xs
xsm
sm
md
lg

"ประพันธ์" เชื่อ "มาร์ค"กระสันไปศาลโลก หวังอ้างคำพิพากษา สร้างภาพแอ๊บแบ๊วไม่ได้ขายชาติ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายประพันธ์ คูณมี
"ประพันธ์" เย้ย "เจิมศักดิ์" จูบปากปชป. เหตุกลัว "นช.แม้ว" กลับมาเช็กบิล เตือนตอดเล็กตอดน้อยระวังเจอสวนกลับนับดอกไม่ถ้วน ซัด"มาร์ค" แหลจนหยดสุดท้าย แก้ตัวผ่านงบฯแสนล้านน้ำขุ่นๆ ยันไม่มีนักการเมืองไหนดีพอจำเป็นต้อง โหวตโน ระบุไม่จำเป็นต้องไปศาลโลก เพราะเราไม่ใช่คู่กรณี ชี้ถ้าหากดึงดันเดินตามเขมรจะเสียโง่ซ้ำซาก แย้มอาจเป็นไปได้ "มาร์ค" อยากไปศาลโลกหวังอ้างคำพิพากษา ฟอกความผิดตัวเอง



 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายประพันธ์ คูณมี กล่าว  
วันที่ 5 พ.ค.2554 บนเวทีปราศรัยการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ นายประพันธ์ คูณมี โฆษกการชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดิน กล่าวว่า เป้าหมายในการชุมนุมของเราเอาผลประโยชน์ชาติเป็นที่ตั้ง คือ เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกเอ็มโอยู 43 ถอนตัวจากภาคีมรดกโลก และขับไล่เขมรออกจากราชอาณาจักรไทย มีคนสงสัย เรียกร้องอธิปไตยแล้วทำไมถึงพัฒนาเป็น โหวตโน ขอย้ำ ว่า รัฐบาลไม่สนใจปัญหาแผ่นดิน ไม่สนใจข้อเรียกร้องของประชาชน บริหารชาติเต็มไปด้วยการทุจริต แต่คิดยุบสภาหนีปัญหา ปัดความรับผิดชอบ นอกจากนี้ยังทิ้งทวนเงินภาษีของประชาชนนับแสนล้านเอาไปซื้อเสียงล่วงหน้า ถือว่าเลวที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ดังนั้นเมื่อจะเลือกตั้ง ทางที่ประชาชนจะทำได้ คือ โหวตโน

ทั้งนี้ การอนุมัติงบประมาณแสนล้านในวันเดียว แล้วมาบอกว่าเป็นการประชุมตามปกติ เป็นการแก้ตัวน้ำขุ่นๆปกติอย่างไรประชุมถึงตีสอง ที่ นายปนิธาร วัฒนายากร อ้างเป็นโครงการที่หน่วยงานราชการวางแผนจะเสนอปลายปี แต่รัฐบาลยุบสภาเร็วกว่ากำหนด ทำให้ต้องรวบมาเสนอในครั้งเดียว นั้น มีที่ไหนรัฐบาลพิจาณาโครงการวันเดียว 200 โครงการ และจะมาอ้างเป็นโครงการผูกพันธ์ข้ามปี ก็ฟังไม่ขึ้นจาก 200 โครงการ โครงการผูกพันธ์ข้ามปีมีไม่เกิน 10 โครงการ ส่วนที่อ้างมีอุทกภัย จึงต้องใช้งบเยียวยา ที่จริงหากจะอ้างเยียวยาน่าจะไม่เกินพันล้าน แต่ปรากฎอนุมัติงบไปหมื่นล้าน

“แปลกใจนักวิชาการกับพวกที่เคยมาห้อยโหนบนเวทีนี้บางคน ยังไม่เข้าใจ บิดเบือนว่าการชุมนุมของเรา ไม่มีเป้าหมาย โหวตโนจะนำไปสู่การรัฐประหาร ทั้งที่จริงในประวัติศาสตร์ทุกครั้ง การเกิดรัฐประหาร มีสาเหตุมาจากรัฐบาลโกง ทุจริต ขายชาติเท่านั้น รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ เป็นรัฐบาลแบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา ไม่ต่างจากยุค พล.อ.ชาติชาย”

นายประพันธ์ กล่าวถึง นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ว่า ปกติเป็นคนชอบวิจารณ์รัฐบาลทุกรัฐบาล โดยยกหลักการสารพัดมาอธิบายเป็นฉากๆ แบบเสียๆหายๆ พอถึงยุคนายอภิสิทธิ์ แม้ทำเรื่องเลวอัปยศยิ่งกว่ารัฐบาลชุดไหน นายเจิมศักดิ์ กลับหุบปากเงีบบ แสดงว่าการอภิปรายของนายเจิมศักดิ์ ที่ผ่านมา ยึดถือประโยชน์ส่วนตนและบุคคลที่ตัวเองชื่นชอบเป็นที่ตั้ง ตนจะคอยดูว่า ถ้าวันหนึ่งหากรัฐบาลอภิสิทธิ์ หมดอำนาจ จะมีทีวีช่องไหนให้นายเจิมศักดิ์ โผล่หน้าไปออกบ้าง เชื่อว่า เอเอสทีวี คงไม่เอาคุณอีกแล้ว คนที่ทรยศต่อประชาชนไม่มีอนาคตที่ดีแม้แต่คนเดียว ขอทำนายต่อไป นายเจิมศักดิ์ จะไม่มีช่องออกต้องไปออกช่องจิ้งหรีด

“การต่อสู้ครั้งนี้เราเดินมาถูกทาง สร้างประวัติศาสตร์ทางการเมือง 1.ปลุกกระแสรักชาติ ให้คนเข้าใจ ว่า ใครบ้างรักชาติ ใครขายชาติ รัฐบาลทำให้ไทยเสียดินแดนไปด้วยเหตุใด 2.ได้เผยโฉมหน้าพรรคการเมือง นักการเมือง ให้เห็นว่าไม่ต่างกัน เข้าทำนองอัปรีย์ไปจัญไรมา คนที่นี่เจ็บแล้วจำ นายอภิสิทธิ์ อย่ามาพูดเลือกตั้งให้เลือกคนที่เลวน้อยที่สุด เพราะเราเห็นแล้วว่า ไม่มีนักการเมืองพรรคไหนดีพอที่เราจะไว้วางใจได้ เราจึงต้องสั่งสอนนักการเมืองด้วย โหวตโน ไม่ประสงค์ลงคะแนนให้พรรคใด”

นายประพันธ์ กล่าวว่า หากคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทย รวมกันได้น้อยกว่าคะแนนโหวตโน พรรคที่ได้รับการเลือกตั้งต้องละอายต่อประชาชน และขาดความชอบธรรมอย่างสูง เหตุประชาชนส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้บริหารประเทศ ดังนั้น ที่ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายแก้วสรร อติโพธิ บอกโหวตโนไม่มีความหหมาย ทิ้งคะแนนเปล่าๆ เป็นคำพูดไร้เหตุผล อยู่บนจุดยืนบนผลประโยชน์ตัวเอง คนพวกนี้สุมหัวอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะกลัวพ.ต.ท.ทักษิณ จะกลับมาเช็กบิล ทำให้เขาหมดทางหากิน

"มีคนกล่าวหาว่า ตนกระสันอยากเป็นผู้แทน ส.ส. หรือ ส.ว. ขอบอกว่าตนไม่ต้องการ เป็นอะไรก็ได้ขอให้ได้ทำประโยชน์เพื่อแผ่นดิน ก็มีความสุขแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีเกียรติตำแหน่ง ของพวกนั้นมันเรื่องเล็ก การทำประโยชน์ให้บ้านเมืองต่างหากเป็นสิ่งที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี นายเจิมศักดิ์ ไม่ต้องมาตอดเล็กตอดน้อย ขอให้พูดมาเลยว่าตนทำอะไรไม่ดีต่อบ้านเมือง หากจริงตนยอมรับ หากไม่จริงระวังตนจะสวนกลับนับดอกไม่ถ้วน"

นายประพันธ์ กล่าวถึงบทความ ดร.สมปอง สุจริตกุล ว่า เป็นความคิดที่มีประโยชน์ต่อชาติอย่างยิ่ง สอดคล้องกับเวทีนี้ และแนวคิดของตนในทางนักกฎหมาย รัฐบาลกำลังทำตัวโง่ซ้ำซากเช่นเดียวกับช่วงเสียตัวปราสาท จะจ้างทนายไปขึ้นศาลโลก เพราะคดีปราสาทเขาวิหารตามคำพิพากศาถือว่าจบแล้วไม่มีการอุทธร หากเราจะไปต้องยกเอาข้อสงวนที่เราเคยแย้งไว้มาพูด ให้ศาลโลกพิจารณาใหม่ วันนี้เขมรยื่นคำร้องให้ศาลตีความครอบคลุมถึงดินแดนรอบตัวปราสาท ให้ทหารไทยออกจากบริเวณโดยรอบตัวปราสาท เป็นการฟ้องประเด็นขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่ให้พิพากษาตามคดีเดิม ทั้งนี้เมื่อเราไม่เคยยอมรับคำพิพากษาศาลโลก จึงไม่สมควรขึ้นศาลโลก และไม่ควรแต่งตั้งทนายไปสู้คดี

ทั้งนี้ สิ่งที่ควรทำเราต้องปฏิเสธ ว่า ศาลโลกไม่มีสิทธิรื้อฟื้นพิจารณาเรื่องนี้ หากศาลรับเรื่องไปพิจารณา เรามีสิทธิปฏิเสธไม่เข้าร่วมพิจารณา แล้วเอาทหารไปยึดพื้นที่รอบปราสาทเขาวิหารไว้เลย เพราะเป็นดินแดนของเรา ไม่จำเป็นต้องฟังศาลโลกเพราะเราไม่ใช่คู่กรณี หากเราไม่ยินยอมศาลโลกก็ไม่มีสิทธิ์พิจาณาเรื่องนี้อีกต่อไป หากเราใช้ทหารยึดพื้นที่โดยรอบ เขมรก็ไม่สามารถอ้างสิทธิใดๆดึงเราขึ้นศาลโลกได้ ดังนั้น ถ้าหากรัฐบาลยังเดินตามเขมร พูดได้ว่าเป็นการเสียโง่หรือสมรู้ร่วมคิด นายอภิสิทธิ์ต้องการฟอกความผิดให้ตัวเอง เพราะหากศาลโลกวินิจฉัยเป็นประโยชน์ต่อเขมร ก็จะเอาไปอ้างได้ว่า เขาไม่ได้เป็นคนทำให้เสียดินแดน ที่ต้องเสียดินแดนโดยรอบเขาวิหารเป็นเพราะเคารพคำพิพากษาศาลโลก

คำต่อคำ “ประพันธ์ คูณมี”ปราศรัย

สวัสดีครับพ่อแม่พี่น้องที่เคารพรักทุกท่าน ก็ฟังปราศรัยไป แล้วก็รับแจกของดีจากคุณสนธิไปก็แล้วกันนะครับ ส่วนพี่น้องทางบ้าน ดูอยู่ทางหน้าจอ และพี่น้องที่อยู่ต่างประเทศ อยู่ทางหน้าจอ ก็ขอได้รับการคารวะและสวัสดีจากพวกเราทุกคนที่นี่ครับ

พี่น้องครับ วันนี้เราชุมนุมมาถึงวันที่ 101 แล้ว ถ้าเป็นพี่น้องชาวอโศก ก็คงจะเป็นวันที่ 113 บวกไปอีก 12 ก็เป็นวันที่ 113 แล้ว ปรบมือให้กับความทรหดอดทนของพวกเราด้วยครับ

พี่น้องที่เคารพรักครับ การชุมนุมของพวกเราที่ได้ดำเนินการมาถึงร้อยกว่าวันนั้น ต้องนับว่าเป็นการสร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่งของการชุมนุมการเมืองภาคประชาชน ภายใต้การนำของพันธมิตรฯ และคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักร แน่นอนครับ การชุมนุมครั้งนี้เป้าหมายใหญ่ของเรา และการชุมนุมของพวกเรานั้นอยู่ที่การปกป้องดินแดน เอกราช และอธิปไตย เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิก MOU 2543 ถอนตัวจากมรดกโลก และขับไล่ทหาร-คนกัมพูชาที่ยึดครองแผ่นดินไทย นี่คือเป้าหมายหลักของพวกเราใช่มั้ยครับ

ต้องถือว่าเป็นการชุมนุมที่มีเป้าหมายเรื่องผลประโยชน์ของประเทศชาติบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง เป็นหัวใจสำคัญของการชุมนุมครั้งนี้ แต่ก็แปลกใจว่าบรรดานักวิชาการบางคน และบรรดาพวกที่เคยมาห้อยโหนเวทีของเรา กลับไม่เข้าใจ และพยายามจะบิดเบือน และใส่ร้ายการชุมนุมของพี่น้องประชาชนอย่างน่าละอายที่สุด บ้างก็หาว่าเรามาชุมนุมเพื่อจะเรียกร้องให้เกิดการรัฐประหาร ก็อย่างที่ อ.พิชาย เขาตอบไปแล้วว่า มันไม่เคยมีการชุมนุมของพี่น้องประชาชนครั้งใดที่นำไปสู่การรัฐประหาร หรือการรณรงค์เพื่อการโหวตโนจะนำไปสู่การรัฐประหาร ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศไทยเลยแม้แต่ครั้งเดียว

ตัวเชื้อไฟที่สำคัญ ที่ทำให้เกิดการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หรือโค่นล้มนักการเมืองนั้น ทุกครั้งมาจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง โกง ทุจริต ขายชาติ และสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติบ้านเมืองเท่านั้น นี่คือประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศไทย

รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็มีลักษณะไม่แตกต่างกันครับ พฤติกรรมของรัฐบาลชุดนี้ ถ้าเทียบเคียงกับสมัยรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย แล้ว เขาก็เรียกว่ารัฐบาล Buffet Cabinet คือมือใครยาวสาวได้สาวเอา แบ่งกันโกงแบ่งกันกิน หารับประทานกันเอาเอง แล้วแต่ใครรับผิดชอบกระทรวงอะไร แบ่งบันผลประโยชน์กันเหมือนกับแก๊งโจรปล้นสมบัติของชาติ ของประชาชน ไม่มีผิด นี่คือรัฐบาลชุดปัจจุบัน

เมื่อสักครู่นี้พี่สนธิก็พูดแล้วว่า ทำไมเราชุมนุมไปชุมนุมมา จากการเรียกร้องให้พี่น้องประชาชนลุกขึ้นมาร่วมกันต่อสู้ปกป้องดินแดน ปกป้องแผ่นดิน เอกราช และอธิปไตย เรียกร้องให้รัฐบาลแสดงจุดยืนและความรับผิดชอบในเรื่องนี้ จึงได้พัฒนามาเป็นเรื่องของการรณรงค์โหวตโน คือไม่ประสงค์ลงคะแนนให้ใคร ผมคิดว่าประเด็นนี้พี่น้องก็คงจะทราบดีอยู่แล้ว และพี่น้องทางบ้านก็คงทราบดีอยู่แล้ว แต่ผมก็ต้องพูดอีกครั้งหนึ่ง ตอกย้ำ เพราะว่ามีคนพยายามใส่ร้ายการชุมนุมของพวกเราว่า หาว่าพวกเราชุมนุมสะเปะสะปะ ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีทิศทาง ชุมนุมเรียกร้องดินแดน อยู่ไปอยู่มาทำไมมากลายเป็นรณรงค์ไม่ลงคะแนนเลือกใคร

นี่ก็เป็นเพราะว่ารัฐบาล และพรรคการเมืองทุกวันนี้ไม่สนใจปัญหาแผ่นดิน ไม่สนใจปัญหาเอกราชอธิปไตย ไม่สนใจข้อเรียกร้องของประชาชนเลยแม้แต่พรรคเดียว ตรงกันข้าม เมื่อไม่สนใจปัญหานี้แล้ว และตัวเองบริหารชาติบ้านเมืองล้มเหลว เต็มไปด้วยเรื่องโกง เรื่องทุจริต ก็จะรีบยุบสภาทิ้งทวน หนีปัญหา ปัดความรับผิดชอบ ก่อนหนีปัญหา ปัดความรับผิดชอบ ยังประชุม ครม.ทิ้งทวนอนุมัติโครงการนับแสนๆ ล้าน เพื่อปล้นเงินภาษีของประชาชน เอาไปซื้อเสียง หาเสียงเลือกตั้งล่วงหน้า อย่างนี้ต้องเรียกว่าเลวที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยคือรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ไม่ว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะอธิบายอย่างไรว่านี่ไม่ใช่การทิ้งทวน เป็นการพิจารณาโครงการอย่างรอบคอบ เป็นแผนงานตามปกติ พี่น้องครับ พี่น้องเชื่อ/ไม่เชื่อครับ (ไม่เชื่อ) แสดงว่าตอแหล โกหกอีกแล้วใช่มั้ยครับ เรียกว่าตอแหลโกหกแบบจนวันตาย รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ อยู่ได้เพราะความหน้าด้าน ตอแหล โกหกแท้ๆ เลยครับ จนนาทีสุดท้าย จะไปอยู่แล้ว ยังแหลและโกหกหน้าด้านแบบไร้ยางอายไม่มีผิดเลยครับ

ใครๆ ก็รู้ว่าที่คุณอนุมัติงบประมาณเป็นแสนๆ ล้าน ภายในวันเดียว ประชุมเช้ารอบหนึ่ง เย็นอีกรอบหนึ่ง ไปจนถึงตี 2 มันบอกเป็นการพิจารณาโครงการตามปกติ ปกติบ้าบออะไรครับ ประชุม ครม.ถึงตี 2 ปกติของนายอภิสิทธิ์ มันเป็นคนบ้าๆ แบบนี้ใช่มั้ย ผมถึงบอกว่ามันแย่จริงๆ บ้านเมืองของเรา เราไม่เคยเจอรัฐบาลแบบนี้มาก่อนเลยในประวัติศาสตร์ และได้เห็นรัฐบาลนายอภิสิทธิ์นี่แหล่ะ เป็นรัฐบาลชุดแรกที่ทำเรื่องอัปยศแบบนี้

อ้างว่าเป็นเรื่องการอนุมัติงบประมาณเป็นการฉุกเฉินเพื่อจะแก้ไขปัญหาอันเป็นการรีบด่วน อ้างสารพัด ดูเหตุผลของนายปณิธาน วัฒนายากร ซึ่งทำตัวมาเป็นโฆษก ความจริงแล้วโฆษกแท้จริงมันมี 2 คน นายปณิธาน และนายเจิมสาก ปิ่นทอง

นายปณิธานบอกว่า เนื่องจาก 1.รัฐบาลยุบสภาเร็วกว่ากำหนด ทำให้โครงการที่หน่วยราชการวางแผนไว้จะเสนอช่วงปลายปี ต้องรวมกันมาในช่วงนี้ อ้าว มันแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ครับ มันบอกว่าเป็นโครงการที่หน่วยราชการเสนอ วางแผนไว้จะเสนอปลายปี แต่เนื่องจากจะยุบสภาก็เลยรวบเอามาเสนอตอนนี้ทีเดียวเป็นร้อยๆ โครงการ หน้าด้านมั้ยครับ

ถ้ามันเป็นการเสนอโครงการตามปกติ มันต้องเสนอก่อนแล้ว ก่อนที่จะมีการจัดทำงบประมาณประจำปีนี้ ไม่ใช่มาเร่งรีบเสนอตอนนี้ 2. ก็คือ คุณอ้างว่าคุณจะเสนอปลายปี แต่รัฐบาลจะยุบสภาเร็ว ก็เลยรีบเอามา แต่มันบอกว่าไม่ปกติ เป็นการดำเนินงานตามปกติ ก็แสดงให้เห็นอยู่แล้วว่าคุณรวบเอาโครงการทั้งหมดมาพิจารณาโดยรวดเร็ว โดยไม่ปกติ แต่ดันทะลึ่งมาตอแหลว่าเป็นการพิจารณาตามปกติ มีรัฐบาลสติฟั่นเฟือนที่ไหนพิจารณาโครงการวันเดียวเป็น 2-3 ร้อยโครงการ นี่มันผิดปกติแล้ว นายปณิธาน ต้องไปตรวจเช็กสมองแล้ว เสียดายเป็นครูบาอาจารย์ มีการศึกษาก็ดี พออยู่กับนายอภิสิทธิ์ ก็เลยติดเชื้อแหลไปตามๆ กันหมดเลย

2. บอกว่า หลายโครงการเป็นงบผูกพันข้ามปี ไม่ควรจะมานับรวม มันก็อาจจะมีบางโครงการที่เป็นงบผูกพันข้ามปี แต่เป็นร้อยๆ โครงการ 200 โครงการ มันไม่ใช่โครงการผูกพันข้ามปี มันเป็นโครงการที่อนุมัติใหม่ ผูกพันข้ามปีไม่เกิน 10 โครงการ นี่ก็แหลอีกแล้ว เป็นเหตุที่ 2 ที่สำคัญ รัฐบาลอ้างว่ามีเหตุอุทกภัยเกิดขึ้น จึงต้องใช้เงินเยียวยา แต่ปรากฏว่าอนุมัติงบกลางไปเป็นหมื่นๆ ล้าน ทั้งๆ ที่ถ้าจะเยียวยาเรื่องปัญหาน้ำท่วม ก็ไม่เกิน 500 ล้าน หรือพันล้าน แต่นี่อนุมัติงบกลางเกือบเกลี้ยงเลยครับ

งบประมาณ งบกลาง ของแผ่นดินนี้ ถ้าจะอนุมัติใช้จ่ายเฉพาะกรณีฉุกเฉินจำเป็นเท่านั้น ไม่ใช่ ครม.จะเอาไปอนุมัติในโครงการที่ไม่ใช่เป็นการฉุกเฉินและจำเป็น การอนุมัติโครงการโดยเอางบประมาณ งบกลาง ที่สำรองไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉินนั้น มาใช้จ่าย เช่น เป็นค่าตอบแทนเงินเดือนสวัสดิการของบุคคลหรือข้าราชการนั้น มันก็คือการเอาเงินงบกลางมาซื้อเสียง หาเสียงกับข้าราชการนั่นเอง มันไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินครับ

นอกจากนี้ ยังเอาเงินงบประมาณกลางนั้นไปใช้จ่ายในงานปกติของหน่วยงาน ซึ่งมันเป็นเรื่องที่จะมีการจัดของบประมาณตามวิธีการงบประมาณปกติได้อยู่แล้ว แต่ทำไมต้องรีบเอางบกลางไปใช้จ่ายจนแทบจะหมดเกลี้ยงแล้วครับ งบประมาณกลาง นี่คือการทำงานของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

รายละเอียดของการอนุมัติโครงการเป็นแสนๆ ล้าน พี่น้องคงได้ติดตามจากข่าวหนังสือพิมพ์มาแล้ว ว่านี่คือความอัปยศของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ แต่พี่น้องเคยเห็นมั้ยครับว่า นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ที่เคยเป็นคนที่ชอบวิจารณ์ วิพากษ์วิจารณ์ทุกรัฐบาล โดยเฉพาะรัฐบาลที่ไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์นั้น จะพูดจาฉอดๆๆๆ ยกหลักเศรษฐศาสตร์ ยกหลักทฤษฎีเศรษฐกิจต่างๆ มาอธิบายมากมาย พอมาถึงยุครัฐบาลนายทักษิณ ทำเรื่องเลวแล้ว อภิสิทธิ์ทำเรื่องเลวอัปยศยิ่งกว่ารัฐบาลชุดไหน นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ก็หุบปากเลยครับ ไม่น่าเชื่อ

เพราะฉะนั้นที่ผ่านมา การวิพากษ์วิจารณ์ของคุณเจิมศักดิ์นั้น จึงกลายเป็นเรื่องอภิปรายและวิพากษ์วิจารณ์โดยยึดถือประโยชน์ส่วนตนและบุคคลที่ตัวเองชื่นชอบเป็นส่วนตัวเท่านั้น ถ้าเป็นพวกที่ตัวเองชื่นชอบ ก็หุบปาก ไม่พูด ถ้าเป็นคนอื่นก็อภิปรายวิพากษ์วิจารณ์เสียๆ หายๆ ยกหลักการสารพัดมาวิพากษ์วิจารณ์ แต่พอพวกตัวเองทำเรื่องอัปยศ ก็หุบปาก อย่างนี้แสดงว่ามีจุดยืนอย่างไรครับ

เพราะฉะนั้นที่เมื่อกี้นี้คุณสนธิบอกว่า คุณเจิมศักดิ์ไปออกรายการคลื่น 92.25 แล้วก็ออกรายการช่องสุวรรณภูมิ วิพากษ์วิจารณ์ ดูถูกดูแคลนความคิดของคุณสนธิว่าเป็นความคิดของพวกเจ๊กแป๊ะ ผมก็อยากจะทราบเหมือนกันว่า แล้วนายเจิมศักดิ์มันมีเชื้อสายจีนเป็นเจ๊กแป๊ะด้วยหรือเปล่าครับ ก็มีเชื้อสายคนจีนเหมือนกันใช่มั้ย ทำไมจึงดูถูกเชื้อสายบรรพบุรุษของตนเองเล่า

ผมก็เลยไปเอาคำจีนมา วันก่อนที่ผมพูดน่ะ ไอ้ลักษณะพูดอย่างนี้ จีนแต้จิ๋วเขาเรียกว่า เสียวกุ๊ยหลงไต้เซ้ง แปลว่า ไอ้ผีเปรต อัปรีย์ รบกวนเทวดา ถ้าภาษาจีนกลาง เขาเรียกว่าเสียวกุ่ยหล่งไต้เสิน นี่ภาษาจีนก็ด่ากลับไปว่า คุณมันเป็นได้แค่พวกเสียวกุ๊ย คือพวกผีเปรตที่คอยเห่าหอนและด่าทอคนอื่น โดยไม่มีเหตุมีผล และก็พยายามที่จะด่าทอคนอื่นที่ทำประโยชน์เพื่อชาติบ้านเมืองอย่างพี่น้องพันธมิตรฯ คุณก็เป็นได้แค่พวกเสียวกุ๊ย คือพวกผีเปรตเท่านั้นเอง

หวังจะสร้างความดีความชอบ อาจจะเป็นอย่างที่คุณอมรว่า ก็ลองดูเถอะ คุณเจิมศักดิ์ วันหนึ่งถ้ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์หมดอำนาจ เราจะคอยดูน้ำหน้าว่าจะมีช่องไหนให้คุณโผล่ไปออกหน้าจอบ้าง และเชื่อแน่ว่า ASTV ก็ไม่ต้อนรับนายเจิมสากอีกแล้ว

พี่น้องครับ ในการต่อสู้ครั้งนี้ของพี่น้องพันธมิตรฯ ได้สร้างประวัติศาสตร์ทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่ อย่างน้อยผมคิดว่า 3 เรื่องใหญ่ๆ เรื่องที่ 1 ก็คือ เราได้ปลุกกระแสรักชาติของพี่น้องประชาชน ให้เห็น ให้เข้าใจปัญหาเรื่องชาติ เรื่องแผ่นดิน และได้รู้ว่าใครบ้างรักชาติ ใครบ้างขายชาติ และได้รู้ว่าปัญหาข้อพิพาทไทย-กัมพูชานั้น รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ทำให้ประเทศชาติเสียดินแดน เสียราชอาณาจักรไทยไปด้วยเหตุใด เรื่องนี้เราได้ทำให้สังคมได้เรียนรู้ร่วมกัน และประสบความสำเร็จอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุดในการให้ข้อมูลความรู้ประชาชน

เรื่องที่ 2 ก็คือ การชุมนุมครั้งนี้ได้เผยโฉมหน้าให้เห็นแล้ว ว่าพรรคการเมือง นักการเมือง ทั้งที่เป็นฝ่ายค้าน และที่เป็นรัฐบาลอยู่ในขณะนี้ มันก็ไม่แตกต่างกัน มันก็เข้าประเภทอัปรีย์ไปจัญไรมา เลวพอๆ กัน ซึ่งเมื่อคืนนี้ผมก็ได้มาสรุปให้พี่น้องฟังไปแล้ว

ความจริงแล้วพวกเรานี้เคยเลือก เคยหลงเลือกพรรคที่เลวน้อยที่สุดมาแล้วในคราวที่แล้ว ด้วยวาทกรรมที่นายอภิสิทธิ์ หรือคนในพลพรรคประชาธิปัตย์พยายามจะบอกว่าพรรคเขาเป็นพรรคที่เลวน้อยที่สุด คราวที่แล้วพวกเราผิดหวังจากทักษิณ จากพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน เราก็หันมาสนับสนุนและให้โอกาสพรรคที่เราคิดว่ามันจะเลวน้อยที่สุดมาแล้ว เราเลือกมาแล้วในคราวที่แล้ว ใช่มั้ยครับ

พวกเราเคยให้โอกาสมาแล้ว เพราะถ้าไม่ได้พลังของพี่น้องพันธมิตรฯ อย่าง จ.ชลบุรี ไม่มีวันที่จะยกทีม ใช่มั้ยครับ คนอย่างอาหมวยที่มาชุมนุมกับพี่น้องพันธมิตรฯ ชาตินี้ก็คงไม่มีวันได้เป็น ส.ส. โนเนม และได้คะแนนเสียงจากพี่น้องพันธมิตรฯ จึงได้คะแนนชลบุรียกจังหวัด ล้มกำนันเป๊าะมาแล้ว ใช่มั้ยครับ

และที่สำคัญ ด้วยเขาจัดโซนเลือกตั้งให้ภาคตะวันออกมารวมกับโคราช เลยเป็นผลทำให้ภาคอีสาน โคราช เฉพาะโซนโคราช-ชลบุรี รวมกันแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์มาถึง 3 คนอย่างน้อย คือ นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ อ.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แล้วยังได้ พ.อ.วินัย สมพงษ์ อีก 1 คน เป็น 3 คน เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ นี่ก็ด้วยแรงพันธมิตรฯ ทั้งอีสานและตะวันออกเชื่อมโยงกัน จึงทำให้ได้ ส.ส.สัดส่วนในโซนนี้มาถึง 3 คน แล้วในภาคอีสานอีกหลายแห่งที่ไม่เคยได้ อย่างโซนอีสานเหนือ อุดรฯ หนองคาย ก็ได้ ส.ส.มา 2-3 คน เป็นอย่างน้อย ด้วยคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ แม้เขาจะไม่ได้คะแนนเขต เห็นหรือยังครับ

และหลายจังหวัด ทั้งราชบุรี กาญจนบุรี เพชรบุรี ภาคกลาง ก็ได้อิทธิพลจากคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ โดยกระแสของพี่น้องพันธมิตรฯ นั้นอุ้มชูให้พรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนเสียงมามากมาย แล้วเป็นยังไงครับ ผลของการเลือกพรรคที่เลวน้อยที่สุด ปรากฏว่า พรรคประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์ มันเลวน้อยจริงอย่างที่เราเข้าใจมั้ยครับ มันเลวน้อยจริงอย่างที่เราเข้าใจมั้ย จริง/ไม่จริง (ไม่จริง) เห็นมั้ย เราลองเลือกคุณมาแล้ว เราให้โอกาสคุณมาแล้ว แล้วทุกวันนี้เรายังต้องมานั่งด่า นั่งวิพากษ์วิจารณ์ เรียกร้องให้มันทำหน้าที่ในเรื่องที่ควรจะทำหน้าที่ นายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ ไม่เคยทำหน้าที่อะไรเลยตามข้อเรียกร้องของพี่น้องประชาชน

แถมยังยัดข้อหาให้พี่น้องประชาชนคนพันธมิตรฯ คนละ 10-20 ข้อหา เตรียมไปแก้คดี เดินสายทั่วประเทศ ข้อเรียกร้องของพี่น้องประชาชนทุกข้อเขาไม่เคยสนใจใยดีเลย มิหนำซ้ำยังเอาคนบางคนอย่างนายเจิมศักดิ์ หรือใครต่อใคร มาจิกหัวด่า สาดโคลนใส่พี่น้องประชาชน แบบเนรคุณ ไม่รู้คุณพี่น้องประชาชนอีกด้วย

เพราะฉะนั้นวันนี้คุณอภิสิทธิ์ คุณจะมาพูดอะไร ว่าคุณเป็นพรรคที่เลวน้อย เสียดายคะแนน คนที่นี่เขาเจ็บแล้วจำครับ เราเจ็บแล้วเราต้องจำ แล้วเราต้องสั่งสอนนักการเมืองพวกนี้ให้รู้สำนึก

ดังนั้น เมื่อเราเปิดยุทธการกระแสโหวตโน ก็เพราะเราเห็นว่านักการเมือง ไม่ว่าทั้งสองฝ่ายนั้น ทุกคนไม่สนใจปัญหาประเทศชาติบ้านเมืองเลย ไม่มีนักการเมืองคนไหนดีเพียงพอที่เราจะเลือกและไว้วางใจ เราจึงต้องกาช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนให้ใคร

กระแสนี้กำลังขึ้นสู่กระแสสูงครับ แล้วอีกไม่กี่วันแคมเปญที่จะรณรงค์เรื่องโหวตโน ไม่ลงคะแนนให้ใคร จะออกมา พี่น้องเห็นแล้วจะมันส์ยิ่งกว่าที่พี่น้องนั่งชุมนุมอยู่ในขณะนี้

เวลานี้มีคนเข้าร่วมขบวนการโหวตโน ไม่ประสงค์ลงคะแนนให้ใคร กลายเป็นกระแสหลักที่ปกคลุมไปทั่วประเทศ จนนักการเมืองอย่างพรรคประชาธิปัตย์ กลัวหัวหดตดหายเลยครับ ถ้าเขาไม่กลัว เขาไม่ส่งคนออกมาตอแยกับพวกเราหรอกครับ คนอย่างคุณแก้วสรร คนอย่างเจิมศักดิ์ คนพวกนี้ก็คือเครือข่ายของคนในพรรคประชาธิปัตย์นั่นเองครับ

แต่ไม่ว่าเขาจะเอาเหตุผลมาโต้แย้ง มาคัดค้าน มาถกเถียง มาหักล้างกับพวกเราอย่างไรก็ตามแต่ มันก็ยิ่งเพิ่มพูนปัญญาให้เราเชื่อมั่นว่าเหตุผลของพวกเราดีกว่า หนักแน่นกว่า เหนือกว่า และหักล้างข้อโต้แย้งของเขาได้ทุกประเด็น ยิ่งทำให้เรามีความเชื่อมั่นในแนวทางที่เราเดินอยู่ในขณะนี้ โดยปราศจากข้อสงสัยใดๆ เลยว่าเราเดินมาถูกทาง ไม่ใช่เดินไปถูกทางแบบนายอภิสิทธิ์กำลังเดิน นั่นมันกำลังเดินไปถูกทางแห่งความหายนะครับ แต่เรากำลังเดินมาถูกทางที่จะสั่งสอนนักการเมือง และปลุกกระแสรณรงค์ให้เกิดการปฏิรูปการเมืองครั้งยิ่งใหญ่ในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน

นักวิชาการก็ออกมาขานรับกันโดยทั่วไปแล้วว่า กระแสโหวตโนแม้จะไม่มีผลในทางกฎหมายเลือกตั้ง และรัฐธรรมนูญขณะนี้ว่า ถ้าพรรคใด หรือผู้สมัครคนใด เขตใด ได้คะแนนน้อยกว่าคะแนนไม่ประสงค์ลงคะแนน หรือโหวตโนแล้ว จะทำให้ผู้สมัครคนนั้นสิ้นสภาพ หรือสิ้นผลในการเป็นผู้แทน ก็ตาม แต่คนที่ได้รับเลือกตั้งก็จะขาดความชอบธรรมโดยสิ้นเชิง ยิ่งคะแนนโหวตโนมากเท่าไร คนที่ได้รับการเลือกตั้งก็ยิ่งไม่มีความชอบธรรมมากเท่านั้น

ผมเคยพูดหลายครั้งแล้วว่า ถ้าคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคเพื่อไทย รวมกับพรรคประชาธิปัตย์ รวมกันแล้วยังแพ้คะแนนโหวตโนของพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ พรรคที่ได้รับการเลือกตั้งนั้นจะต้องละอายต่อพี่น้องประชาชนและขาดความชอบธรรมอย่างสูงยิ่ง เพราะประชาชนส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้พวกคุณมาปกครองประเทศ นี่คือคำตอบครับ

เพราะฉะนั้น ไม่ว่า อาจารย์ วิทยากร คุณแก้วสรร นายเจิมศักดิ์ จะบอกว่าโหวตโนไม่มีความหมาย เป็นการทิ้งคะแนนไปเปล่าๆ เสียดายของ เป็นคำพูดของคนที่ไร้เหตุผล และพูดบนจุดยืนที่อยู่บนผลประโยชน์ของตัวเอง

คุณแก้วสรรก็กลัวประชาธิปัตย์แพ้ กลัวทักษิณมา จะเช็กบิลตัวเอง เจิมศักดิ์ก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับแก้วสรร เพราะถ้าทักษิณมา เพื่อไทยมา เจิมศักดิ์คงถูกเขาเตะ เขาเขี่ยออกนอกจอ ตัวเองก็หมดทางทำมาหารับประทาน ก็กลัว วันนี้ก็เลยไปสุมหัวอยู่เกาะพรรคประชาธิปัตย์อยู่ หวังว่าตัวเองจะได้อำนาจกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ผมทำนายไว้เลยเจิมศักดิ์ คุณต้องไปออกช่องจิ้งหรีดแล้วครับ คุณไม่มีช่องออกแล้ว

คนที่ทรยศต่อประชาชนนั้น ผมทำนายไว้เลยครับ ไม่มีอนาคตที่ดีแม้แต่คนเดียวครับ

นี่คือเหตุผลประการที่ 3 ที่ผมพูดไปแล้วเมื่อกี้ นอกจากเราต่อสู้เรื่องดินแดน ทำให้คนมีความรู้เรื่องปราสาทพระวิหาร เรื่องอธิปไตย เรื่องข้อพิพาทไทย-กัมพูชา เข้าใจเป็นอย่างดีแล้ว ประการที่ 2 เราได้จุดประกาย จุดกระแสของการรณรงค์ให้คนตื่นตัวขึ้นมาเพื่อโหวตโน และนำไปสู่การปฏิรูปการเมืองของประเทศครั้งยิ่งใหญ่

และอันที่ 3 ที่เราได้จากการต่อสู้ครั้งนี้ก็คือ ทำให้เราเห็นโฉมหน้าว่าใครเป็นนักสู้จริง ใครเป็นนักสู้ปลอม ใครเป็นพวกห้อยโหน วันนี้ทุกคนได้เผยโฉมหน้าออกมาให้เราเห็นหมดแล้ว ใครของแท้ ใครของปลอม วันนี้เราเห็นหมดแล้ว

แล้วก็ทำให้พี่น้องประชาชนเป็นขบวนการที่เป็นเหล็ก เป็นทองแท้ เป็นขบวนการที่เข้มแข็ง แข็งแกร่ง และผ่านการทดสอบครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง ทำให้เรามีประสบการณ์ มีความรู้ เรียนรู้ เข้าใจธาตุแท้ของนักการเมือง ต่อไปนี้นักการเมืองไม่ว่าใครขึ้นมาปกครองประเทศก็ตาม จะมีตีกินหลอกลวง ตบตาพี่น้องประชาชนง่ายๆ ยากครับ

สิ่งนี้ก็เป็นเครื่องเตือนใจพวกผมด้วย เตือนใจคุณสนธิ เตือนใจพวกเราทุกคน พวกเราเตือนกันอยู่ทุกวันว่า จำเอาไว้ วันหนึ่งถ้าใครละทิ้งอุดมการณ์ ทรยศต่อชาติ ต่อประชาชน ทรยศต่อสถาบันสำคัญของบ้านเมือง และไปยืนอยู่บนจุดยืนเพื่อรักษาผลประโยชน์ของนักการเมือง แล้วหันปากมาจิกมาตี มาทำลายพี่น้องประชาชน จะมีชะตากรรมอย่างที่เราเห็นอยู่ในขณะนี้ ซึ่งได้เป็นตัวอย่างให้เราเห็นแล้วครับ

แม้กระทั่งคนที่เคยเป็นแกนนำ หรือเคยมาขึ้นเวทีนี้ มีชื่อเสียง เป็นที่ยอมรับของประชาชน บิดพลิ้ว ผิดคำสัญญา ทรยศประชาชนแค่วันเดียวเท่านั้น ชื่อเสียง เกียรติยศที่ทำมาตลอด ก็จมละลายไปในธรณีเรียบร้อยแล้ว

ผมถึงบอกว่าเวทีนี้มันศักดิ์สิทธิ์ กระบวนการต่อสู้ของพี่น้องประชาชนมันศักดิ์สิทธิ์ ใครทรยศต่อประชาชน จะเห็นผลในทันตา เพราะกรรมมันติดจรวดครับ

ผมจำบทกลอน บทกวีบทหนึ่งไว้อยู่เสมอว่า ใครคนประชาชน ย่อมทรนงในนามตน ใครทรยศประชาชน ก็จะต้องถูกจารึกชื่อไว้บนหนังหมาประจานทั่วทั้งแผ่นดิน นี่บทกวีเขาเขียนไว้อย่างนั้น ใครคนประชาชน ย่อมทรนงในนามตน คนอย่างสนธิ คนอย่างพวกเรา คนอย่างผมก็ตาม ผมไม่เคยก้มหัวให้กับคนเลวเหล่านี้เลย ไม่ว่าผมจะเป็นอะไร ไม่เป็นอะไร ผมก็มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี คนพวกนี้นึกว่าผมกระสันอยากจะเป็นผู้แทน อยากจะเป็น ส.ส. อยากจะเป็น ส.ว. ผมไม่ต้องการ เป็นอะไรก็ได้ ขอให้อยู่ที่ไหนก็ตามได้ทำประโยชน์ให้ชาติ บ้านเมือง และแผ่นดิน ผมก็มีความสุขแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีเกียรติยศ มีตำแหน่ง มีสายสะพาน นั่นมันเรื่องเล็ก เรื่องนอกกาย แต่การอยู่และทำประโยชน์ให้กับประชาชนกับบ้านเมืองต่างหากที่เป็นเรื่องที่มีเกียรติและมีศักดิ์ศรี ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นผู้แทนก็ได้ ขอให้ทำประโยชน์ให้กับชาติบ้านเมือง

เพราะฉะนั้นคนเหล่านี้จึงพยายามจะมาค่อนแคะ ค่อนขอด พยายามจะมากระแซะผม แต่ผมเฉยๆ ขอให้พูดมาเลยว่าผมทำอะไรไม่ดีไม่งามต่อชาติบ้านเมืองหรือต่อพี่น้องประชาชน ถ้ามันจริง ผมยอมรับ แต่ถ้ามันไม่จริง คุณระวังตัวไว้แล้วกันว่าผมจะสวนกลับไปนับดอกไม่ถ้วน

เพราะฉะนั้นคนอย่างคุณเจิมศักดิ์ ไม่ต้องมาตอดเล็กตอดน้อยหรอก ทำเป็นลีลาพูดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ คดีนั้นคดีนี้ โธ่! ไอ้หน่อมแน้ม ลื้อยังไม่รู้จักผมซะแล้ว ผมน่ะรู้จักกำพืดคุณดี จะบอกให้ อยู่ที่ผมจะพูดหมดหรือเปล่า แต่ถ้าคุณคิดว่าผมเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ คุณอย่ามาทำลีลา ตอดเล็กตอดน้อย ผมบอกว่าไอ้อย่างนี้มันก็พันธุ์เดียวกับนายแหลที่ทำเนียบรัฐบาลน่ะ

พี่น้องครับ ผมคิดว่าเรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะพูดขยายความเพิ่มเติม ก็คือเรื่องบทความของท่าน อ.สมปอง สุจริตกุล ซึ่งวันนี้ท่านเขียนเรื่องปราสาทพระวิหาร กับศาลโลก พี่น้องได้อ่านจากทีมงานวิชาการได้พูดให้พี่น้องฟังแล้ว ผมอยากจะตอกย้ำอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้พี่น้องประชาชนไทยทั่วประเทศได้เห็นและเข้าใจว่า ความคิดและจุดยืนของ อ.สมปอง สุจริตกุล นั้น เป็นความคิดที่เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองอย่างยิ่ง และสอดคล้องกับแนวคิดของผม และแนวคิดของพวกเราบนเวทีนี้ ว่าวันนี้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์กำลังจะทำตัวที่เขาเรียกว่า จะเรียกว่าโง่ซ้ำซาก เหมือนครั้งที่เราเสียปราสาทพระวิหารไปเมื่อปี 2505 อีกครั้งหนึ่ง ก็ว่าได้ ผิดซ้ำซาก นั่นคือรัฐบาลได้มีมติที่จะไปจ้างทนายความ และเตรียมจะไปขึ้นศาลโลก ผมคิดว่านี่เป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อีกครั้งหนึ่ง

เรื่องนี้ประเทศไทยไม่ควรต้องไปขึ้นศาลโลกเลย และไม่ควรจะกระโดดเข้าไปบนเวทีนี้ นี่ก็ตรงกัน ตามบทความและข้อเขียนของ อ.สมปอง และทัศนะของผมในทางนักกฎหมาย เพราะอะไรครับ คดีปราสาทพระวิหารนั้น คำพิพากษามันจบแล้ว และมันถึงที่สุด ไม่มีการอุทธรณ์ในแง่ของคำพิพากษา แต่ว่าถ้าเราจะไป มันต้องไปในการที่ยกเอาข้อสงวนที่เราสงวนเอาไว้ ขึ้นมารื้อฟื้น อย่างนี้มีสิทธิ์เป็นประโยชน์มากกว่า ข้อสงวนที่ว่านั้นก็คือ เมื่อเราพบปัญหาข้อเท็จจริง หลักฐานใหม่ ที่เพียงพอที่จะหยิบยกขึ้นมารื้อฟื้นให้ศาลโลกทบทวนและพิจารณาใหม่นั้น นั่นควรจะเป็นสิ่งที่เราควรจะพิจารณาและหยิบยกขึ้นมา

แต่วันนี้ มันไม่ใช่เรื่องนี้และไม่ใช่ประเด็นนี้ มันกลายเป็นเรื่องที่ฝ่ายกัมพูชาเป็นคนยื่นคำร้องไปให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาที่ได้ตีความและมีผลบังคับไปแล้ว ให้ครอบคลุมไปถึงดินแดนโดยรอบตัวปราสาท และให้มีคำสั่งให้ทหารไทยออกจากบริเวณโดยรอบปราสาทพระวิหาร นั่นเท่ากับเป็นการยื่นคำร้อง คำฟ้องคดีขึ้นมาใหม่ อันเป็นการหยิบยกประเด็นคำฟ้องขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่เป็นการไปฟ้องและให้ตีความในคำพิพากษาเดิม เป็นการเสนอประเด็นคำร้องเป็นคำฟ้องขึ้นเป็นคดีใหม่

เมื่อเป็นคำฟ้องเป็นคดีขึ้นมาใหม่อย่างนี้ และประเทศไทยไม่เคยยอมรับและถอนตัวจากการรับรองปฏิญญาของศาลโลกมาแล้วนั้น เราจึงไม่สมควรที่จะไปขึ้นศาลโลกอีกต่อไป และไม่ควรจะแต่งตั้งทนายไปสู้คดีบนศาลโลกในประเด็นนี้อีกต่อไป นั่นถูกต้องแล้วครับ คือความเห็นของ อ.สมปอง
สิ่งที่ควรจะทำ ก็อย่างที่ท่านแนะนำน ก็คือ เราต้องปฏิเสธว่าศาลโลกไม่มีสิทธิ์พิจารณาเรื่องนี้ และไม่มีสิทธิ์ที่จะรื้อฟื้นคดีนี้ขึ้นมาพิจารณา นี่คือประเด็นหลัก และหากศาลโลกรับคดีนี้ไว้พิจารณา เราก็มีสิทธิ์จะปฏิเสธที่จะไม่เข้าร่วมกระบวนการพิจารณา แล้วเอากำลังเข้าไปยึดปราสาทพระวิหารและบริเวณโดยรอบปราสาทพระวิหารไว้เลย เพราะมันเป็นดินแดนของเรา กดดันและขับไล่คนกัมพูชาออกไป ไม่จำเป็นต้องไปฟังศาลโลกนี้เลย เพราะเราไม่ใช่คู่กรณีครับ

และถ้าเราไม่ยินยอม ศาลโลกก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาพิจารณาคดีนี้อีกต่อไป ถ้าเราเอากำลังเข้าไปยึดพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารไว้แล้ว กัมพูชาก็ไม่สามารถที่จะมาอ้างสิทธิ์ใดๆ ที่จะดึงเราขึ้นไปสู่เวทีศาลโลกได้เลย มันต้องใช้การเมืองและการทหารควบคู่กันไป

เพราะฉะนั้นความผิดพลาดของรัฐบาลที่จะเอาเรื่องนี้ไปขึ้นศาลโลก แล้วไปเล่นตามเกมของกัมพูชานั้น เขาเรียกว่าเป็นการเสียโง่ หรือเป็นการสมรู้ร่วมคิด และผมยังคิดว่ารัฐบาลไทย นายอภิสิทธิ์ กำลังจะใช้เรื่องนี้เป็นเกมมาฟอกความผิดให้กับตัวเอง ถ้าศาลโลกวินิจฉัยเข้ามาอันเป็นประโยชน์ให้กับกัมพูชา นายอภิสิทธิ์ก็จะเอาอันนี้มาเป็นข้ออ้างว่า ที่เราต้องยอมเสียสละดินแดนโดยรอบตัวปราสาทให้กัมพูชา ก็เพราะเคารพและเป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลโลก และจะได้อ้างว่าตัวเองไม่ได้ทำให้ประเทศไทยเสียดินแดน นี่คือความอัปยศของนักการเมืองไทยครับ

ประเด็นเรื่องนี้มันชี้ให้เห็นว่าความเลวของนักการเมือง ระหว่างถ้าเทียบทักษิณ กับอภิสิทธิ์ แล้ว ใครเลวกว่ากันครับ ผมดูแล้วมันก็เลวพอๆ กัน มันไม่ได้ต่างกันเลย ไม่มีความรับผิดชอบในเรื่องนี้เลย ถ้าไปประณามว่าทักษิณ นพดล ไปทำ Joint Communique ก็ต้องประณามนายอภิสิทธิ์ด้วย ที่ปล่อยให้กัมพูชามายึดครองแผ่นดินไทย และประณามนายอภิสิทธิ์ด้วย ที่ไปรับรองผลการประชุม JBC ไปรื้อฟื้นเขตแดนใหม่ ให้มีการปักปันเขตแดนใหม่ และประณามนายอภิสิทธิ์ด้วย ที่ยินยอมไปขึ้นศาลโลก แล้วถูกกัมพูชาลากดึงไปขึ้นศาลโลก นี่ก็คือความผิดพลาด ความอัปยศของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ไม่ต่างจากรัฐบาลทักษิณครับ

ผมถึงบอกว่า เมื่อวานนี้ผมติดค้างพี่น้องไว้ว่า ผมได้สรุปความเลวของระบอบทักษิณ กับระบอบอภิสิทธิ์เอาไว้แล้ว มันไม่ต่างกันเลย เมื่อวานผมเปรียบเทียบให้เห็นแล้วว่า อภิสิทธิ์ในแง่ของการบริหารบ้านเมือง มีความเลว ความล้มเหลว เหมือนกับระบอบอภิสิทธิ์อย่างไรบ้าง โกงทุจริตเหมือนกันอย่างไรบ้าง นั่นคือความล้มเหลวในการบริหารบ้านเมือง แต่ถ้าเปรียบเทียบระบอบอภิสิทธิ์ กับระบอบทักษิณแล้ว ก็เหมือนกันคือ 1. ทักษิณเผด็จการ รวบอำนาจไว้ที่ตัวคนเดียว แต่ระบอบอภิสิทธิ์ ก็คือรวบอำนาจไว้ในหมู่คณะที่เรียกว่าพรรคร่วมรัฐบาล เป็นคณาธิปไตย แบ่งกันโกง แต่ทักษิณอาจจะรวบอำนาจ โกงคนเดียว แต่ทั้งหมดมันก็เป็นความเลวที่ต่างรูปแบบ วิธีการ แต่เนื้อหาก็คือเลวและโกงเหมือนกัน

อันที่ 2 ในหลายๆ ด้านผมเปรียบเทียบไปแล้ว แต่ทีนี้มาพูดในลักษณะตัวบุคคลบ้าง คือทั้งหมดนี่ ลักษณะการบริหารบ้านเมือง ความเป็นเผด็จการ การโกง การแทรกแซงองค์กรอิสระ ครอบงำสื่อ ผมพูดไปแล้ว แต่มาเทียบลักษณะตัวบุคคล ทีนี้ เทียบตัวบุคคลระหว่างทักษิณ กับอภิสิทธิ์ ระหว่างคนของพรรคเพื่อไทย กับอภิสิทธิ์ ใครมาเป็นนายกฯ ในปีกพรรคเพื่อไทย ก็ต้องอยู่ภายใต้การครอบงำของทักษิณ มันก็เท่ากับเป็นนายกฯ หุ่นเชิดของทักษิณ ใช่ไหมครับ

เพราะฉะนั้น เมื่อเราเปรียบเทียบ เราจึงต้องเปรียบเทียบระบอบทักษิณ ตัวนายทักษิณ กับระบอบอภิสิทธิ์ กับตัวนายอภิสิทธิ์ นายอภิสิทธิ์เมื่อเปรียบเทียบกับทักษิณแล้ว ทักษิณนี่จะเป็นคนอีโก้ โอหัง อวดดี อวดเก่ง ไม่ฟังใคร ทักษิณไม่ฟังใครเหมือนกัน แรกๆ อาจจะฟัง ตอนหลังนี่ทักษิณไม่ฟังใครเลย ใครไม่เชื่อทักษิณเชือดหมด ต้องฟังทักษิณคนเดียว ทุกวันนี้ก็ยังเหมือนเดิม

ส่วนนายอภิสิทธิ์ล่ะ มีนิสัยยังไง คำว่าอีโก้ หรือภาษาไทยคือ หยิ่งยะโส โอหัง ทนงตน เป็นพวกน้ำล้นแก้ว ไม่ฟังใคร จำได้มั้ยครับ หลายคนขึ้นมาพูดบนเวทีนี้ อ.สมปอง ก็เคยได้รับการเชิญให้ไปพบพูดคุย แม้กระทั่งคุณสนธิก็เคยได้รับเชิญให้ไปพบ และพูดคุยกับนายอภิสิทธิ์ นักคอลัมนิสต์ นักเขียน นักวิชาการหลายคน เคยไปพบไปพูดคุยกับนายอภิสิทธิ์มาหมดแล้ว นายอภิสิทธิ์เชิญเขาไปพูด ไปคุยด้วย แต่นายอภิสิทธิ์พูดอยู่คนเดียว และไม่เคยฟังใคร ฟังแล้วก็ไม่เคยเอาความคิดของคนเหล่านั้นไปทำแม้แต่เรื่องเดียว

นายอภิสิทธิ์มีความเชื่อว่าตัวเองเป็นคนเก่ง คนมีความรู้ รู้ดี รู้เก่งกว่าคนอื่น ในที่สุดการบริหารบ้านเมืองก็มีนายอภิสิทธิ์อยู่คนเดียว สต๊าฟทีมงานไม่มีเลย มีเหลืออยู่คนเดียวที่มันฟัง ก็คือนายศิริโชค โสภา

เพราะฉะนั้นพี่น้องดูเปรียบเทียบกันแล้ว ก็จะเห็นว่าทักษิณ กับอภิสิทธิ์ มีนิสัยคล้ายกัน เป็นแต่เพียงว่า ทักษิณอาจจะมีลักษณะก้าวร้าว แต่นายอภิสิทธิ์อาจจะมีลักษณะทำตัวถ่อมตัว ทำตัวเป็นคนเรียบร้อย แต่พวกนี้น้ำนิ่งไหลลึกครับ เป็นพวกงูดินกินลึก เป็นพวกคนข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง ข้างนอกดูดี ข้างในอัปลักษณ์ครับ คนแบบนี้

ซึ่งคนแบบนี้ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง ข้างนอกดูดีแต่ข้างในอัปลักษณ์ จะเป็นพวกที่น่ากลัวกว่าพวกที่ดูแล้ว เออ ไอ้นี่มันโกงแน่ แต่ไอ้คนที่เราดูเหมือนเป็นคนดี เราจะน่ากลัวกว่า มันจึงมีคำว่ามันเลวจนกูงง ไงครับ โกงจนกูมึน ทึ่มจนกูเอียน เถียงจนกูอาย คือเราจะนึกไม่ถึงว่าจะเลว จะโกง จะทึ่ม จะเถียง คอเป็นเอ็น ลูกอีช่างพูดและลูกอีช่างเถียง นี่เป็นอย่างนี้เลย

อันที่ 2 เมื่อมีลักษณะยะโสโอหังแล้ว มันก็จะตามมาในลักษณะไม่ฟังใคร ไม่ฟังเสียงประชาชน ไม่ฟังผู้รู้ แม้กระทั่งเรื่องดินแดน เรื่องเอกราช อธิปไตย ดร.สมปอง เป็นผู้มีความรู้ ดร.ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม ศ.อดุลย์ วิเชียรเจริญ ศ.อมร จันทรสมบูรณ์ คนที่มีความรู้เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ไม่ฟังใครเลย ฟังพวกตอแหลอย่างนายกษิต อย่างนี้น่ะฟัง เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศที่ไม่ได้เรื่อง หรือแม้กระทั่งคณะกรรมการ JBC ประธาน JBC คนใหม่ ก็อยู่ในพันธุ์เดียวกันนี้

อันที่ 3 ก็คือ นายอภิสิทธิ์ไม่มีทีมงาน แล้วก็เหมือนกัน ทักษิณตอนแรกก็มีทีมงาน พอทำงานๆ ไป เหลือทักษิณอยู่คนเดียว นี่ก็พอกัน เลวพอกัน คือไม่เห็นหัวคนอื่น

อันที่ 4 ลักษณะเฉพาะตัว เราเห็นใช่มั้ยครับว่านายทักษิณเป็นคนอำมหิต อำมหิตอย่างไรครับ ก็กรณีกรือเซะ กรณีตากใบ กรณีอุ้มฆ่าทนายสมชาย เกิดขึ้นในยุคสมัยใคร แล้วกรณี 2-3 พันศพ ฆ่ายาเสพติด ที่ชาวบ้านบริสุทธิ์โดนยิง ล้มตายเป็นใบไม้ร่วง ก็เกิดขึ้นในยุคนายทักษิณ ถูกต้องมั้ยครับ อำมหิตกับพี่น้องประชาชนมั้ย แต่นายอภิสิทธิ์นี่ ท่านลองนึกดูซิว่าอำมหิตมั้ย

อันที่ 1 เข้ามาในตำแหน่งไม่นาน สนธิโดนไป 2-3 ร้อยนัดแล้วครับ นั่นยุคทักษิณ สมชายโดนอุ้ม ยุคอภิสิทธิ์ สนธิโดนยิงไป 2-3 ร้อยนัด แล้วก็ยืนยันจากสนธิ ลิ้มทองกุล แล้วว่าคนที่ยิงสนธิมันก็อยู่ในรัฐบาลชุดนี้ล่ะครับ

มารับปากว่าจะติดตามจับกุมมาดำเนินคดี รู้ข้อมูล รู้ผลการสอบสวนแล้ว ไม่ทำอะไรเลยครับ แถมเอาหัวหน้าพนักงานสอบสวนไปไว้ใกล้ตัว ไว้คอยควบคุมตัวไม่ให้แสดงบทบาทอะไร พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ก็ถูกดึงไปไว้ใกล้ตัว และก็คอยควบคุม พล.ต.อ.ธานี จะเสนอความเห็นอะไรที่เป็นประโยชน์ หรือในทางที่จะดำเนินการ ปรากฏว่านายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และพวกในวงนั้น ตีกัน เตะสกัดหมดครับ

ความอำมหิตอันที่ 2 พี่น้องเห็นมั้ยครับ เหตุการณ์การชุมนุมเสื้อแดง ประชาชนเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า นายอภิสิทธิ์นั่งดูเฉยเลยครับ เขาจะปิดด่าน เขาจะตรวจค้น เขาจะสร้างการชุมนุม สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน กระทั่งเขาบุกโรงพยาบาลจุฬาฯ สมเด็จพระสังฆราชต้องอพยพ คนไข้คนป่วย รวมทั้งสมเด็จพระสังฆราช ไปรักษาที่อื่น

พี่น้องชาวสีลมถูกยิงด้วย M79 ทุกวัน เหตุระเบิดยิงเข้าใส่ทางรถไฟใต้ดิน ทางรถไฟลอยฟ้า ประชาชนบาดเจ็บล้มตาย นายอภิสิทธิ์พูดได้คำเดียว "เสียใจ" แล้วก็มุดหัวอยู่ใน ราบ 11 จุ๊กจิ๊กๆ กับนายศิริโชค 2 คน

เหตุการณ์ลุกลามบานปลายจนกระทั่งตายไป 91 ศพ บาดเจ็บนับพัน ทั้งตำรวจ ทหาร รวมทั้ง พ.อ.ร่มเกล้า เฉยครับ ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลย กระทั่งงานศพทหารหลายคน ก็ไม่เคยโผล่หัวไปเลยครับ

บานปลายมาจนกระทั่งเหตุการณ์ความไม่สงบตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ทุกวันนี้ การเห็นประชาชนหลบหนีภัยสงคราม เป็นมหกรรมและเป็นความสุขของนายอภิสิทธิ์ไปแล้วครับ ไปอย่างเดียวคือ ไปทำท่าถ่ายภาพว่าทำอาหาร แล้วหลังจากนั้นมันก็มุดหัว ไม่โผล่หน้าไปเยี่ยมเยียนดูพี่น้องประชาชนอีกเลย

ส่วนกรณีนายวีระ น.ส.ราตรี มันปล่อยให้เผชิญชะตากรรมแต่โดยลำพัง ไม่เคยแสดงความรู้ความสามารถที่จะปกป้องคนของชาติตัวเองเลย จนกระทั่งทุกวันนี้ มันทำเป็นลืมไปเลยว่าสองคนนั้นติดคุกเพราะคำพยากรณ์อากาศที่แกออกมาแถลง ว่า 2 คนเลยเส้นปฏิบัติการไปนั่นล่ะครับ

นอกจากนี้ เหตุการณ์ภายใต้ ตายทุกวัน เฉลี่ยวันละ 2 ศพต่อวัน นายอภิสิทธิ์ทำอะไรไม่ได้ แล้วยังมาอวดดี อวดเก่ง เสนอหน้าจะกลับมาเป็นนายกฯ อีก บริหารบ้านเมืองล้มเหลวทุกด้าน ยังหน้าด้านอยากจะมาเป็นนายกฯ อีก ด้าน/ไม่ด้าน พี่น้อง

คุณไม่เคยทำอะไรสำเร็จสักเรื่องเลย ผมถึงบอกว่า นอกจากไม่สำเร็จแล้ว ความอำมหิตนี้ก็พอกัน แล้วเห็นพี่น้องประชาชนพันธมิตรฯ ที่สู้เป็นสู้ตายมา บาดเจ็บล้มตายในเหตุการณ์ 7 ตุลาฯ นั้น เขาไม่สนใจใยดีที่จะดำเนินคดีกับตำรวจและเจ้าหน้าที่ที่กระทำความผิดกับพี่น้องประชาชนเลย แถมปกป้องอีกต่างหาก

นี่คือความอำมหิต ส่วนความไม่เป็นประชาธิปไตยประการต่อมานั้น ทักษิณไม่เป็นประชาธิปไตย แทรกแซงสื่อ ครอบงำองค์กรอิสระ ซื้อตัว ส.ส.- ส.ว.มาเป็นขี้ข้ารับใช้ รับเงินเดือน ทุกคนนี่เป็นลูกจ้างของบริษัทชินวัตร ว่าง่ายๆ ส.ส.- ส.ว. ความเป็นประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพ สื่อไม่มีเลย รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ก็ไม่มีความเป็นประชาธิปไตยเหมือนกัน สื่อนี่ เขาพูดอยู่คนเดียว ฝ่ายค้าน รวมทั้งพวกเรา ไม่มีสิทธิ์ใช้ นอกจากนั้นความไม่เป็นประชาธิปไตยของเขาก็คือ เขาเป็นรัฐบาลแรก ที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ยาวที่สุด ร่วมปีครับ

เรามาชุมนุม ก็ออกประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง ทั้งๆ ที่ไม่มีเหตุ แล้วก็หาเรื่องกลั่นแกล้ง ตั้งข้อหาพวกเราว่ากระทำผิด พ.ร.บ.ความมั่นคง นี่คือความใจแคบและความไม่เป็นประชาธิปไตยของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

นอกจากนี้ ตั้งแต่มีประเทศไทย ยังไม่เคยมีรัฐบาลไหนออก พ.ร.บ.การชุมนุมในที่สาธารณะ รัฐบาลนายอภิสิทธิ์เป็นคนผ่านกฎหมาย พ.ร.บ.การชุมนุมในที่สาธารณะ และเสนอเข้าสู่สภาฯ เพื่อจะผ่านวาระ 2-3 แล้วครับ เป็นรัฐบาลแรกที่ออกกฎหมายมาคุมการชุมนุม ให้ตำรวจมีอำนาจ ต่อไปการชุมนุมทางการเมืองต้องไปตกอยู่ในอำนาจการขออนุญาตของตำรวจ แล้วเมื่อพี่น้องจะได้ชุมนุม นี่คือผลงานของนายอภิสิทธิ์

ผมถึงบอกว่านายอภิสิทธิ์นั้น มันตีหน้าหล่อ ทำตัวเป็นนักเรียนอังกฤษ มาจากประเทศแม่ประชาธิปไตย แต่ตัวนายอภิสิทธิ์นี้ ไม่มีความเป็นนักประชาธิปไตย เป็นคนจิตใจคับแคบ และไม่เคารพเสรีภาพประชาชนเลยครับ ไม่ฟังเสียงประชาชน ไม่เคารพประชามติ เอาแต่ได้

ส่วนอันที่ 6 ผมพูดไปแล้ว เรื่องการไม่เคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ พี่น้องดูนะครับ ทักษิณนี่เราไม่ต้องสงสัย ไปอ่านหนังสือขบวนการล้มเจ้า คำพูดของทักษิณแต่ละครั้ง ไม่ว่าวิดีโอลิงก์มา ระหว่างอยู่ในตำแหน่ง รวบรวมไว้เรียบร้อยหมดแล้ว สนับสนุนขนวนการพวกแดงล้มเจ้าอย่างไรนั้น ไม่ต้องสงสัย ทุกวันนี้พวกนี้ไปหลบภัยอยู่ที่เขมร ภายใต้ร่มเงาของฮุน เซน ก็โดยประสานงานช่วยเหลือของทักษิณ อันนี้เราไม่ต้องพูดถึง ชัดเจน แต่คนอาจจะมองไม่เห็นว่า เอ๊ะ อภิสิทธิ์เป็นลูกผู้ดี มีสกุล มีการศึกษาสูง เราจะไปกล่าวหาว่าเขาไม่เคารพสถาบัน มันดูจะเป็นการใส่ร้ายไปหรือเปล่า ผมขอเรียนอย่างนี้ครับว่า พฤติกรรมที่ว่าไม่เคารพสถาบัน ไม่ปกป้องสถาบันนั้น มันทำได้ 2 ทางครับ ทางที่ 1 คือ คนที่ไม่เคารพ มันก็จะแสดงการละเมิด จาบจ้วง หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ สนับสนุนขบวนการที่ล้มล้างสถาบัน นี่ด้านหนึ่ง

อีกด้านหนึ่งของคนที่ไม่เคารพ ไม่ปกป้องก็คือ มีอำนาจ แทนที่จะจัดการกับคนเหล่านั้น มันก็นิ่งเฉย ปล่อยให้สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องเผชิญหน้ากับขบวนการนี้โดยลำพัง ทั้งๆ ที่มันเป็นหน้าที่ของรัฐบาล นายกฯ ทุกคนต้องสนองงาน และมีหน้าที่ที่จะปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

การเพิกเฉย ไม่ทำหน้าที่ ก็คือไม่เคารพและไม่ปกป้องเช่นเดียวกัน ใช่มั้ยครับ นอกจากนั้น การไม่ส่งเสริม การไม่เผยแพร่พระเกียรติคุณ การไม่เผยแพร่พระราชกรณียกิจ โครงการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทำ อันเป็นประโยชน์กับชาติบ้านเมืองมากมาย จนกระทั่งทูลกระหม่อมฟ้าหญิงองค์เล็กต้องมาประทานสัมภาษณ์กับรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลเพิกเฉย ไม่เอาใจใส่ ใช่มั้ยครับ ถึงขนาดเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินต้องออกมาพระราชทานสัมภาษณ์เช่นนั้น

มาถึงวันนี้แล้วก็ยังไม่สำนึกและยังไม่ทำอะไร มันออกแต่สปอตโฆษณาหาเสียงให้ตัวมันเองทุกวัน ป้ายโฆษณาเต็มบ้านเต็มเมือง ขึ้นแต่รูปภาพนายอภิสิทธิ์ กับรัฐมนตรีของกระทรวงประชาธิปัตย์ ใช้เงินภาษีของประชาชนทั้งนั้น

โทรทัศน์ที่จะเผยแพร่พระราชกรณียกิจ เผยแพร่พระเกียรติคุณ น้อยมากครับทุกวันนี้ และที่สำคัญ ผมพูดไปแล้วว่าในทางใต้ดินก็ปล่อยคนซุบซิบๆๆ บอกว่าตัวเองเป็นที่รัก เป็นที่โปรดปรานเหลือเกิน

เพราะฉะนั้นพฤติกรรมแบบนี้มันก็เข้าข่ายเป็นลักษณะของคนที่ไม่เคารพเหมือนกัน แต่มันแสดงออกคนละด้านเท่านั้นเอง และเมื่อวานที่ผมก็พูดไปแล้ว กรณีที่จะยุบสภานั้น ก็กระตือรือร้น กระเหี้ยนกระหือรือ จะกระทำแบบข้ามหน้าข้ามตา ไม่ดูตาม้าตาเรือเลย ไม่คอยฟังเลยว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยว่าอย่างไร จะเร่งรีบเสนอไปทั้งๆ ที่พระองค์ท่านยังประชวรอยู่ ถ้าไม่มีคนทัดทาน คัดค้าน ป่านนี้มันคงเสนอ พ.ร.ฎ.ยุบสภา ไปแล้ว อาจจะฟังผมด่าไปด้วย ก็เลยถูกเบรค แต่ที่ถูกเบรคนี่มันกำลังจะหาทางพลิกมาอีกด้านหนึ่ง คือตีกิน เอ้อ ดีเหมือนกัน พรรคร่วมรัฐบาลก็บอกว่าดีเลย์ โยกย้าย เลื่อนเวลาการยุบสภาไปให้ยาวขึ้น เพื่อจะได้ประชุม ครม.อีกครั้งหนึ่ง ทิ้งทวนอีกรอบหนึ่ง เห็นมั้ยครับ ไม่ว่าจะออกหน้าไหน ก็หน้าด้าน ตีกิน เอาประโยชน์ทั้งนั้น คนแบบนี้ เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้

สุดท้ายก็คือ สิ่งที่เหมือนกันระหว่างทักษิณ กับอภิสิทธิ์ พี่น้องดูไม่ยากครับ นายอภิสิทธิ์นี่ เมื่อก่อนเราเห็นทักษิณใช่มั้ย สร้างภาพ ไปอาจสามารถโมเดล แก้จน คนจนมาขึ้นทะเบียน อย่างโน้นอย่างนี้ ไปตรวจสนามบินสุวรรณภูมิ ไปนอนที่สนามบินสุวรรณภูมิ กางเต็นท์ บอกต้องมาเร่งงาน ต้องมานอนเฝ้าเลยเพื่อให้งานเสร็จ ไปเยี่ยมทหาร จะไปนอนกับทหาร ทำเป็นใส่ผ้าขาวม้า แต่งหน้าหวีผม ให้ทีวีถ่ายทอด ไอ้เรื่องการสร้างภาพนี่ทักษิณอันดับ 1 วันนี้นายอภิสิทธิ์ก็ลอกเลียนแบบเขา สร้างภาพเหมือนกัน ใช่มั้ยครับ

ทักษิณเขียนหนังสือ "ตาดูดาว เท้าติดดิน" ไอ้หมอนี่ก็เอาบ้าง ให้เจิมศักดิ์เขียน "ร้อยฝันวันฟ้าใหม่" ความจริงเป็นร้อยบรรลัยวันฟ้าเก่า ไปแล้วครับ เลียนแบบเขาเปี๊ยบเลย

พอทักษิณเสนอนโยบายประชานิยม กูก็เสนอนโยบายประชานิยม แจกไม่อั้นเหมือนกัน แจกมากกว่าเขาอีกครับ กลัวแพ้เขา ขนาดนั้นก็ยังแพ้ เลือกตั้งก็ยังแพ้ มาถึงวันนี้ เห็นมั้ย ไปเยี่ยมราษฎร ไปเยี่ยมทหาร ไปตรวจน้ำท่วม สร้างภาพจนลืม โอ้โห ใส่เสื้อเกราะ เสื้อชูชีพ ไปตรวจน้ำท่วม น้ำแค่หัวเข่าทะลึ่งใส่เสื้อชูชีพ

เวลามีงานที่ไหนที่เขาจะไปเปิดงาน โอ้โห เอาหมด ลงทุนขนาดเอาถุงยางมาสวมหัว ดูมันสร้างภาพมั้ย ไม่ต่างกันเลย แล้วเวลาจัดงาน กิจกรรมใดๆ ต้องมีไอ้เตี้ยคนหนึ่งที่เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักฯ คอยจัดฉาก คอยจ้างบริษัทออร์แกไนเซอร์มาจัดงานให้ สร้างภาพว่า พอหลังจากชุมนุมเสื้อแดง เชิญชวนพี่น้องทั่วประเทศมา เราจะปรองดองสมานฉันท์ อ่านจดหมายถึงประชาชนทั่วประเทศ ถ่ายทอดสด แล้วก็มาถ่ายรูปอยู่บันไดทำเนียบฯ เรียงกันมาเป็นแถว คล้ายๆ กับตระกูลวงษ์คำเหลา ไม่มีผิดเลย

พอผ่านไปสักพัก พอกระแสปรองดองสมานฉันท์ผ่านไป มันเงียบเลยครับ ป่านนี้มันลืมแล้วคำว่าปรองดองสมานฉันท์ ปล่อยให้ลุงหนั่นของผมเต้นไปคนเดียวแล้ว เห็นมั้ยครับ ไอ้เรื่องสร้างภาพน่ะไม่ต้องห่วง ไอ้หมอนี่เก่งพอๆ กัน อาจจะเก่งกว่าทักษิณอีก เรื่องสร้างภาพ ทำตัวนึกว่าเป็นคนเก่ง แต่ท้ายที่สุด "ดีแต่พูด" เขาเรียกว่าท่าดีทีเหลวใช่มั้ยครับ คนแบบนี้

เพราะฉะนั้นเรื่องสร้างภาพนี่ไม่ต้องห่วงครับ พ่อเจ้าประคุณมีโพเดียมอยู่ที่ไหน กูวิ่งเข้าใส่เลยครับ

ทั้งหมดนี้ เห็นมั้ยครับ ที่ผมบอกว่ามันเลวน้อย เลวมาก มันก็ครือกัน ผมดูแล้วมันพอๆ กัน ใช่มั้ยครับ

แล้วประการต่อมา ผมเทียบให้เลย นายอภิสิทธิ์ กับทักษิณ มันเหมือนกันไม่มีผิด คืออะไรครับ ทักษิณมันชอบพูด ชอบพูดจ้อยๆๆ มีไมค์ที่ไหน มันพูด มันไปประชุมแท็กซี่ที่สนามกีฬาหัวหมาก มันก็พูด ไปที่เมืองชล มันพูดกลางสายฝนจ้อๆๆ จนผมตกหัวล้านไปแล้วทักษิณก็พูด เห็นมั้ยเส้นผม หัวล้านเถิกเลย แล้วไปออกทีวี ไปออกรายการไหน ในการประชุมทักษิณมันต้องพูดคนเดียว ชอบพูด พูดเป็นต่อยหอย พูดไปพูดมา ภัยมันเกิดจากปากมัน ไอ้ที่บอกกระซิบข้างหูเอย ไม่จงรักภักดีแล้วผีที่ไหนจะจงรักภักดี พูดไปพูดมากลายเป็นโอษฐภัยกับตัวเอง ด่าผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ไปนู่นเลย อวดดี อวดเก่ง พูดมาก ก็เลยเป็นปลาหมอตายเพราะปาก

ทีนี้ นายอภิสิทธิ์ เหมือนกัน ชอบพูด พอมีเวทีไหนประชุมเขาให้พูด กูไปหมด นู่น ไปถึงดาวอส นั่งเครื่องบินอดตาหลับขับตานอน ได้พูด 5 นาที 10 นาที มันก็เอา ขอให้มีเวทีให้กูได้พูด พูดอย่างเดียว แต่มันไม่ทำ จนวันนี้ผมต้องตั้งฉายาให้ว่า "อภิสิทธิ์ลูกอีช่างพูด" พูดไปพูดมา เจอป้ายขึ้นมาบอก "ดีแต่พูด" คนเลยจับไต๋ได้ว่าไอ้หมอนี่มันเก่งแต่พูด พูดเป็นต่อยหอย พูดแล้วหาสาระไม่ได้ พูดแล้วไม่เคยทำ คำพูดกับการกระทำเป็นคนละอย่างกัน

เพราะฉะนั้นทั้งสองคนนี้ มันก็เหมือนกัน คุณจะเอาพูดแบบทักษิณ หรือเอาแบบพูดแหลๆ แบบอภิสิทธิ์เท่านั้นเองครับ

ที่ผมสาธยายมานี่ก็ชี้ให้พี่น้องเห็นแล้วว่า เมื่อเปรียบเทียบระหว่างอภิสิทธิ์กับทักษิณ แล้ว สรุปแล้วคือทั้งสองคน ทั้งสองฝ่ายนี้ เป็นนายกรัฐมนตรีที่ล้มเหลว และสร้างระบอบการเมืองที่โกง ปกป้องระบอบการเลือกตั้ง ระบอบการเมืองที่โกงที่ทุจริต ปกป้องอาชีพนักการเมือง นักเลือกตั้ง ที่โกง ที่ทุจริต และซื้อเสียงขายชาติทั้งสองฝ่าย ไม่มีผิดเลย

เมื่อเป็นดังนี้แล้ว พี่น้องก็ตัดสินใจได้ง่ายเลยคราวนี้ เลือกตั้งคราวนี้มันชัดเจนว่าอัปรีย์ไปจัญไรมา ใช่มั้ยครับ ถ้านายอภิสิทธิ์มาบอกว่าเขานี่เลวน้อยกว่าทักษิณ เขาเลวน้อยกว่าคนอื่น เอาเทปเอาซีดีที่นายประพันธ์พูดไปเปิดให้พี่น้องฟังหน่อยว่า ตกลงแล้วกูนึกว่ามันเลวน้อย ความจริงมันจะเลวมาก เลวจนกูงง นึกไม่ถึงว่ามึงจะเลวได้ขนาดนี้

เพราะฉะนั้น พี่น้องครับ ที่คุณเจิมศักดิ์พยายามจะพูดและกรอกใส่หูพี่น้องประชาชน รายการตอบโจทย์เห็นมั้ยครับ เขาถามว่า คุณวิพากษ์วิจารณ์ทักษิณขนาดนี้ รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ไม่ต่างกัน ทำไมคุณไม่วิพากษ์วิจารณ์ เขาบอกว่า ผมวิพากษ์วิจารณ์ทักษิณ ผมก็ต้องมีทางเลือก ถ้าผมไม่เลือกอภิสิทธิ์ ผมก็ไม่มีทางเลือก ผมก็ไม่มีตัวเลือก ผมก็ไม่มีทางไป บ้านเมืองมันก็เดินไปไม่ได้สิ อ๋อ สรุปแล้วมึงไม่เลือกทักษิณเพราะมันโกง แต่มึงเลือกอภิสิทธิ์ได้ ถึงแม้มันจะโกง ใช่มั้ยครับ

นี่คือเหตุผลของเขา เหตุผลระดับด็อกเตอร์ ตอบง่ายๆ โง่ๆ อย่างนี้ ผมฟังดูแล้วจึงเป็นเหตุผลของคนที่เข้าข้างตัวเอง ถ้าพวกตัวเองทำชั่วทำเลว โกง ล้มเหลว ไม่เป็นไร ถ้าคนอื่นโกง ล้มเหลว ทำชั่ว ด่าฉิบหายเลย คนแบบนี้คบได้มั้ยครับ

ไม่ได้ยืนอยู่บนหลักการเลย และพี่น้องที่เคยสนับสนุนประชาธิปัตย์ มาถามผมว่า คุณประพันธ์เมื่อก่อนอยู่ประชาธิปัตย์ทำไมไม่พูดอย่างนี้ ผมน่ะ พร้อมที่จะพูดเสมอ แต่ตอนนั้นเขายังไม่ได้เป็นนายกฯ ตอนที่ผมอยู่น่ะ ตอนผมออกมาแล้วเขาถึงได้เป็นนายกฯ เมื่อเขาออกมาแล้วผมก็พูดได้เต็มปากเต็มคำ ใช่มั้ยครับ

เพราะฉะนั้น โครงการมากมายครับ เรื่องราวมากมาย ที่นายคนนี้รับปากรับคำกับพี่น้องประชาชน พูดแล้วไม่เคยทำเลย แม้กระทั่งไปที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ไปรับปาก ไปแหลเลย บอกว่าเห็นเกาหลี ประเทศเกาหลีเขาเจริญรุ่งเรือง ก็บอกว่า เกาหลีเขามีงบประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ ของจีดีพี ตั้งเป็นงบประมาณให้นักวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี นายอภิสิทธิ์ไปพูดที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ บอกจะตั้งงบประมาณปีละอย่างน้อย 1 เปอร์เซ็นต์ ของจีดีพี ก็เป็นปีละแสนล้าน เพื่อจะให้นักวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีมาค้นคิดพัฒนาประเทศชาติ ปรากฏว่าจนกระทั่งบัดนี้ ผมออกมาแล้ว งบกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ยังไม่ถึง 0.2 เปอร์เซ็นต์ เลยครับ หลายเรื่องที่ไปรับปากเขา ไม่ทำทั้งนั้น

ถ้าผมอยู่ ผมก็พูด และตลอดเวลาที่ผมอยู่ ผมก็เสนอความเห็นว่า นายอภิสิทธิ์ควรจะปรับปรุงตัวเองอะไรบ้าง ถ้าจะเป็นนายกฯ แต่เท่าที่ผมเห็น เป็นไม่ได้ ผมก็บอกว่าเป็นไม่ได้ เป็นแล้วมันก็เป็นอย่างนี้ล่ะ เพราะฉะนั้นพี่น้องเคยเลือกเขามาแล้ว เคยให้โอกาสเขาเป็นนายกฯ มาแล้ว และเขาเป็นมา 2 ปี และวันนี้เขาก็เป็นนายกฯ อยู่ ก็ยังทำงานไม่เป็น คิดไม่เป็น ทำอะไรก็ไม่เป็น และไม่มีความรับผิดชอบอะไรเลย จะเอามาทำพระแสงด้ามยาวอะไรอีกใช่มั้ยครับ

วันนี้การตัดสินใจของพี่น้องประชาชนที่จะโหวตโน ไม่ลงคะแนนให้ใคร จึงเป็นเหตุผลที่ถูกต้องที่สุดแล้ว พี่น้องครับ แล้วเราจะเดินหน้าต่อไป พี่น้องคอยดู แม้จะมียุบสภา เราก็ยังจะมีของอะไรดีๆ มาให้ดู และเราจะต้องให้ประชาชนเห็นว่านักการเมืองที่เข้าสนามการเลือกตั้งนั้น ไม่สมควรจะได้รับการไว้วางใจให้มาปกครองประเทศแม้แต่พรรคเดียว เราให้ความเป็นธรรมกับทุกพรรค พี่น้องพันธมิตรฯ ให้ความเป็นธรรมกับทุกพรรค คือไม่เลือกใครเลยครับ ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น