อดีตทีมสู้คดีพระวิหารศาลโลก เปิดตัวหนังสือ “ข้อมูลพื้นฐานพระวิหารกับศาลโลก” เรียบเรียงโดย “ถ่ายเถา” ผู้เขียนดอกส้มสีทอง ตั้งราคาขายแค่ 71 บาท ด้าน “สมปอง” จี้รัฐอย่าให้เขมรขยายคำพิพากษาเดิมได้ ย้ำเพื่อนบ้านรุกแดนต้องผลักดันพ้นพื้นที่ ถามไม่อายหรือเห็นคนในชาติอพยพ
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล ให้สัมภาษณ์
วันนี้ (12 พ.ค.) ที่ห้องรามราฆพ (ห้องม้าขาว) ราชตฤณมัยสมาคม มีการจัดงานแถลงข่าวและเปิดตัวหนังสือ “ข้อมูลพื้นฐานพระวิหารกับศาลโลก จากข้อเขียนของ ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล” ซึ่งเรียบเรียงโดยนางถ่ายเถา สุจริตกุล ภรรยาของ ศ.ดร.สุจริต โอกาสนี้ทั้ง ศ.ดร.สมปอง และนางถ่ายเถา ได้เดินทางเป็นผู้แถลงข่าวด้วยตัวเอง โดยมีแขกผู้มีเกียรติ อาทิ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ และ ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ กรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย และผู้ที่สนใจอีกจำนวนหนึ่งเข้าร่วมงาน
โดย นางถ่ายเถาเปิดเผยว่า ที่ผ่านมาตนได้ทำหน้าที่เป็นเลขาฯ ส่วนตัวให้แก่สามีมาโดยตลอด จึงได้มีส่วนได้รับรู้ข้อมูลประวัติศาสตร์เกี่ยวกับปราสาทพระวิหารโดยตลอดเช่นกัน และเมื่อเห็นว่าในปัจจุบันได้เกิดปัญหาที่มีความคิดเห็นของหลายฝ่ายที่ไม่ตรงกัน และยอกย้อนกันจนเกิดเป็นความขัดแย้ง จึงอยากทำอะไรที่สามารถทำให้คนไทยรู้สึกสำนึกรักชาติ พร้อมทั้งช่วยให้ประเทศไทยไม่ให้ถูกใครมาย่ำยี การเรียบเรียงหนังสือเล่มนี้ออกมานั้นก็ไม่ได้ต้องการชื่อเสียงเงินทอง เพียงแต่อยากให้ข้อมูลที่มีการพูดกันมากมีความเข้าใจที่ตรงกัน เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นมาแล้วหลายสิบปี มีโอกาสที่จะผิดเพี้ยนสูง จึงนำข้อมูลที่มีอยู่เดิมมาเรียบเรียงเป็นหนังสือเล่มเล็กๆ นี้ขึ้นมา ซึ่งคิดว่าผู้อ่านใช้เวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมงก็สามารถอ่านจบได้ และนำไปสู่ความรู้ซึ่งเป็นข้อมูลที่แท้จริง รวมทั้งอยากให้ผู้ที่อ่านจบแล้วพกพาติดตัวไว้ด้วย เพื่อเผยแพร่ความรู้และทบทวน มิให้ต้องถูกหลิกจากข้อมูลที่ผิดเพี้ยน
“หนังสือเล่มนี้ตั้งราคาขายเพียง 71 บาทเท่านั้น เพราะเห็นว่าการที่ต้องการเสริมความรู้นั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เงินถึง 71 ล้านบาท หรือ 7.1 ล้านบาท ก็สามารถได้ความรู้ที่แท้จริงจากหลังสือเล่มเล็กๆ นี้ได้” นางถ่ายเถากล่าว
ด้าน ศ.ดร.สมปอง กล่าวตอนหนึ่งว่า การยื่นคำร้องของกัมพูชายังคลุมเครืออยู่ว่าเป็นคดีใหม่หรือคดีเก่าที่ต้องการให้มีการขยายผลของคำพิพากษาศาลโลกเมื่อปี 2505 หากเป็นคดีเก่าตนอยากถามว่าที่ผ่านมา 48 ปีนี้ไม่เคยตีความเลยอย่างนั้นหรือ ถ้าเป็นคดีใหม่แล้วศาลไม่รับคำร้องก็จบ ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำคือ ทำอย่างไรก็ได้ไม่ให้กัมพูชาสามารถขยายความคำพิพากษาเดิมได้ ซึ่งจะทำให้กัมพูชาตกอยู่ในที่นั่งลำบาก จึงเป็นเหตุให้ฝ่ายกัมพูชาออกมาพูดแบบกำกวม จะเอาทั้งขึ้นทั้งล่อง ซึ่งฝ่ายเราก็ต้องโต้แย้งให้ได้
ศ.ดร.สมปองกล่าวอีกว่า ตนเคยบอกนายกฯ และรัฐบาลเสมอว่า เราไม่จำเป็นต้องยึดถือเอ็มโอยู 2543 ก็สามารถปกป้องดินแดนของไทยได้ เพราะการที่กัมพูชารุกล้ำเข้ามาเขตแดนไทยนั้นก็เข้าข่ายความผิดชัดเจน โดยเฉพาะกฎบัตรสหประชาชาติ ข้อ 51 ดังนั้น รัฐบาลไทยสามารถใช้กำลังทหารในการผลักดันให้ออกไปได้ในทันที ไม่ต้องรอให้กัมพูชายิงมาก่อนด้วยซ้ำ หรือเมื่อรัฐบาลไม่ทำหน้าที่ ทหารก็สามารถทำหน้าที่ในการปกปักรักษาและมีสิทธิผลักดันผู้รุกรานโดยไม่ต้องรอฟังคำสั่งจากรัฐบาล ไม่ใช่ปล่อยให้กัมพูชาเข้ามาในดินแดนไทยโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งที่ภูมะเขือ หรือพื้นที่ 4.6 ตร.กม.รอบปราสาทพระวิหาร ส่วนวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระนั้นก็ไม่ได้ไปบอกให้ต้องทำลาย เพียงแต่ผลักดันให้ทหารกัมพูชาที่ปลอมเป็นพระสงฆ์นั้นออกไป แล้วขึ้นทะเบียนเป็นวัดไทยให้ถูกต้อง ส่วนจะส่งพระสงฆ์ขึ้นไปจำวัดหรือไม่นั้นก็ค่อยมาคิดกัน หรืออย่างน้อยที่สุดเจ้าหน้าที่รัฐต้องแวดวงอำนาจฝ่ายปกครอง โดยการจัดเก็บภาษีบริเวณนั้น คนกัมพูชาจะมาอยู่เราก็ไปเก็บภาษีให้รู้ว่าที่นี่เป็นดินแดนไทย ทั้งตำรวจและทหารต้องทำหน้าที่ตรงนี้ให้สมกับที่เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
“ไม่ใช่ปล่อยให้ต้องมีคนไทยอพยพในแผ่นดินไทย 3-4 หมื่นคน อยากถามว่าพวกท่านไม่อายหรือ ผมยังอายแทนเลย” ศ.ดร.สมปองกล่าว