“อภิสิทธิ์” ลงพื้นที่เมืองกาญจน์ ฟังปัญหาที่ดินชาวบ้าน รับปากเจรจาให้ได้พื้นที่อย่างถูกกฎหมาย อ้อนประชาชนเลือกพรรคเป็นรัฐบาลสานต่อนโยบายเติมให้เต็มสิบ ดีกว่าเริ่มใหม่จากศูนย์ พร้อมสับทีมปรองดอง “ยิ่งลักษณ์” ทั้ง “จตุพร-ณัฐวุฒิ-เหวง” ตัวการป่วนส่อทำบ้านเมืองแตกแยกอีกครั้ง วอนคิดให้ดี
วันนี้ (20 พ.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เดินทางช่วยลูกพรรคหาเสียง ในระหว่างการลากิจวันที่ 2 ที่จังหวัดกาญจนบุรี และจังหวัดนครปฐม โดยใช้พื้นที่บ้านของ นายสำราญ ฟักรอด ต.หนองขาว อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ซึ่งมีการอารักขาอย่างเข็มงวด โดย นายอภิสิทธิ์ ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่ได้สะท้อนปัญหาต่างๆ โดยมีประชาชนจากหลายอำเภอเข้าร่วมรับฟังนโยบาย ซึ่งส่วนใหญ่ได้สะท้อนถึงปัญหาการประกันรายได้ และปัญหาที่อยู่อาศัย ที่อยู่ในพื้นที่ของทหาร และไม่มีโฉนดเป็นของตัวเอง
โดยปัญหาดังกล่าว นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า รัฐบาลได้เข้าไปเจรจากับทหารแล้ว เพื่อให้ข้อยุติ และนำพื้นที่มาให้ประชาชนอย่างถูกกฎหมาย ดังนั้น จะมีการดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันว่า นโยบายต่างๆ ที่พูดไปไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียนฟรี 15 ปี เบี้ยยังชีพ อสม.การประกันรายได้ การส่งเสริมค่าครองชีพ และการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ วันแรกที่พรรคประชาธิปัตย์เข้ามาเป็นรัฐบาลนั้น จะสามารถเดินหน้าต่อได้ทันที เพราะเป็นการต่อนโยบายเดิมที่ทำไว้
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวฝากให้ข้อคิดกับประชาชนในเรื่องการพิจารณานโยบายของพรรคการเมืองที่นำมาหาเสียง ว่า นโยบายที่พูดต้องถามว่า จะทำได้จริงหรือไม่ หรือจะทำจริงหรือเปล่า โดยขอรับรองได้เลยว่าอีก 40 วันจะมีคนมาวาดฝันอะไรมากมาย ประชาชนต้องคิดให้ดี แต่ที่พรรคประชาธิปัตย์พูดไป ได้ดำเนินการมาแล้ว และถ้าพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล เริ่มต้นวันแรกก็เดินหน้าได้ทันที ต่อเนื่องจากสิ่งที่ทำมาแล้ว
“เลือกตั้งคราวนี้ อย่าไปนับหนึ่ง เติมให้เต็มสิบไปเลย เพราะพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้เริ่มจากศูนย์ ไม่นับหนึ่ง เติมให้เต็มสิบนี่คือความแตกต่างของพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทย” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ถ้าจะเลือกพรรคเพื่อไทย ที่จะมีเรื่องการล้างความผิดนิรโทษกรรม เอา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับบ้านนั้น อยากให้ประชาชนคิดกลับไป ว่า เวลาที่มีการจุดประเด็นเรื่องการล้างความผิดนิรโทษกรรม บ้านเมืองจะเกิดวุ่นวายเหมือนปี 51 จนในที่สุดก็ทำอะไรกันไม่ได้ ตนเองตั้งใจยุบสภา เพื่อให้การเมืองกลับมาเป็นเรื่องของประชาชน ตนไม่อยากให้บ้านเมืองกลับไปเป็นเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดย 2 ปีกว่าที่ผ่านมา ได้ทำงานด้วยความอดทนไม่คิดทำร้ายใคร แต่ปัญหาหลายปัญหาที่ลุกลามบานปลาย รัฐบาลจำเป็นต้องรักษากฎหมายเมื่อมีเสียงเรียกร้องให้ปรองดอง สิ่งที่ดีที่สุดที่รัฐบาลทำ คือ การหาคนกลางที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียมาช่วยชี้แนะเรื่องปรองดอง แต่ถ้าเอาคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียมาแล้วอ้างปรองดอง รับรองว่าทะเลาะกันแน่
“ผมกลัวทีมปรองดองของคุณยิ่งลักษณ์ เพราะผมอ่านรายชื่อ ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทยที่จะมาทำเรื่องปรองดอง ผมเห็นชื่อแล้วกลัว 1.นายจตุพร 2.นายณัฐวุฒิ 3.หมอเหวง 4.วิภูแถลง 5.ภรรยาอริสมันต์ นี่แค่เฉพาะ 5 คน แต่มีอีกเป็น 10 ดังนั้น ขอให้พี่น้องคิด เอาทีมอย่างนี้มาทำงานปรองดอง มันจะปรองดองกันได้หรือเปล่า อย่าเลยครับพี่น้องเสียเวลามามากแล้ว เลิกพูดเรื่องพวกนี้ แล้วเอาปัญหาของพี่น้องมาพูดมาแก้ไขดีกว่า ดังนั้น ถึงได้บอกว่าถ้าเลือกประชาธิปัตย์ ไม่นับหนึ่ง แต่ช่วยเติมให้เต็มสิบ แต่ถ้าเลือกพรรคเพื่อไทยมาในวันนี้ ผมรับรองได้เลยว่า ทีมปรองดองของคุณยิ่งลักษณ์ กับอีกหลายคนในประเทศนี้จะมีปัญหาเกิดขึ้นอีก และในที่สุดปัญหาของประชาชนจะถูกมองข้าม เลือกตั้งกันทั้งทีต้องเป็นวาระของประชาชน ถ้าต้องการให้ประชาชนได้รับการแก้ไขปัญหาจะต้องไม่เสียสมาธิกับเรื่องอื่นๆ พรรคประชาธิปัตย์พร้อมอาสา” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ มีการมองกันว่า เป็นการแข่งขันของ 2 พรรคใหญ่ คือ พรรคประชาธิปัตย์ กับ พรรคเพื่อไทย คงจะแข่งขันกันเข้มข้นสูสีมาก ซึ่งถ้าหากเลือกพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะได้ นโยบายของรัฐบาล โดย ส.ส.ของพรรคสนับสนุนให้ตนเองเป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนพรรคเพื่อไทย สนับสนุน ให้นางสาวยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรี แต่พรรคเพื่อไทยบอกว่า จะเข้ามายกเลิกนโยบายสำคัญในเรื่องการประกันรายได้ โดยกลับไปใช้ระบบจำนำล่อใจตันละ 15,000 บาท อยากให้ประชาชนคิดเองว่ารัฐบาลจะมีปัญญานำเงินมาซื้อได้กี่ตัน สุดท้ายจะกลับไปสู่สภาวการณ์เดิม คือ ข้าวล้นสต๊อก มีราคาถูก แล้วที่บอกว่าจะซื้อคอมพิวเตอร์แจกให้เด็กทุกคน เพื่อเรียนหนังสือ ตนคิดคำนวณแล้ว เงินที่ใช้จะแพงกว่าโครงการเรียนฟรีที่พรรคประชาธิปัตย์ทำ ดังนั้นต้องถามกลับไปว่าจะนำเงินมาจากไหน ซึ่งอาจจะยกเลิกโครงการอื่นๆ ที่รัฐบาลทำมา
