเล็ก ไอ้หัวโจกใหญ่ๆ นี่ต้องเด็ดก่อน ถ้าอย่างนี้บ้านเมืองถึงจะไปได้ ผมเลยบอกว่า พี่ครับ พี่ไปบอกพรรคพวกพี่ว่า บ้านเมืองจะจบยังไง ถ้าเราไม่ยึดหลักกฎหมาย ไม่ดำเนินการโดยเด็ดขาด ไม่มีใครกลัวครับประเทศนี้ เพราะขนาดเผาบ้านเผาเมือง ด่าเจ้า ล้มล้างสถาบัน ก่อการร้าย กูก็ยังลอยนวล เดี๋ยวเสร็จแล้วกูก็ใส่สูทผูกไท เข้าสภาได้ บ้านเมืองมันก็เป็นอย่างนี้ล่ะครับ
เพราะฉะนั้นถ้าจะมาถามผมว่ามันจะอยู่ยังไง มันจะจบยังไง ผมตอบไม่ได้หรอก แต่ถ้าผมมีอำนาจ ผมถึงจะตอบได้ วันนี้ก็คือ คนมีหน้าที่ไม่ทำหน้าที่ คนมีอำนาจตามกฎหมาย ไม่ใช้อำนาจโดยชอบ แถมยังไปซูเอี๋ย จูบปากประกันตัวคนเผาบ้านเผาเมืองออกมาอีกต่างหาก บ้านเมืองมันถึงได้เป็นอย่างนี้ไงครับ สังคมก็เลยแยกไม่ถูกว่าอะไรผิด อะไรถูก อะไรดี อะไรชั่ว มั่วกันไปหมดเลยประเทศ มันช่างมั่วดีจริงๆ ครับ ไม่มีอะไรที่เป็นอนาคตความหวังได้ เพราะฉะนั้น คำตอบว่าทางออกมันจะจบลงอย่างไรนั้น ผมก็บอกว่า ดูกันไปแล้วกันครับ ประเทศไทย เดี๋ยวมันก็จบของมันเอง เพราะมันไปไม่ได้ มันก็คงต้องจบจนได้ล่ะครับ
ทีนี้ การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงนี้ มันเป็นการเลือกตั้งอย่างที่ผมบอกพี่น้องไปแล้ว ว่าการเลือกตั้งคราวนี้มันไม่ใช่เป็นการปะทะกันระหว่างยิ่งลักษณ์ กับอภิสิทธิ์ มันเป็นการปะทะกันระหว่างระบอบอภิสิทธิ์ กับระบอบทักษิณ ซึ่งที่ผมพูดอย่างนี้ ไม่ใช่เฉพาะผมเป็นคนพูดนะครับ นี่ต่างประเทศเขาก็มองเหมือนกัน มองตรงกับผม สงสัยนักวิชาการจากออสเตรเลียคนนี้ก็คงจะฟังจากประพันธ์พูด เลยเอาไปวิเคราะห์ทีหลังครับ
คนที่พูดเรื่องนี้ คือ ดร.แอนดรูว์ วอล์เกอร์ ซึ่งอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติของออสเตรเลีย เขาก็บอกว่า ในการเลือกตั้งของประเทศไทยครั้งนี้เป็นการเผชิญหน้ากันครั้งสำคัญ ครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง พูดง่ายๆ ก็คือว่า ความรุนแรง หรือการเผชิญหน้ากันครั้งนี้ มันกลายเป็นเผชิญหน้ากันที่สมรภูมิการเลือกตั้ง ไม่ใช่มาเผชิญหน้ากันในท้องถนนเหมือน 10 เมษาฯ เหมือน 19 พฤษภาฯ แล้ว และความรุนแรงนั้นจะเกิดขึ้น ทั้งในระหว่างเลือกตั้ง และหลังจากการเลือกตั้ง
การวิเคราะห์ของนักวิชาการจากต่างประเทศก็ตรงกับนักการข่าวมือหนึ่งของประเทศไทยคนหนึ่ง คือ พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ ซึ่งก็เป็นนักการข่าวจาก ศรภ.อดีตนายทหารนักการข่าวมือหนึ่งของ ศรภ. ก็วิเคราะห์ไว้ตรงกันว่า การเลือกตั้งนี้ แม้จบการเลือกตั้งแล้ว บ้านเมืองก็ยังจะไม่มีความสงบ ยังจะมีความวุ่นวายและความรุนแรงอย่างแน่นอน อย่างหลีกเลี่ยงยาก แต่จะแรงมากหรือแรงน้อย พี่น้องคอยดูครับ มันหลีกเลี่ยงยาก ไม่ว่าฝ่ายอภิสิทธิ์ขึ้นมาเป็นรัฐบาล ก็จะถูกกระแสต่อต้านจากอีกฝ่ายหนึ่ง เพราะจะไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง และจะไม่ยอมรับการปล้นคะแนน ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งขึ้นมา มันก็จะมีความวุ่นวายและความรุนแรง เพราะอีกฝ่ายหนึ่งก็จะเตรียมแก้แค้น ล้าง เช็กบิลประชาชน เช็กบิลข้าราชการ และเช็กบิลขุมข่ายกำลังของอีกฝ่ายหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็อาจจะมีการเปิดทางทวงคืนทรัพย์สมบัติที่ถูกยึด และเปิดทางเอาทักษิณกลับคืนมา หรือนิรโทษกรรม ด้วยวิธีทางใดวิธีทางหนึ่ง ท้ายที่สุดก็จะหาข้อยุติในทางการเมืองที่ยอมรับด้วยกันทั้งสองฝ่ายไม่ได้
สรุปแล้ว ความวุ่นวายทางการเมืองของบ้านเมือง พี่น้องเห็นแล้วว่าเกิดจากพวกเขาเองสองฝ่ายเท่านั้น ที่เป็นตัวปัญหาของชาติบ้านเมือง ไม่ใช่พวกเราเลยครับ เพราะฉะนั้น ดร.แอนดรูว์ เขาก็พูดไว้ชัดเจนว่า การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นการเผชิญหน้าครั้งสำคัญอีก ระหว่างพวกระบอบอภิสิทธิ์ กับพวกของระบอบทักษิณ ไม่ใช่เป็นการเผชิญหน้าระหว่างอภิสิทธิ์ กับยิ่งลักษณ์ ส่วนยิ่งลักษณ์นั้นเป็นเพียงเสื้อคลุม เป็นเพียงภาพอำพรางตัวทักษิณไว้เท่านั้นเอง เป็นเพียงเป้าหลอกของสังคมเท่านั้นเอง แต่เนื้อแท้แล้วเป็นการปะทะกันทางอำนาจอีกครั้งหนึ่ง ที่ทักษิณจะต้องทวงเอาอำนาจคืนให้ได้ และจะต้องเป็นรัฐบาลให้ได้ เมื่อเป็นแล้วพี่น้องก็นึกเอาแล้วกันครับว่าจะเกิดอะไรขึ้นในบ้านเมือง การเมืองก็คงยังจะเดินหน้าต่อไปไม่ได้อยู่เช่นเดิมครับ นี่เป็นการวิเคราะห์และเป็นการคาดการณ์ของผู้รู้จากทุกฝ่ายครับ
ดังนั้น เมื่อเป็นดังนี้แล้ว โอกาสที่บ้านเมืองมันจะมีความสงบเรียบร้อยนั้น ผมก็ยังบอกว่ามันยังมองไม่เห็นทางออก แต่ว่าการโหวตโนของเรา ท่านก็ถามผมเหมือนกันว่ามันจะช่วยอะไรได้ ผมบอกว่ามันช่วยได้ครับ ที่ช่วยได้อย่างมาก อย่างน้อยที่สุดก็คือว่า เมื่อทั้งสองฝ่ายเป็นตัวปัญหาของประเทศ และเป็นทางเลือกที่เลวที่สุดที่ประเทศไทยไม่อาจจะเลือกได้ ถ้าคนมาเลือกโหวตโนมาก มันก็เป็นตัวหยุดยั้งความเหิมเกริมของทั้งสองฝ่าย ไม่ให้เหิมเกริมว่าตัวเองได้อาญาสิทธิ์มาจากพี่น้องประชาชนที่ไปเลือกตัวเอง ใช่มั้ยครับ
ถ้าคะแนนโหวตโนมีมากถึง 3 ล้าน 5 ล้าน มันจะเป็นตัวบอกเลยว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับพวกคุณทั้งสองฝ่าย ใช่มั้ยครับ แต่ถ้าคะแนนไปลงคะแนนให้เขาถล่มทลาย เหมือนสมัยปี 2548 ทักษิณได้มาถล่มทลาย ทักษิณเหิมเกริมเลย เห็นมั้ยครับ ถึงขนาดไม่เห็นหัวใครเลย คิดว่าในประเทศไทยตัวเองใหญ่ที่สุด นั่นครับ คือสิ่งที่เป็นอันตรายสำหรับบ้านเมือง ดังนั้นคะแนนโหวตโนนี้จะเป็นตัวไปลดทอนความเหิมเกริมของนักการเมือง และลดอันตรายของบ้านเมือง ทำให้นักการเมืองจะต้องรับฟังเสียงประชาชนอีกส่วนหนึ่งที่รอเวลาที่จะเล่นงานนักการเมือง ถ้าทำอะไรโดยไม่ฟังเสียงประชาชน เพราะฉะนั้นการโหวตโนที่เรารณรงค์นั้น ต้องถือว่าเป็นคุณประโยชน์กับบ้านเมืองอย่างยิ่งครับ เราไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว เพราะฉะนั้นในสถานการณ์นี้ สำหรับประชาชนพลเมืองที่มีแต่สองมือเปล่าอย่างพวกเรา แต่เรามีสิทธิ์มีเสียงตามกฎหมาย และตามรัฐธรรมนูญ เราจะใช้สิทธิ์ของเราตรงนี้ให้เกิดอำนาจและพลังต่อรองมากที่สุดได้ในสถานการณ์นี้ก็คือ เดินเข้าคูหาและกาไม่ลงคะแนนให้ใคร ให้มากที่สุดครับ สิ่งที่เราทำได้ในขณะนี้
ส่วนเหตุการณ์อย่างอื่นมันจะเกิดอะไรขึ้น มันจะมีเลือกตั้ง ไม่มีเลือกตั้ง เลือกตั้งไปแล้วบ้านเมืองมันจะสงบสุข มันจะมีจุดจบ จะมีทางออกอย่างไร ในเรื่องอื่นที่เป็นเรื่องนอกเหนือจากอำนาจและกำลังของพวกเราแล้ว มันก็จนปัญญาครับ มันไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของเราที่จะไปทำนอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้ได้ แต่ถ้าหากใครคิดว่าจะปล่อยให้บ้านเมืองเดินไปในสภาพแบบนี้ไม่ได้ มันก็ต้องออกมาช่วยกันใช่มั้ยครับ ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นภาระหน้าที่ของพวกเราแต่เพียงลำพัง เพราะประเทศนี้เป็นของพวกเราทุกคน เราต้องออกมาช่วยกัน ถ้าเราไม่อยากเห็นบ้านเมืองตกอยู่ในกำมือของนักการเมืองชั่วทั้งสองฝ่าย ที่ใครมาก็ล้วนแต่โกง และปู้ยี่ปู้ยำกับประเทศชาติบ้านเมือง ถ้าเราไม่ต้องการ ก็ต้องออกมาช่วยกันรณรงค์โหวตโน หรือหยุดยั้งอำนาจชั่วของนักการเมืองเท่านั้น ใช่มั้ยครับ ถ้าท่านไม่ออกมาช่วยกัน ประเทศก็ต้องปล่อยให้โจรมันครองเมืองไป แต่ถ้าเราไม่ยอม เราก็ต้องมาช่วยกันล่มเรือโจร ใช่มั้ยครับ
เอาล่ะครับ พี่น้องครับ วันนี้ก็เอาพอสมควร มีเวลาไม่มาก และก็มีพี่น้องที่เชียงรายฝากมาประกาศว่า เชียงรายสามารถรับฟังการถ่ายทอดเสียง ASTV ได้ ที่วิทยุชุมชนคนห้วยไคร้ คลื่น 107.50 รับฟังได้เกือบทั้งจังหวัด 105.25 รับฟังได้ที่ อ.แม่สาย ขอช่วยประกาศด้วยนะครับ ผมช่วยประกาศให้แล้ว นี่ก็เป็นท่านผู้หนึ่งที่สนับสนุนรณรงค์โหวตโน คุณชุติภพ อภิโชติมงคลกุล ขอให้ประกาศว่าพี่น้องที่อยู่ทางภาคเหนือ เปิด 107.50 และ 105.25 ติดตามการถ่ายทอดเสียงของ ASTV จากวิทยุชุมชนที่เชียงราย อย่างน้อยภาคเหนือก็มีคลื่นของประชาชนคนรักชาติอย่างพวกเราเพิ่มขึ้นอีก 1 สถานีแล้วครับ ก็ขอบคุณนะครับที่กล้าหาญและยอมที่จะร่วมขบวนต่อสู้กับพวกเราโดยไม่หวาดกลัวภยันตรายใดๆ
พี่น้องครับ มีคนบอกว่า มาเนี่ยไม่ร้องเพลงไม่ได้ เพราะว่าเพลงที่ร้องนี้ ร้องทีไร แล้วทำให้พี่น้องมีกำลังใจ มีความฮึกเหิม ก็ต้องตามคำขู่และตามคำขอ เพราะว่าผมฟังเสียงมาจากพี่น้องที่เสนอเข้ามาก็ถือว่ามีเสียงเรียกร้องต้องการเยอะ ส่วนวันจันทร์ เดี๋ยวผมจะมาร้องเพลงพระราชนิพนธ์ร่วมกับครูอุดม เพราะเห็นแกเป่าแซกโซโฟนคนเดียว แล้วไม่มีนักร้อง ผมก็เลยขออาสาไปเป็นนักร้องประจำวงกับครูอุดมแล้วกันนะครับ พรุ่งนี้ครับ เพราะฉะนั้นก่อนจบวันนี้ ก็เอาเพลงนี้ล่ะครับเป็นเพลงจบและลาพี่น้องในวันนี้ เพลงศรัทธาครับ
(เพลง : ศรัทธา)