By Lady Manager
แรงสนั่นกระจายทั่วบ้านทั่วเมืองกับละคร “ดอกส้มสีทอง” โดยเฉพาะบทบาทการแย่งชิงสามีชาวบ้าน ยอมกินน้ำใต้ศอกเมียหลวง และยอมเป็นกิ๊ก “ฟ้าไม่ขออะไรมากหรอกพ่อ พ่อแค่มาหาฟ้าอาทิตย์ละครั้งก็พอ”
ประโยคอันออดอ้อนออเซาะคุ้นหูนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจาก “เรยา” ผู้หญิงที่ต้องการถีบตัวเองให้ทัดเทียมสังคมชั้นสูง แม้ต้องแลกกับศีลข้อ 3 ยอมเป็นชู้ พลีกายให้กับสามีคนอื่น พฤติกรรมเหล่านี้หนาตาขึ้นทุกวัน จนกลายเป็นเรื่องธรรมดา
ผู้หญิงที่ยอมเป็นกิ๊ก..มักอ้างเรื่อง "ต้องการที่พึ่งพิง" ขอแค่แบ่งเสี้ยวไม่หวังแบ่งครึ่ง ไม่ได้ต้องการเป็นเมียหลวง หรือแฟนออกหน้าออกตา ขอแค่ผู้ชายให้เงินทองใช้ ซื้อของแบรนด์เนม ประเคนรถ บ้าน ฯลฯ เธอจะอยู่ได้อย่างไม่งี่เง่า เจียมเนื้อเจียมตัว!
และผู้หญิงแบบเรยาในสังคมยังมีอีกเพียบ! ทั้งหลบซ่อน และลอยหน้าชูคอสลอนไปมา พวกเธอเหล่านี้ต้องเยียวยาจิตใจให้ออกสู่วังวน“เรยา”อย่างไรบ้าง เราหอบประเด็นเรยาไปร่วมพูดคุยกับ พญ. พรรณพิมล วิปุลากร ผู้อำนวยการสถาบันราชานุกูล กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ได้ความว่า
ยอมเป็นกิ๊กเพราะ “ขาด” !
“สำหรับบางคนแล้วมันมีภาวะบางอย่างที่เขาคิด รู้สึกกับตัวเขาเองว่าขาดอะไรบางอย่างไปในชีวิตของเขา แล้วเขามีคำตอบกึ่งสำเร็จรูปว่า บางทีการเข้าไปสู่ความสัมพันธ์แบบนี้ มันจะทำให้เราได้ในสิ่งที่เราขาดไป
ทีนี้ต้องกลับไปถามว่า ความรู้สึกที่ขาดมันอาจไม่ได้ขาดจริง แต่เราไปรู้สึกว่าเราเหมือนจะขาด มันเริ่มต้นจากตรงนี้ก่อน แต่ถ้าเราย้อนกลับไปดูเราต้องทำความเข้าใจว่า ผู้คนในปัจจุบัน หรือเด็กที่เติบโตมาในปัจจุบันมันเหมือนกับมีคนมาบอกว่า ต้องมีนั่น มีนี่ สิ่งที่ต้องมีมันเยอะ ทั้งสิ่งที่อยู่นอกกายก็เยอะ ต้องมีนั่นมีนี่ และสิ่งที่มีอยู่ในใจก็เยอะเช่นกัน
ซึ่งจริงๆ แล้ว เรามีอยู่เท่าเดิมแหล่ะ แต่พอเขาบอกว่ามีมากขึ้นก็เลยดูเหมือนเรามีน้อย ความต้องการมันมากขึ้น จึงกลายเป็นดูน้อยนั่นเอง”
ไม่ต้องรัก ไม่ต้องผูกพัน ขอเพียงมี “ตังค์”
“หมอมองว่าความสัมพันธ์ในปัจจุบันเป็นประเด็นพอสมควร เรื่องมิติของความสัมพันธ์ เราพบว่า ความสัมพันธ์ในยุคสมัยนี้ไม่ต้องมีความลึกซึ้ง ความผูกพัน หรือความตั้งอกตั้งใจกับความสัมพันธ์อันนั้น
เราไม่ต้องรักเขาก็ได้แต่เรามีความสัมพันธ์แบบลึกซึ้งกันได้ หรือความสัมพันธ์จะเป็นอย่างไรก็ช่าง เราไม่ได้มองที่ปลายทางว่า จะรักกันจะใช้ชีวิตร่วมกัน จะแบ่งปันกันจะอยู่ด้วยกันตราบนานเท่านาน เหมือนกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องรอง ความสัมพันธ์มันเหมือนเอามาตอบโจทย์อย่างอื่นแทน เช่น ก็ยังดีกว่าอยู่คนเดียว ดีกว่าอยู่เฉยๆ เปล่าๆ แล้วอาจจะได้ประโยชน์จากความสัมพันธ์นั้นมาอีก เช่น ข้าวของเงินทอง ทำให้เป็นความเข้าใจว่า ความสัมพันธ์แบบนี้มาเติมทั้งความขาดภายนอก และเติมความรู้สึกขาดของตัวเราเอง
ในความเป็นจริงหากเรากลับมาดูปัจจัยภายนอก ที่เราไปบอกว่าเราต้องมีมากถึงจะพอ ทั้งที่เรามีน้อยเราก็เพียงพอได้ และความเป็นจริงคือ เราอยู่ได้ด้วยตัวเอง ตามลำพังได้ หรือสามารถที่จะมีอะไรที่อยู่ได้ด้วยความรู้สึกของตัวเราเองได้ มันไม่ได้แปลว่า ต้องมีความสัมพันธ์กับคนอื่นแบบนั้น
ปัจจุบันนี้วิถีชีวิตเราหรือสังคมเมือง ต้องมีความสัมพันธ์กับผู้คนมากหน้าหลายตา แต่ผิวเผินไปหมด จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของพฤติกรรมแบบนี้ ซึ่งต่างจากสมัยก่อนคือ การคบหากันมันจะมีความมุ่งมั่นระดับหนึ่ง คบกันแล้วมีเป้าหมายที่จะมีอนาคตร่วมกัน จุดร่วมกัน ที่ไม่ใช่แค่ผิวเผินแบบสังคมปัจจุบัน
แต่หมอก็ยังเชื่อว่า คนที่คบหาแบบจริงจังก็ยังมีนะ เพียงแต่ฝั่งผิวเผินอาจจะเยอะขึ้นกว่าเมื่อก่อนเท่านั้นเอง แต่ไม่ได้แปลว่าเมื่อก่อนไม่มีการคบแบบผิวเผิน แต่น้อยกว่า เพราะฉะนั้นเวลาเห็นเป็นภาพปรากฏของสังคม จึงรู้สึกว่ามันมากขึ้นกว่าเดิม
ถ้าถามว่า คนสมัยนี้ขาดศีลธรรมไหม บางทีถ้าเอาศีลธรรมในแง่ศีล 5 ก็คงใช่ แต่ถ้าเราเอาเรื่องศีลธรรมมาพูดในเรื่องของสังคมบนมิติมันพูดลำบาก เพราะเหมือนกับว่า แรงกดดันกับแรงจูงใจมันผลักคนให้เข้าไปอยู่บนพื้นที่นี้เยอะขึ้น แต่แน่นอนเหมือนกันว่า ถ้าสังคมเรา ระหว่างความก้าวหน้าในเรื่องอื่นๆ มันชัดเจนในเรื่องของศีลธรรม หรือใช้เป็นเครื่องมือกำกับอยู่ มันก็ไม่ควรเกิดเรื่องอย่างนี้เยอะ”
เป็นกิ๊ก ความสุขชั่วขณะ!
“หมอคิดว่าหัวใจที่สำคัญคือ การกลับมาทบทวนที่ตัวเราเอง คือ เรยา จะมองให้เห็นเป็นตัวอย่างว่า มันเป็นความสุขชั่วขณะ อย่างไรก็ตามต้องกลับมาเผชิญกับความทุกข์ ความไม่สมหวังอีกครั้ง แล้วชีวิตก็หมุนเวียนอยู่อย่างนี้ จากนั้นชีวิตก็จะทุกข์หนักขึ้นเรื่อยๆ เพราะตอนไม่สมหวังครั้งแรกมันก็ทุกข์ระดับหนึ่ง แต่พอใช้วิธีเดิมแล้วไม่สมหวังอีก มันจะรู้สึกแย่ลงไปอีก แล้วถ้ายังเลือกใช้วิธีเดิมอีก คุณก็จะรู้เลยว่าครั้งแรกไม่สมหวัง ครั้งที่สองก็ไม่สมหวัง แล้วครั้งที่สามคุณจะสมหวังเหรอ
จะเห็นจากตัวละครเรยาได้ว่า ผู้คนเดินห่างหายไปจากเรยาทีละคน ในที่สุดวิธีอย่างนี้ไม่ได้ทำให้เราได้เติมความรู้สึกที่เราอยากจะได้ สุดท้ายจะมีแต่คนอยากจะเดินออกจากเราไป เพราะฉะนั้นต้องถามตัวเองให้ดีว่า สิ่งที่กำลังทำอยู่ มันให้ความสุขกับสิ่งที่เราต้องการจริงหรือเปล่า โดยเฉพาะในระยะยาว
คนที่ทุกข์ที่สุดจริงๆ จะเป็นตัวเราเองนะ ผู้คนอื่นๆ ที่เดินเข้ามาในชีวิตเรา เขาเข้ามาในชีวิตแล้วก็เดินออกไป จะมีก็แต่เราอยู่กับความไม่สมหวังกับชีวิตที่เราเลือกเอง อันนี้ต้องถามตัวเอง เราจะรับได้ไหมถ้าเจอครั้งที่ สอง สาม คนเดินเข้ามาในชีวิตแล้วก็จากไปคนแล้วคนเล่า ไม่มีใครรักจริง หมอไม่คิดว่าจิตใจของคนเราจะทนได้ หรือแม้แต่อย่างเรยาเอง”
วิถีกิ๊กทำสภาพจิตบอบช้ำ
“ประสบการณ์ที่หมอทำงานมา วัตถุที่อยู่ภายนอก..ในที่สุดมันไม่เติมความรู้สึกได้หรอก ในที่สุดคนเราต้องการความสัมพันธ์ที่มั่นคง ไม่ได้อยากมีความสัมพันธ์ที่ต้องแย่งชิง แล้วไม่รู้ด้วยว่าจะได้หรือไม่ หรือถ้าได้มาก็ไม่ยั่งยืน อย่างนี้มันก็วนอยู่กับปัญหาอย่างนี้ พอถึงจุดหนึ่งจะพบว่า มันทุกข์กว่าเดิม มีแต่ความทุกข์มากขึ้น อึดอัดกว่าเดิม ในที่สุดใจเราจิตใจจะบอบช้ำมาก
และใครก็ตามที่มีนิสัยชอบแย่งแฟนผู้อื่น หรือชอบเป็นกิ๊ก ไม่ได้ถือว่าเป็นโรคจิต ซึ่งจากประสบการณ์ชีวิตของเขาที่ผ่านมามันทำให้เขามีมุมมองบางอย่าง ที่เขามองแล้วอาจจะเพี้ยนไป เช่น คุณสายตาสั้น 300 แต่คุณใส่ค่าสายตาแค่ร้อยเดียว แต่คุณหยิบมาใส่เองใช่ไหม มันก็ใช่ แต่เพราะว่าคุณถูกบอกไง ว่า ใช้แว่นค่าสายตาแค่นี้พอแล้ว ใช้ชีวิตได้ปกติแล้ว จากนั้นคุณก็จะมองอะไรมัวๆ กว่าคุณจะรู้ตัวว่าตาคุณมัว มันก็สายไปแล้ว
คุณต้องเลิกคิดแบบนี้ ทำความคิดตัวเองให้ชัดขึ้น กลับมาลองดูใหม่ว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขจริงหรือเปล่า มันเป็นคำตอบของความต้องการเราจริงไหม”
ไม่อยากโดนด่า “เรยา” ต้องอดทนกับความ “ไม่มี”
“หมอแนะนำให้คนที่อยากเลิกนิสัยแบบเรยาจงคิดว่า เราจะต้องเข้มแข็งพอที่จะต่อสู้ อย่ายอมแพ้ ซึ่งเขาอาจจะกลับไปสู่เส้นทางเดิมอีก เช่น ลองหาใหม่ดูอีกสักคน เผื่อคราวที่แล้วจะยังไม่ใช่ อันนี้คือความยาก เราต้องไม่กลับไปวงจรเดิม กลับมาอยู่กับตัวเอง อยู่ได้ด้วยตัวเอง
สู้กับความเหงา โดดเดี่ยว ความไม่มี ความลำบาก ความอดทน เช่น ทางเลือกเราอาจจะน้อยกว่าคนอื่นหน่อย เช่น ผู้หญิงการศึกษาน้อย ทางเลือกจึงน้อยกว่าผู้อื่น แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีทางเลือกแต่อาจจะน้อยกว่าคนอื่นหน่อย ดังนั้นเราจำเป็นต้องอดทน และสู้กับสภาวะจิตใจ ทำจิตให้เข้มแข็ง อย่ากลับไปวังวนเดิมอีก
แต่โดยส่วนใหญ่เราจะเห็นคนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ก็คือ คนที่อดทน และยืนอยู่ได้นาน ในที่สุดเขาก็จะไปสู่เป้าหมายที่มีความสำเร็จได้ แต่ประเด็นตรงนี้คือ ความเข้มแข็งในใจเราเอง ยิ่งถ้ามีคนเกื้อหนุนด้วยจะดีมาก คนบางคนอาจจะโชคดีมีเพื่อนที่ดี เป็นมิตร ทั้งเบื่อเราสุดๆ ที่เราเป็นแบบนี้ แต่ก็ยังทุ่มเทที่จะเกื้อกูลเราในทางที่ดี จึงทำให้เราเข้มแข็ง มีเพื่อนปลอบปะโลม
เราควรเปลี่ยนชีวิตตนเอง แล้วไปเจอผู้คนใหม่ที่สนับสนุนให้เราเข้มแข็งขึ้น เปลี่ยนสภาพแวดล้อมใหม่ จึงมีทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน ที่สำคัญ ตัวเราบอกไม่ได้หรอกว่า ปัจจัยภายนอกมันจะเข้ามาอย่างไร แต่ข้างในตัวเราเองต้องต่อสู้พอสมควร”
เห็นแล้วว่า เป็นกิ๊กเพราะ “เลือก” เองจากกิเลสตัณหาล้วนๆ หาใช่ “ขาด” หรือ “ปมด้อย” อะไรไม่!
เพราะฉะนั้นคุณสาวๆ ต้องถามตัวเองว่า คุณค่าของการเป็นมนุษย์เพศหญิงอยู่ที่ไหน จำเป็นนักหรือที่ต้องไปแย่งชิงสามีคนอื่น หรือต้องให้ได้มาซึ่งวัตถุด้วยการพลีกายใช้เซ็กซ์แลก…!!
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net
แรงสนั่นกระจายทั่วบ้านทั่วเมืองกับละคร “ดอกส้มสีทอง” โดยเฉพาะบทบาทการแย่งชิงสามีชาวบ้าน ยอมกินน้ำใต้ศอกเมียหลวง และยอมเป็นกิ๊ก “ฟ้าไม่ขออะไรมากหรอกพ่อ พ่อแค่มาหาฟ้าอาทิตย์ละครั้งก็พอ”
ประโยคอันออดอ้อนออเซาะคุ้นหูนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจาก “เรยา” ผู้หญิงที่ต้องการถีบตัวเองให้ทัดเทียมสังคมชั้นสูง แม้ต้องแลกกับศีลข้อ 3 ยอมเป็นชู้ พลีกายให้กับสามีคนอื่น พฤติกรรมเหล่านี้หนาตาขึ้นทุกวัน จนกลายเป็นเรื่องธรรมดา
ผู้หญิงที่ยอมเป็นกิ๊ก..มักอ้างเรื่อง "ต้องการที่พึ่งพิง" ขอแค่แบ่งเสี้ยวไม่หวังแบ่งครึ่ง ไม่ได้ต้องการเป็นเมียหลวง หรือแฟนออกหน้าออกตา ขอแค่ผู้ชายให้เงินทองใช้ ซื้อของแบรนด์เนม ประเคนรถ บ้าน ฯลฯ เธอจะอยู่ได้อย่างไม่งี่เง่า เจียมเนื้อเจียมตัว!
และผู้หญิงแบบเรยาในสังคมยังมีอีกเพียบ! ทั้งหลบซ่อน และลอยหน้าชูคอสลอนไปมา พวกเธอเหล่านี้ต้องเยียวยาจิตใจให้ออกสู่วังวน“เรยา”อย่างไรบ้าง เราหอบประเด็นเรยาไปร่วมพูดคุยกับ พญ. พรรณพิมล วิปุลากร ผู้อำนวยการสถาบันราชานุกูล กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ได้ความว่า
ยอมเป็นกิ๊กเพราะ “ขาด” !
“สำหรับบางคนแล้วมันมีภาวะบางอย่างที่เขาคิด รู้สึกกับตัวเขาเองว่าขาดอะไรบางอย่างไปในชีวิตของเขา แล้วเขามีคำตอบกึ่งสำเร็จรูปว่า บางทีการเข้าไปสู่ความสัมพันธ์แบบนี้ มันจะทำให้เราได้ในสิ่งที่เราขาดไป
ทีนี้ต้องกลับไปถามว่า ความรู้สึกที่ขาดมันอาจไม่ได้ขาดจริง แต่เราไปรู้สึกว่าเราเหมือนจะขาด มันเริ่มต้นจากตรงนี้ก่อน แต่ถ้าเราย้อนกลับไปดูเราต้องทำความเข้าใจว่า ผู้คนในปัจจุบัน หรือเด็กที่เติบโตมาในปัจจุบันมันเหมือนกับมีคนมาบอกว่า ต้องมีนั่น มีนี่ สิ่งที่ต้องมีมันเยอะ ทั้งสิ่งที่อยู่นอกกายก็เยอะ ต้องมีนั่นมีนี่ และสิ่งที่มีอยู่ในใจก็เยอะเช่นกัน
ซึ่งจริงๆ แล้ว เรามีอยู่เท่าเดิมแหล่ะ แต่พอเขาบอกว่ามีมากขึ้นก็เลยดูเหมือนเรามีน้อย ความต้องการมันมากขึ้น จึงกลายเป็นดูน้อยนั่นเอง”
ไม่ต้องรัก ไม่ต้องผูกพัน ขอเพียงมี “ตังค์”
“หมอมองว่าความสัมพันธ์ในปัจจุบันเป็นประเด็นพอสมควร เรื่องมิติของความสัมพันธ์ เราพบว่า ความสัมพันธ์ในยุคสมัยนี้ไม่ต้องมีความลึกซึ้ง ความผูกพัน หรือความตั้งอกตั้งใจกับความสัมพันธ์อันนั้น
เราไม่ต้องรักเขาก็ได้แต่เรามีความสัมพันธ์แบบลึกซึ้งกันได้ หรือความสัมพันธ์จะเป็นอย่างไรก็ช่าง เราไม่ได้มองที่ปลายทางว่า จะรักกันจะใช้ชีวิตร่วมกัน จะแบ่งปันกันจะอยู่ด้วยกันตราบนานเท่านาน เหมือนกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องรอง ความสัมพันธ์มันเหมือนเอามาตอบโจทย์อย่างอื่นแทน เช่น ก็ยังดีกว่าอยู่คนเดียว ดีกว่าอยู่เฉยๆ เปล่าๆ แล้วอาจจะได้ประโยชน์จากความสัมพันธ์นั้นมาอีก เช่น ข้าวของเงินทอง ทำให้เป็นความเข้าใจว่า ความสัมพันธ์แบบนี้มาเติมทั้งความขาดภายนอก และเติมความรู้สึกขาดของตัวเราเอง
ในความเป็นจริงหากเรากลับมาดูปัจจัยภายนอก ที่เราไปบอกว่าเราต้องมีมากถึงจะพอ ทั้งที่เรามีน้อยเราก็เพียงพอได้ และความเป็นจริงคือ เราอยู่ได้ด้วยตัวเอง ตามลำพังได้ หรือสามารถที่จะมีอะไรที่อยู่ได้ด้วยความรู้สึกของตัวเราเองได้ มันไม่ได้แปลว่า ต้องมีความสัมพันธ์กับคนอื่นแบบนั้น
ปัจจุบันนี้วิถีชีวิตเราหรือสังคมเมือง ต้องมีความสัมพันธ์กับผู้คนมากหน้าหลายตา แต่ผิวเผินไปหมด จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของพฤติกรรมแบบนี้ ซึ่งต่างจากสมัยก่อนคือ การคบหากันมันจะมีความมุ่งมั่นระดับหนึ่ง คบกันแล้วมีเป้าหมายที่จะมีอนาคตร่วมกัน จุดร่วมกัน ที่ไม่ใช่แค่ผิวเผินแบบสังคมปัจจุบัน
แต่หมอก็ยังเชื่อว่า คนที่คบหาแบบจริงจังก็ยังมีนะ เพียงแต่ฝั่งผิวเผินอาจจะเยอะขึ้นกว่าเมื่อก่อนเท่านั้นเอง แต่ไม่ได้แปลว่าเมื่อก่อนไม่มีการคบแบบผิวเผิน แต่น้อยกว่า เพราะฉะนั้นเวลาเห็นเป็นภาพปรากฏของสังคม จึงรู้สึกว่ามันมากขึ้นกว่าเดิม
ถ้าถามว่า คนสมัยนี้ขาดศีลธรรมไหม บางทีถ้าเอาศีลธรรมในแง่ศีล 5 ก็คงใช่ แต่ถ้าเราเอาเรื่องศีลธรรมมาพูดในเรื่องของสังคมบนมิติมันพูดลำบาก เพราะเหมือนกับว่า แรงกดดันกับแรงจูงใจมันผลักคนให้เข้าไปอยู่บนพื้นที่นี้เยอะขึ้น แต่แน่นอนเหมือนกันว่า ถ้าสังคมเรา ระหว่างความก้าวหน้าในเรื่องอื่นๆ มันชัดเจนในเรื่องของศีลธรรม หรือใช้เป็นเครื่องมือกำกับอยู่ มันก็ไม่ควรเกิดเรื่องอย่างนี้เยอะ”
เป็นกิ๊ก ความสุขชั่วขณะ!
“หมอคิดว่าหัวใจที่สำคัญคือ การกลับมาทบทวนที่ตัวเราเอง คือ เรยา จะมองให้เห็นเป็นตัวอย่างว่า มันเป็นความสุขชั่วขณะ อย่างไรก็ตามต้องกลับมาเผชิญกับความทุกข์ ความไม่สมหวังอีกครั้ง แล้วชีวิตก็หมุนเวียนอยู่อย่างนี้ จากนั้นชีวิตก็จะทุกข์หนักขึ้นเรื่อยๆ เพราะตอนไม่สมหวังครั้งแรกมันก็ทุกข์ระดับหนึ่ง แต่พอใช้วิธีเดิมแล้วไม่สมหวังอีก มันจะรู้สึกแย่ลงไปอีก แล้วถ้ายังเลือกใช้วิธีเดิมอีก คุณก็จะรู้เลยว่าครั้งแรกไม่สมหวัง ครั้งที่สองก็ไม่สมหวัง แล้วครั้งที่สามคุณจะสมหวังเหรอ
จะเห็นจากตัวละครเรยาได้ว่า ผู้คนเดินห่างหายไปจากเรยาทีละคน ในที่สุดวิธีอย่างนี้ไม่ได้ทำให้เราได้เติมความรู้สึกที่เราอยากจะได้ สุดท้ายจะมีแต่คนอยากจะเดินออกจากเราไป เพราะฉะนั้นต้องถามตัวเองให้ดีว่า สิ่งที่กำลังทำอยู่ มันให้ความสุขกับสิ่งที่เราต้องการจริงหรือเปล่า โดยเฉพาะในระยะยาว
คนที่ทุกข์ที่สุดจริงๆ จะเป็นตัวเราเองนะ ผู้คนอื่นๆ ที่เดินเข้ามาในชีวิตเรา เขาเข้ามาในชีวิตแล้วก็เดินออกไป จะมีก็แต่เราอยู่กับความไม่สมหวังกับชีวิตที่เราเลือกเอง อันนี้ต้องถามตัวเอง เราจะรับได้ไหมถ้าเจอครั้งที่ สอง สาม คนเดินเข้ามาในชีวิตแล้วก็จากไปคนแล้วคนเล่า ไม่มีใครรักจริง หมอไม่คิดว่าจิตใจของคนเราจะทนได้ หรือแม้แต่อย่างเรยาเอง”
วิถีกิ๊กทำสภาพจิตบอบช้ำ
“ประสบการณ์ที่หมอทำงานมา วัตถุที่อยู่ภายนอก..ในที่สุดมันไม่เติมความรู้สึกได้หรอก ในที่สุดคนเราต้องการความสัมพันธ์ที่มั่นคง ไม่ได้อยากมีความสัมพันธ์ที่ต้องแย่งชิง แล้วไม่รู้ด้วยว่าจะได้หรือไม่ หรือถ้าได้มาก็ไม่ยั่งยืน อย่างนี้มันก็วนอยู่กับปัญหาอย่างนี้ พอถึงจุดหนึ่งจะพบว่า มันทุกข์กว่าเดิม มีแต่ความทุกข์มากขึ้น อึดอัดกว่าเดิม ในที่สุดใจเราจิตใจจะบอบช้ำมาก
และใครก็ตามที่มีนิสัยชอบแย่งแฟนผู้อื่น หรือชอบเป็นกิ๊ก ไม่ได้ถือว่าเป็นโรคจิต ซึ่งจากประสบการณ์ชีวิตของเขาที่ผ่านมามันทำให้เขามีมุมมองบางอย่าง ที่เขามองแล้วอาจจะเพี้ยนไป เช่น คุณสายตาสั้น 300 แต่คุณใส่ค่าสายตาแค่ร้อยเดียว แต่คุณหยิบมาใส่เองใช่ไหม มันก็ใช่ แต่เพราะว่าคุณถูกบอกไง ว่า ใช้แว่นค่าสายตาแค่นี้พอแล้ว ใช้ชีวิตได้ปกติแล้ว จากนั้นคุณก็จะมองอะไรมัวๆ กว่าคุณจะรู้ตัวว่าตาคุณมัว มันก็สายไปแล้ว
คุณต้องเลิกคิดแบบนี้ ทำความคิดตัวเองให้ชัดขึ้น กลับมาลองดูใหม่ว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขจริงหรือเปล่า มันเป็นคำตอบของความต้องการเราจริงไหม”
ไม่อยากโดนด่า “เรยา” ต้องอดทนกับความ “ไม่มี”
“หมอแนะนำให้คนที่อยากเลิกนิสัยแบบเรยาจงคิดว่า เราจะต้องเข้มแข็งพอที่จะต่อสู้ อย่ายอมแพ้ ซึ่งเขาอาจจะกลับไปสู่เส้นทางเดิมอีก เช่น ลองหาใหม่ดูอีกสักคน เผื่อคราวที่แล้วจะยังไม่ใช่ อันนี้คือความยาก เราต้องไม่กลับไปวงจรเดิม กลับมาอยู่กับตัวเอง อยู่ได้ด้วยตัวเอง
สู้กับความเหงา โดดเดี่ยว ความไม่มี ความลำบาก ความอดทน เช่น ทางเลือกเราอาจจะน้อยกว่าคนอื่นหน่อย เช่น ผู้หญิงการศึกษาน้อย ทางเลือกจึงน้อยกว่าผู้อื่น แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีทางเลือกแต่อาจจะน้อยกว่าคนอื่นหน่อย ดังนั้นเราจำเป็นต้องอดทน และสู้กับสภาวะจิตใจ ทำจิตให้เข้มแข็ง อย่ากลับไปวังวนเดิมอีก
แต่โดยส่วนใหญ่เราจะเห็นคนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ก็คือ คนที่อดทน และยืนอยู่ได้นาน ในที่สุดเขาก็จะไปสู่เป้าหมายที่มีความสำเร็จได้ แต่ประเด็นตรงนี้คือ ความเข้มแข็งในใจเราเอง ยิ่งถ้ามีคนเกื้อหนุนด้วยจะดีมาก คนบางคนอาจจะโชคดีมีเพื่อนที่ดี เป็นมิตร ทั้งเบื่อเราสุดๆ ที่เราเป็นแบบนี้ แต่ก็ยังทุ่มเทที่จะเกื้อกูลเราในทางที่ดี จึงทำให้เราเข้มแข็ง มีเพื่อนปลอบปะโลม
เราควรเปลี่ยนชีวิตตนเอง แล้วไปเจอผู้คนใหม่ที่สนับสนุนให้เราเข้มแข็งขึ้น เปลี่ยนสภาพแวดล้อมใหม่ จึงมีทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน ที่สำคัญ ตัวเราบอกไม่ได้หรอกว่า ปัจจัยภายนอกมันจะเข้ามาอย่างไร แต่ข้างในตัวเราเองต้องต่อสู้พอสมควร”
เห็นแล้วว่า เป็นกิ๊กเพราะ “เลือก” เองจากกิเลสตัณหาล้วนๆ หาใช่ “ขาด” หรือ “ปมด้อย” อะไรไม่!
เพราะฉะนั้นคุณสาวๆ ต้องถามตัวเองว่า คุณค่าของการเป็นมนุษย์เพศหญิงอยู่ที่ไหน จำเป็นนักหรือที่ต้องไปแย่งชิงสามีคนอื่น หรือต้องให้ได้มาซึ่งวัตถุด้วยการพลีกายใช้เซ็กซ์แลก…!!
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net