“โฆษกมาร์ค” ซัด “นช.แม้ว” ใช้ช่องว่างกฎหมายเคลื่อนไหวการเมือง จี้ กกต.รู้เท่าทันเอาผิดตามกฎหมาย โอ่โพล ชี้ ปชป.ซื่อสัตย์ คือ หัวใจบริหารชาติ แต่อ้างแพ้จุดเด่นด้านอื่นพิสูจน์ไม่ได้ จี้ พท.เลิกพล่ามชนะเลือกตั้ง แนะอย่ายึดติดโพล ชู 8 เหตุผลฝ่ายค้านไม่ได้เป็นพรรคเบอร์ 1
วันนี้ (8 พ.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องหาก่อการร้าย ประกาศว่า จะหยุดใช้โปรแกรมสไกป์มายังพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่วันที่ 8 พ.ค.เป็นต้นไป เพื่อเลี่ยงความผิดที่จะยุบพรรคเพื่อไทย ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามที่จะใช้ช่องว่างของกฎหมายเคลื่อนไหวทางการเมือง หากบริสุทธิ์ใจจริง และคิดว่า แนวทางของตัวเองถูกต้อง ก็ควรที่จะสไกป์มายังพรรคเพื่อไทยต่อไปอย่างเปิดเผย ไม่ใช่ทำแบบผลุบโผล่ หรือเป็นอีแอบทางการเมือง การที่หยุดสไกป์มายังพรรคเพื่อไทย แล้วเปลี่ยนไปใช้สไกป์บนเวทีการชุมนุมกลุ่ม นปช.ก็เป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรแตกต่างกัน เพราะรู้ดีว่ากลุ่ม นปช.และคนเสื้อแดง คือ แขนขาของพรรคเพื่อไทย ที่พยายามแบ่งบทกันเล่น โดยตัว พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้กำกับ
“การเลี่ยงบาลีเช่นนี้ กกต.จะต้องรู้เท่าทัน และต้องพิจารณาลงโทษเอาผิดกับพรรคเพื่อไทยด้วยตามกฎหมายเลือกตั้ง การกระทำผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเกิดขึ้นด้วยตัวเอง หรือผู้อื่นทำให้ก็เป็นความผิดทั้งสิ้น ถ้า นปช.เคลื่อนไหวทางการเมืองที่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง แล้วทำให้พรรคเพื่อไทยได้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวนั้น พรรคเพื่อไทยก็จะต้องมีความผิด และจะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวแทน คือ นปช.และคนเสื้อแดงด้วย” นายเทพไท กล่าว
นายเทพไท กล่าวถึงผลสำรวจของเอเบคโพลล์ ที่บอกว่า พรรคเพื่อไทยมีจุดแข็งเหนือกว่าพรรคประชาธิปัตย์ทุกด้าน ยกเว้น เรื่องความซื่อสัตย์ สุจริต ว่า การที่พรรคประชาธิปัตย์ มีจุดเด่นเหนือพรรคเพื่อไทย เรื่องความซื่อสัตย์สุจริตนั้น ถือว่าหัวใจของการบริหารประเทศและความสำคัญของนักการเมือง ซึ่งจุดเริ่มต้นของความดี ไม่ว่าจะเป็นด้านคุณธรรมจริยธรรม ก็ล้วนแล้วมาจากความซื่อสัตย์สุจริตทั้งสิ้น ซึ่งเป็นจุดแข็งที่เป็นที่ยอมรับของประชาชนมาโดยตลอด 65 ปี นักการเมืองทุกคนไม่ว่าจะเก่งมีความรู้ความสามารถแค่ไหน แต่ถ้าขาดความซื่อสัตย์สุจริตก็ไม่สามารถที่จะประสบความสำเร็จ หรือเป็นที่ยอมรับของประชาชนได้ และ เหตุการณ์ปฏิวัติรัฐประหารทุกครั้งที่เกิดขึ้น ล้วนมีข้ออ้างมาจากจากความล้มเหลวของรัฐบาลในเรื่องการทุจริต คอร์รัปชันทั้งสิ้น
“ผลสำรวจที่บอกว่า พรรคเรามีจุดแข็งอยู่ที่ความซื่อสัตย์ แสดงว่า จุดเด่นด้านอื่นๆ ของพรรคเพื่อไทย ก็คือ ความล้มเหลวทางการเมืองในความซื่อสัตย์ ส่วนจุดเด่นด้านอื่นๆ ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจะเหนือ ปชป.จริงหรือไม่ เช่น วิสัยทัศน์ หรือนโยบายต่างๆ อย่างไรก็ตาม เราก็เคารพในผลสำรวจ แต่ก็จะต้องดูกลุ่มตัวอย่างที่ไปสำรวจว่าเป็นคนกลุ่มใด และลักษณะคำถามว่ามีเนื้อหาเช่นใด ผลที่ออกมาไม่ใช่ข้อสรุป เพียงแต่เป็นความเห็นของคนกลุ่มหนึ่งในสังคมเท่านั้น” นายเทพไท กล่าว
นายเทพไท กล่าวว่า ทางพรรคเองก็พยายามปรับปรุงและพัฒนาจุดด้อยต่างๆ ให้เป็นที่ยอมรับของประชาชนมากขึ้น โดยพรรคได้สรุปผลเรียนและจุดอ่อนของพรรคในการทำงานทางการเมืองมาโดยตลอด โดยเฉพาะเรื่องการโฆษณาประชาสัมพันธ์ หรือทางการตลาด ที่ยอมรับว่าเป็นรองพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด แต่ก็เชื่อว่าประชาชนที่ได้ติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิดก็จะเข้าใจจุดยืนการทำงานของพรรคโดยผ่านการพิสูจน์ผลงานมากกว่าการโฆษณาและการตลาด
นายเทพไท กล่าวต่อว่า ส่วนที่พรรคเพื่อไทยมีความมั่นใจต่อชัยชนะในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น โดยอ้างถึงผลโพลจากหลายสำนัก ว่า แม้ผลโพลหลายแห่งจะให้พรรคเพื่อไทยมาเป็นที่หนึ่ง แต่ผลการเลือกตั้งที่แท้จริงพรรคประชาธิปัตย์อาจจะเป็นอันดับหนึ่งก็ได้ ฉะนั้น การยอมรับคะแนนของพรรคอันดับหนึ่งก็ต้องเป็นคะแนนจากผลการเลือกตั้งจริงไม่ใช่จากการสำรวจของโพล ถ้ายึดถือเอาผลโพลเป็นที่ตั้ง และเป็นจุดชี้ขาดก็ไม่ควรจัดให้มีการเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรง ควรใช้วิธีการสุ่มตรวจและวัดจากผลสำรวจไม่ดีกว่าหรือ เพราะจะเป็นการประหยัดงบประมาณในการจัดการเลือกตั้งที่สูงถึง 3 พันกว่าล้านบาท
“อยากจะเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยหยุดการประโคมข่าวว่าพรรคตัวเองจะได้อันดับหนึ่งเพื่อสร้างกระแส รอให้ผลการเลือกตั้งที่แท้จริงออกมาจะดีกว่า เพราะสังคมไม่ยอมรับผลการสำรวจล่วงหน้า หรือแม้แต่เอ็กซิตโพลที่ทำหน้าหน่วยเลือกตั้งในวันลงคะแนน ก็ยังไม่มีความเที่ยงตรง นับประสาอะไรกับผลโพลที่ทำก่อนยุบสภาด้วยซ้ำไป จุดชี้ขาด และเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของประชาชน ว่า จะเลือกพรรคการเมืองใด พรรคการเมืองหนึ่ง เป็นผู้บริหารประเทศก็จะอยู่โค้งสุดท้ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนลงคะแนน 7 วัน ฉะนั้น ความนิยมของประชาชนต่อพรรคการเมืองมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่ควรยึดติดกับผลสำรวจในขณะนี้
นายเทพไท ยังกล่าวถึงการเคลื่อนไหวลักษณะประสานเสียงของพรรคเพื่อไทย โดยสร้างกระแสว่าตัวเองจะชนะเลือกตั้งเป็นพรรคอันดับหนึ่งนั้น ว่า โดยข้อเท็จจริงและข้อมูลทั้งหมด จะเห็นได้ว่าพรรคเพื่อไทยไม่มีโอกาสที่จะชนะเลือกตั้งเป็นพรรคอันอับหนึ่งอย่างแน่นอน ด้วยเหตุผล 1.พรรคเพื่อไทยไม่มีเคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่ชัดเจนทำให้ประชาชนไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะเลือกใครเป็นผู้บริหารประเทศ 2.ในด้านนโยบายเป็นนโยบายเพ้อฝันที่จับต้องไม่ได้ ถ้าเทียบกับนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ที่ปฏิบัติได้จริง และเป็นการต่อยอดนโยบายที่รัฐบาลชุดนี้กำลังทำอยู่ 3.เรื่องฐานเสียงพรรคเพื่อไทยในภาคอีสานที่มีความหนาแน่น จะถูกพรรคการเมืองอื่นๆเข้าไปเป็นส่วนแบ่งพื้นที่หลายจังหวัด ไม่ว่าจะพรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ซึ่งล้วนแต่มีฐานเสียงที่แน่นอนในภาคอีสานทั้งสิ้น
4.เขตพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพื้นที่ชี้ขาดผลการเลือกตั้งในรัฐบาลทุกยุคสมัยจะเห็นว่าพฤติกรรมของพรรคเพื่อไทยที่อยู่เบื้องหลังกลุ่ม นปช.ในการเผาบ้านเผาเมืองยังสร้างความเจ็บปวดและอยู่ในความทรงจำของคนในกทม จนไม่มีวันลงคะแนนให้กับผู้สมัครพรรคเพื่อไทย ประกอบกับ ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยเป็น ส.ส.สอบตก และผู้สมัครหน้าเก่าที่ย้ายสังกัดมาจากพรรคการเมืองอื่นไม่สามารถเทียบกับคนรุ่นใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์ได้ 5.ในพื้นที่ภาคเหนือแม้ว่าจะเป็นบ้านเกิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ตาม แต่พรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้มีคะแนนนิยมมากไปกว่าพรรคประชาธิปัตย์ เพราะจากการสำรวจพบว่าพรรคปราธิปัตย์ กับ พรรคเพื่อไทยมีคะแนนนิยมสูสี และในบางเขตพื้นที่ยังมีคะแนนนำพรรคเพื่อไทยด้วยซ้ำไป
6.ในพื้นที่ภาคกลางพรรคเพื่อไทยไม่มีคะแนนนิยมมากนัก จึงจำเป็นต้องใช้ฐานเสียงของกลุ่มนปช.และคนเสื้อแดงในเขตปริมณฑลเป็นฐานเสียงสำคัญ แต่ก็ไม่สามารถที่จะเจาะฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งจากการเลือกตั้งที่ผ่านมาได้รับเสียงสนับสนุนจากภาคกลางและภาคตะวันออกอย่างหนาแน่น จนมีจำนวน ส.ส.เป็นอันดับหนึ่งของภาคกลาง 7.ส่วนพื้นที่ภาคใต้เป็นพื้นที่ที่ไม่มีฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยเลย จึงถือเป็นการปิดประตูสำหรับความหวังของพรรคเพื่อไทยที่จะได้ ส.ส.ในพื้นที่ภาคใต้ เพราะคนภาคใต้โดยเฉพาะใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังเจ็บปวดกับเหตุการณ์การอุ้มฆ่า และดำเนินนโยบายผิดพลาด จนเป็นจุดเกิดความรุนแรงจนถึงขณะนี้ และยังจดจำวลีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่บอกว่า จะพัฒนาเฉพาะจังหวัดที่เลือกตั้งพรรคไทยรักไทยก่อน
“เพราะฉะนั้นโดยภาพรวมทั้งประเทศพรรคเพื่อไทยไม่สามารถเอาชนะพรรคประชาธิปัตย์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ภาคอีสาน พรรคประชาธิปัตย์ได้รับคะแนนนิยมสูงขึ้นมากกว่าการเลือกตั้งปี 50 ถ้าดูผลโพลของมหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อวันที่ 5 พ.ค.ที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนนิยม 20.7เปอร์เซนต์ ซึ่งถือว่าสูงกว่าการเลือกตั้งปี 50 ที่พรรคได้คะแนนนิยมในภาคพื้นที่แค่ 5 เปอร์เซ็นต์ และยังมีพลังเงียบ หรือเสียงที่ยังไม่ตัดสินใจอีก 33.3 เปอร์เซนต์ ซึ่งมั่นใจว่า สามารถที่จะดึงเสียงของคนเหล่านี้มาสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ได้มากกว่าพรรคอื่น เพราะคนที่เลือกพรรคเพื่อไทยได้ตัดสินใจไปแล้วยังคงเหลือ แต่กลุ่มที่ลังเลก็เป็นโอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์จะช่วงชิงกลับมาเป็นฐานเสียงตัวเองได้” นายเทพไท กล่าว