xs
xsm
sm
md
lg

หยุดลากไทยลงเหวพระวิหาร-หยุด “มาร์ค”สู้คดีในศาลโลก !!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

แค่การปะทะกันระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาตามแนวชายแดนที่เกิดขึ้นมาเป็นระยะ หากนับกันเฉพาะในปีนี้ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ และครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 เมษายนมาจนถึงวันนี้ และหากให้รวมถึงความเคลื่อนไหวในเกมการเมืองระหว่างประเทศ ระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล และระหว่างผู้นำต่อผู้นำ ผลปรากฏออกมาให้เห็นชัดแจ้งแล้วว่าฝ่ายไทย “เสียเปรียบ”มาโดยตลอด เพราะถ้าบอกว่าไทยพ่ายแพ้มันก็เป็นการเหยียดหยามบ้านเมืองของตัวเองมากเกินไป เพราะแม้กระทั่งการปะทะกันฝ่ายไทยก็ยังไม่สร้างความภาคภูมิใจให้กับพี่น้องที่อยู่แนวหลังได้แม้แต่น้อย

 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์  

เพราะพิจารณาจากยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของผู้นำรัฐบาลและกองทัพดูแล้วมันทำให้มองเห็นว่าไม่เป็น “เอกภาพ” ไปกันคนละทาง สั่งการตามสายการบังคับบัญชาไม่ได้เต็มที่ เหมือนกับมี “วาระซ่อนเร้น” บางอย่าง ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวหรือไม่ ทำให้ผลออกมาน่าผิดหวัง

ในความเป็นจริงมีการยืนยันออกมาตรงกันทั้งฝ่ายรัฐบาลและกองทัพว่าต้นเหตุการณ์ปะทะที่เกิดขึ้นล้วนมาจากฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน มิหนำซ้ำยังมองทะลุไปอีกว่าฝ่ายโน้นต้องการ “สร้างสถานการณ์” เพื่อดังนานาชาติเข้ามาวุ่นวายแทรกแซงในพื้นที่ เพื่อหวังฮุบดินแดนไทยอย่างถาวร และที่ผ่านมาในระยะหลังทั้งฝ่ายการเมืองและกองทัพก็เห็นตรงกันอีกว่าห้ามอินโดนีเซียเข้ามา “จุ้น” เป็นอันขาด
 
รู้ทั้งรู้ว่านี่คือ “เกมโฉด”ของผู้นำกัมพูชา คือฮุนเซน ที่ต้องการดึงให้นานาชาติเข้ามาเท่านั้น แต่ก็ยังไม่สำเร็จสมบูรณ์โดยเฉพาะหากพิจารณาเฉพาะเป้าหมายแรกคือการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกเพียงฝ่ายเดียว โดยหวังจะครอบครองพื้นที่โดยรอบทั้งหมด และก็มีการรุกคืบเข้ามาเรื่อยๆ ใช้วิธีการต่างๆนานา ล่าสุดใช้วิธีการสร้างสถานการณ์ด้วยการใช้กำลังทหารเปิดฉากการปะทะกับทหารไทย ขณะที่ฝ่ายไทยมีแสนยานุภาพที่เหนือกว่าทุกด้านกลับไม่สามารถผลักดันทหารฝ่ายตรงข้ามออกไปให้พ้นพื้นที่ ไม่อาจสร้างความได้เปรียบได้เลยแม้แต่น้อย และเมื่อมีการปะทะขั้นรุนแรงเราก็ไม่อาจสร้าง “พื้นที่ปลอดภัย” ให้กับชาวบ้านในพื้นที่ได้เลย ทำให้ต้องมีการอพยพหลบหนีภัยลึกเข้ามาในพื้นที่ของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นเรื่องที่น่าอัปยศอดสูที่สุด

ล่าสุดแม้ว่าจะบอกว่ามีการเจรจาหยุดยิงกันแล้ว มีรายละเอียดกระทั่งมีข้อตกลงระหว่างกันจำนวน 6 ข้อ (ไทยก็เสียเปรียบ) ออกมาฝ่ายกัมพูชาก็ยังยิงถล่มเข้ามาจนทำให้ทหารไทยยังต้องตายเจ็บรายวัน ขณะเดียวกันแม้ว่าสถานการณ์ในพื้นที่ยังไม่ปลอดภัยแต่ก็มีการเร่งผลักดันให้ชาวบ้านอพยพกลับไปยังพื้นที่ของตัวเอง ลักษณะจึงไม่ต่างจากการ “ไปตายเอาดาบหน้า”

สิ่งที่เกิดขึ้นต้องการจะแสดงให้เห็นว่าไม่ว่าจะเป็นเกมไหนก็ตามที่ฝ่ายกัมพูชาเปิดเกมขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจงใจฮุบพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร และการปะทะครั้งล่าสุดฝ่ายไทยเป็นฝ่าย “เดินตาม” และเสียเปรียบในทุกเรื่อง

อย่างไรก็ดีเมื่อทำทุกทางสารพัดที่ผ่านมายังไม่สำเร็จ ทำให้ต้องเปิดเกมในรูปแบบใหม่ขึ้นมาอีก นั่นคือการยื่นเรื่องขึ้นฟ้องศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ไอซีเจ) หรือศาลโลกโดยมีประเด็นสำคัญคือให้ตีความคำพิพากษาในคดีพิพาทดังกล่าวเมื่อปี 2505 โดยเฉพาะในพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตร เพื่อให้สามารถบริหารจัดการพื้นที่ทั้งตัวปราสาทและพื้นที่โดยรอบได้อย่างสมบูรณ์แบบ ถ้าพูดกันให้ตรงไปตรงมาก็คือ “หัวหมอ” มีเจตนาจะฮุบพื้นที่ของไทยนั่นเอง

เพราะขณะนี้สิ่งที่ฝ่าย ฮุนเซน ผู้นำกัมพูชากำลังรุกอยู่ก็คือการยื่นเรื่องให้ศาล “คุ้มครองฉุกเฉิน” เพื่อบล็อกไม่ให้ไทยเข้าไปใช้พื้นที่ของตัวเอง เนื่องจากกัมพูชาก็อ้างสิทธิ์ ซึ่งหากศาลโลกเห็นตามนั้นก็ต้องส่งเจ้าหน้าที่เข้ามา “ควบคุม” ซึ่งมันก็ไม่ได้แตกต่างจากกรณีการผลักดันให้อินโดนีเซียส่งทหารเข้ามาเป็นผู้สังเกตการณ์ในพื้นที่นั่นเอง

ขณะเดียวกันเมื่อหันมาทางฝั่งไทยบ้าง ว่าได้เตรียมการรับมืออย่างไร ปรากฏว่าก็ยังน่าผิดหวังเช่นเดิม กลายเป็นว่ายอม “เดินตามก้น” ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะมีการเตรียมการสู้คดีกันอย่างเต็มที่ มิหนำซ้ำยังว่าจ้าง “ทนายความ” ชาวฝรั่งเศสมาแก้ต่างสู้คดีเสียอีก

สิ่งที่หลายฝ่ายกำลังเป็นกังวลและตั้งเป็นคำถามก็คือทำไมเราต้องเดินมาแนวทางแบบนี้ ทำไมต้องไปยอมรับในกระบวนการของศาลโลกที่เราเสียเปรียบจนต้องเสียปราสาทพระวิหารไปให้กัมพูชา เมื่อปี 2505 และต้นตอสำคัญก็มาจากฝรั่งเศสที่เป็นเจ้าอาณานิคมเดิมของกัมพูชาเป็นฝ่ายเดินเกมล็อบบี้

นอกเหนือจากนี้สิ่งที่ต้องพิจารณากันต่อก็คือทำไมเราไม่ปฏิเสธกระบวนการของศาลโลก เนื่องจากที่ผ่านมาประเทศไทยไม่ได้ต่ออายุการเป็นภาคีของศาลโลก ทำให้ไม่มีสิทธิ์มาบังคับประเทศไทยให้เข้าสู่กระบวนการแบบนั้นได้เลย นี่คือประเด็นหลักๆ

ในทางตรงกันข้ามรัฐบาลไทยที่นำโดย นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์กำลังนำประเทศเข้าย่ำรอยเดิมเหมือนเมื่อปี 2505 เพราะกำลังมีการเตรียมการว่าจ้างทนายความซึ่งแม้จะพยายามปิดเป็นความลับว่าเป็นใครแต่ก็มีรายงานออกมาว่าคราวนี้กำลังจะว่าจ้างทนายชาวฝรั่งเศสมาช่วยแก้ต่างคดีดังกล่าวให้ไทย แต่ประเด็นก็คือทำไมเราต้องเสี่ยงไปเล่นเกมแบบนี้ด้วย มันได้ประโยชน์อะไรบ้าง เพราะมีแต่ “เจ๊ากับเจ๊ง” เท่านั้น ขณะที่กัมพูชามีแต่ “เสมอตัวกับกำไร”

ขณะเดียวกันเมื่อได้ฟังคนมีอำนาจในรัฐบาล อย่าง รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ออกมาแสดงความมั่นใจคราวนี้จะได้ชัยชนะ ไม่มีทางซ้ำรอยปี 2505 อย่างแน่นอน มันก็ยิ่งชวนสลดหดหู่ เพราะนั่นหมายความว่าเราก็เริ่มเข้าสู่ “ความเสี่ยง” ในการเสียดินแดน เพียงเพราะรัฐบาลที่มาจากพรรคประชาธิปัตย์กำลังจะพิสูจน์ในเชิง “แก้มือ”ให้เห็นว่ายุคของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มันต่างกับยุคที่มี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเคยเป็นหัวหน้าทีมทนายความจนพ่ายแพ้ แต่คราวนี้ต่างกันอะไรประมาณนั้นหรือไม่

อย่างไรก็ตามสิ่งที่เป็นคำถามจนเป็นกังวลก็คือทำไมเราต้องเล่นเกมแบบนี้ด้วย ทำไมต้องไปยอมรับศาลโลกในเรื่องนี้ เพราะเราเสียเปรียบทุกประตู ทำไมไม่ปฏิเสธตั้งแต่แรก ทำไมไม่ยืนยันพื้นที่ที่เป็นอยู่ว่าเป็นของไทย และห้ามนานาชาติเข้ามายุ่งเกี่ยว ทำไมไม่ยืนยันตั้งแต่ต้น !!

กำลังโหลดความคิดเห็น