xs
xsm
sm
md
lg

คำต่อคำ “สนธิ” ตอบโจทย์ ซัด “เจิมศักดิ์” องครักษ์ ปชป. - ย้ำ “โหวตโน” ล้างทุนผูกขาดการเมือง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“สนธิ” ให้สัมภาษณ์ “ตอบโจทย์” ย้ำชัด “เจิมศักดิ์” โฆษก ปชป.เมินแตะ “มาร์ค” แม้ทำผิด ยืนยันไม่มีทางแตกกับ “จำลอง” เพราะยึดหลักธรรมเดียวกัน อัด “มาร์ค” จอมโกหก ต้มคนไทยทั้งประเทศ ตัดหางปล่อยหาก ก.ม.ม.อยากส่งคนลงเลือกตั้ง มุ่งมั่นเดินหน้ารณรงค์ “โหวตโน” พิสูจน์จิตวิญญาณแนวร่วมไม่เอานักการเมืองเลว เผยการเมืองในฝัน ต้องขจัดระบบบริษัทพรรคการเมือง ไม่ให้ถูกผูกขาดโดยกลุ่มทุน กระจายโอกาสการมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีไปสู่ประชาชน บอก “ทักษิณ” ยึดหลักนิติรัฐ หยุดจาบจ้วง และทำเพื่อส่วนรวมพร้อมคืนดี



 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง “นายสนธิ ลิ้มทองกุล” ให้สัมภาษณ์  
 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง “นายสนธิ ลิ้มทองกุล” ให้สัมภาษณ์  

นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้สัมภาษณ์แก่นายภิญโญ ไตรสุริยธรรมา ในรายการ “ตอบโจทย์ข่าว” ออกอากาศทางโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ตอนแรกเมื่อคืนวันที่ 2 พ.ค. และตอนที่ 2 คืนวันที่ 3 พ.ค.2554

คำต่อคำ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ให้สัมภาษณ์รายการ “ตอบโจทย์” ตอนที่ 1

สวัสดีครับท่านผู้ชมครับ ตอบโจทย์วันนี้จะสนทนากับนักหนังสือพิมพ์ที่ได้ชื่อว่าเก่งที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทย และเมื่อมาเป็นผู้นำการเคลื่อนไหวมวลชนก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำที่เฉียบขาด ทั้งประเทศไทยน่าจะมีคนรักพอๆ กับคนเกลียด แต่ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือเป็นศัตรู เมื่อเขาผู้นี้พูด ทุกคนต้องหยุดฟังฮะ แขกรับเชิญของตอบโจทย์คืนนี้ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ครับ

ภิญโญ ไตรสุริยะธรรมา - คุณสนธิ ขอเริ่มประเด็นที่ถูกพาดพิงหน่อยครับ คุณสนธิปราศรัยบนเวที บอกว่าคนที่เป็นเสือนี่ เวลาเจ็บไม่ร้อง มีแต่หมาเท่านั้นที่ร้อง อาจารย์เจิมศักดิ์มาให้สัมภาษณ์ในรายการตอบโจทย์ บอกกับคุณสนธิว่า แม้เป็นเสือเวลาเจ็บก็ร้องได้ ประชาชนจะได้เข้าใจ ตกลงเรื่องนี้ใครหมู่ใครจ่า ใครหมา ใครเสือฮะ

สนธิ - อันนี้เป็นสิทธิของคุณเจิมศักดิ์ แกจะพูดครับ ในข้อเท็จจริงแล้วนี่ โดยธรรมชาติแล้วนี่ เสือกับหมานี่ เวลาเสือมันเจ็บนี่ มันจะวิ่งเข้าป่า ไปเลียแผล แล้วก็รอการแก้แค้น แต่หมานี่โดนเตะเข้าตูมเดียวก็ร้องเอ๋ง ในกรณีที่คุณเจิมศักดิ์บอกว่าเสือนี่บางครั้งมันก็ร้อง ผมไม่ทราบว่าคุณเจิมศักดิ์เปรียบเทียบใครเป็นเสือ เปรียบเทียบผมเป็นเสือรึเปล่า หมายความว่าผมเองก็ร้อง ผมไม่ทราบ เพราะผมไม่ใช่สัตว์ เพราะฉะนั้นเป็นสิทธิที่คุณเจิมศักดิ์จะพูดไปได้ คุณเจิมศักดิ์อาจจะเข้าใจอะไรผิด บางสิ่งบางอย่าง ถ้าจำไม่ผิดในช่วงนั้นนี่ เป็นช่วงที่รายการคุณเจิมศักดิ์ถูกคุณทักษิณ รัฐบาลทักษิณถอดออกหมด คุณเจิมศักดิ์ก็โวยวาย ถ้าเทียบกับรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ที่ช่อง 9 ที่ผมถูกคุณทักษิณถอดออก ผมไม่โวยวาย แต่ผมสู้ สู้ด้วยวิธีของผม

ภิญโญ -ต่างกันตรงไหนฮะ สู้กับการโวยวาย
สนธิ - โวยวายก็คือว่า มันต้องอมเลือดเป็นคนเรา ไม่ใช่ว่าพอโดนอะไรเล็กโดนอะไรน้อยก็แหกปากร้อง เรียกให้คนมาสนใจ การไม่โวยวายนี้หมายความว่าเราต้องหาวิธีที่จะทำตามสิ่งที่เราเชื่อ ถามว่าสิ่งที่ผมทำในสมัยที่ผมทำเมืองไทยรายสัปดาห์นั้น ผมเชื่อในสิ่งที่ผมทำไหม ผมเชื่อ เมื่อถูกปิดกั้นแล้วเนี่ย ผมทำได้อย่างเดียวก็คือว่า ต้องหาวิถีทางที่จะดำเนินรายการต่อไป เพราะสิ่งที่ผมเชื่อนั้นคือสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นการให้ปัญญาคน เพราะฉะนั้นแล้ว ผมไม่ออกมาโวยวายว่าผมโดนกลั่นแกล้ง มีอยู่ข้อเดียวเท่านั้นเองที่ผมจำเป็นต้องสู้ในขณะนั้นก็คือว่า คุณมิ่งขวัญ แล้วก็ท่านประธาน อสมท ตลอดจนคุณธงทองสั่งปิดรายการ ด้วยเหตุผลหาว่าผมไปพาดพิงถึงในหลวง สถาบันกษัตริย์ ซึ่งผมก็ปฏิเสธเพราะว่าเรื่องของเรื่องมันมาจากจดหมายเรื่องลูกแกะหลงทาง ผมก็เลยสู้ประเด็นนั้น แต่ผมไม่เคยว่าคุณทักษิณว่าเขามารังแกผม เพราะว่าผมถือว่าอำนาจเขามี เพราะฉะนั้นแล้วผมก็ ไม่ต่อต้านในอำนาจเขา เพียงแต่ว่าผมต้องหาวิธีซิกแซกหาวิธีที่จะเอาความรู้ของผมนี่ เข้าไปให้ประชาชนให้ได้ จะด้วยการพูดจาในหอประชุมธรรมศาสตร์ หรือเป็นการจัดรายการที่สาวนลุมพินี ผมก็ทำไปอย่างนั้น ผมไม่ออกมาโวยวายเด็ดขาด

ภิญโญ-ทีนี้ ช่วงที่ผ่านมา พันธมิตรฯ ก็คนเยอะนะครับ ก็อุ่นหนาฝาคลั่ง มิตรรักแฟนเพลงก็มากันเยอะ คนขึ้นเวทีก็เยอะ ช่วงหลังก็หายกันไปหลายคน อาจารย์เจิมศักดิ์พาดพิงบอกว่า แกนนำพันธมิตรฯ ช่วงหลังก็เลยใช้วิธีพูดซ้ำๆ พูดคนเดียว ใส่สีตีไข่ แล้วถ้าใครขัดก็ไม่ได้ ทำให้เกิดมีอีโก้ มีอัตตาสูง ก็คิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ไม่ฟังกัลญาณมิตรเลย
สนธิ - อาจารย์เจิมศักดิ์ชอบใช้วาทกรรม ที่เวลาโต้เถียงกันนี่ วาทกรรมบอกว่าใส่สีตีไข่ อาจารย์เจิมศักดิ์ไม่เคยพูดยกตัวอย่างว่าใส่สีตีไข่เรื่องอะไร แล้วก็คำว่ากัลยาณมิตรเตือนนี่ ผมคิดว่าอาจารย์เจิมศักดิ์เข้าใจบทบาทท่านผิด ผมคิดว่าคุณ เรียกคุณเจิมศักดิ์ดีกว่านะฮะ เพราะว่าวันนี้ไม่ควรจะเป็นอาจารย์อีกต่อไป

ภิญโญ-ทำไมไม่ควรเรียกอาจารย์
สนธิ-ก็เพราะว่าคุณเจิมศักดิ์เข้ามาอยู่ในแวดวงของนักวิเคราะห์วิจารณ์และอยู่ในวงการสื่อมวลชน คุณเจิมศักดิ์ก็วิพากษ์วิจารณ์ตามองค์ความรู้เท่าที่คุณเจิมศักดิ์มี แล้วคุณเจิมศักดิ์ไม่ได้สอนอะไรเลยให้ประชาชนเลย ถ้าคุณเจิมศักดิ์ยังเป็นนักวิเคราะห์และเป็นสื่อมวลชนจริง นั่นคือบทบาทที่คุณเจิมศักดิ์จะได้รับการเชิดชู แต่วันนี้สิ่งที่คุณเจิมศักดิ์บอกว่าใส่สีตีไข่ ทักท้วงก็ไม่ได้ เป็นลักษณะภาพสะท้อนของคนซึ่งเปรียบเสมือนหนึ่ง เป็นโฆษกของพรรคประชาธิปัตย์ แต่เป็นโฆษกส่วนตัว เพราะฉะนั้นแล้วคุณเจิมศักดิ์ไม่มีสิทธิหรอกมาว่าพันธมิตรฯ ว่าใส่สีตีไข่ เพราะว่าคุณเจิมศักดิ์ไม่เคยเอาเรื่องราวต่างๆ ที่ใส่สีตีไข่มาพูด

กรณีของไทย-กัมพูชานี่ คนถามคุณเจิมศักดิ์ว่าคุณเจิมศักดิ์ทำไมไม่แสดงจุดยืนของคุณเจิมศักดิ์บ้าง คุณเจิมศักดิ์บอกว่าศึกษามาไม่พอ ปล่อยให้พวกเทพเขาว่ากัน นี่คือลักษณะการประชดประชัน แล้วอีกอย่างหนึ่งถ้าคุณเจิมศักดิ์จะเป็นนักวิเคราะห์เหตุการณ์ จะเป็นคนซึ่งเอาปัญญาให้คนนี่ คุณเจิมศักดิ์จะใช้คำว่าศึกษามาไม่พอ ไม่ได้

ภิญโญ - อาจารย์เจิมศักดิ์ให้สัมภาาณ์ในรายการตอบโจทย์บอกว่า ถ้าพูดภาษาชาวบ้านง่ายๆ คือ ประเด็นไทยกัมพูชามันหน่อมแน้มไปฮะ พันธมิตรฯ เรียกร้องเวอร์ไป
สนธิ-มันจะไปหน่อมแน้มได้ยังไงละครับ เพราะประเด็นไทยกัมพูชา มันเป็นประเด็นของหลักเขตแดน เป็นประเด็นที่เรายึดหลักสันปันน้ำ ตามสนธิสัญญาเดิมที่เรามี แต่เขมรไปยึดหลัก 1 ต่อ 2 แสน ทีนี้ถ้าเรายอมให้เขมรใช้หลัก 1 ต่อ 2 แสนนี่ เส้นที่มันลากต่อไปมันจะลากลงทะเล พอมันลากลงทะเลแล้วนี่ มันไปยังขุมพลังงาน มีมูลค่าหลายแสนล้าน ผมคิดว่าเมื่อมันนำไปสู่ขุมพลังงานแล้วทำให้ไทยเสียเปรียบ จากไทยเคยมีสิทธิอยู่ 3 ส่วน 5 กลายเป็นไทยเหลือแค่ 1 ส่วน 5 มันหน่อมแน้มไดยังไงคุณเจิมศักดิ์ แล้วถ้าคิดว่ามันหน่อมแน้มนี่ หลายเรื่องทำไมคุณเจิมศักดิ์ไม่เอามาพูดบ้าง อย่างเช่นในกรณีของน้ำมันปาล์ม ใช่ไหมฮะ หรือกรณีของการทุจริตคอร์รัปชั่นสนามบินสุวรรณภูมิ คุณเจิมศักดิ์ไม่พูด อะไรคุณเจิมศักดิ์ก็ไม่พูด คุณเจิมศักดิ์จะมีชุดวาทกรรมบอกว่า ผมดูแล้วคุณอภิสิทธิ์ยังไงก็ยังดีกว่าทักษิณ ประเด็นไม่ใช่อยู่ที่คุณอภิสิทธิ์ดีกว่าทักษิณ หรือไม่ดีกว่าทักษิณ ประเด็นก็คือว่าถ้าคุณอภิสิทธิ์เป็นคนที่ใช้ไม่ได้ ทำไมคุณเจิมศักดิ์ไม่วิพากษ์วิจารณ์คุณอภิสิทธิ์เหมือนที่คุณเจิมศักดิ์วิพากษ์วิจารณ์คุณทักษิณ

ภิญโญ-อะไรที่ทำให้อาจารย์เจิมศักดิ์นิ่งและไม่พูดกรณีของคุณอภิสิทธิ์ฮะ
สนธิ-ผมคิดว่าคุณเจิมศักดิ์คือโฆษกของประชาธิปัตย์ที่ไม่เป็นทางการ คุณเจิมศักดิ์ตั้งแต่พรรคประชาธิปัตย์เข้ามามีอำนาจ คุณเจิมศักดิ์ก็ได้เวลาโทรทัศน์ เวลาวิทยุเต็มไปหมดเลย

ภิญโญ-แกบอกแกได้อยู่ก่อนแล้วฮะ ทำมา 20 ปีแล้ว
สนธิ - แกทำมา 20 ปี แต่แกก็หายไปนี่ ช่อง 11 แกก็ไม่ได้ทำมานาน

ภิญโญ-ทีนี้ นอกจากอาจารย์เจิมศักดิ์ อดีตพันธมิตรฯ หลายคนก็ถูกคุณสนธิ และสมาชิกปัจจุบันพาดพิง ก็เลยมองเป็นว่า ตกลงว่าเอ๊ พันธมิตรฯ แตกกันรึป่าว
สนธิ-ใครฮะ

พิธีกร-คุณอัญชะลี ไพรีรัก ก็ไมได้ขึ้นเวทีอีก ท่านสมณะจันทร์ก็ไมได้ขึ้นเวทีอีก
สนธิ-ต้องแยกเป็นกรณีๆ ไป คือ คุณภิญโญต้องเข้าใจว่าในการต่อสู้ครั้งแรกนี่มันเป็นการ เขาเรียกว่าสร้างแนวร่วม ก็คือการที่คนทุกคนที่เกลียดคุณทักษิณเข้ามาร่วมกัน ที่นี้ในส่วนของคนที่เกลียดคุณทักษิณนี่ ก็มีคนที่มาห้อยโหน พวกประชาธิปัตย์เอย พวกคนที่รักพรรคประชาธิปัตย์เอย พวกหม่อมเจ้าหม่อมราชวงศ์ พวกไฮโซไฮซ้อที่อยู่แถวสุขุมวิทที่ไม่ชอบ เข้ามาร่วม พอคุณอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกดั่งใจแล้วเนี่ย พวกนี้ก็เชียร์คุณอภิสิทธิ์ ผมเองก็ชอบคุณอภิสิทธิ์ตั้งแต่ต้น แต่มารับคุณอภิสิทธิ์ไม่ได้

ภิญโญ-ตอนไหนฮะ
สนธิ- หลังจากที่คุณอภิสิทธิ์ทำงานไป แล้วก็๋จับได้ว่าแกโกหก แกโกหกหลายเรื่อง

ภิญโญ-เรื่องอะไรที่เป็นหลักๆ ที่ทำให้คุณสนธิเป็นจุดเปลี่ยน
สนธิ-ผมคิดว่าเรื่องเขมรนี่แกโกหกจนจับได้ทุกเรื่อง ทุกคำพูดแกโกหกหมด แล้วก็อีกหลายเรื่อง แกให้ปฏิญาณ 9 ข้อ ตอนที่แกขึ้นมาว่าแกจะทำให้ประเทศไทย 9 ข้อ แกไม่ได้ทำเลย แกจะแก้การเมืองที่ล้มเหลว แกก็ไม่ได้แก้การเมืองที่ล้มเหลว แกจะแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น แกก็ไม่ได้แก้ปัญหาคอร์รัปชั่น แกจะแก้โน่นแก้นี่ คือแกไม่ได้ทำทั้ง 9 ข้อ แกโกหกหมดเลย ด้วยเหตุรี้เราก็เริ่มมาวิพากษ์วิจารณ์คุณอภิสิทธิ์ ทีนี้คนที่เป็นพันธมิตรฯ นี่ส่วนหนึ่งก็อยู่กับเรา อยู่ในเอเอสทีวี อย่างคุณอัญชะลี ไพรีรักนี่ก็อยู่ จู่ๆ คุณอัญชะลีไม่มาขึ้นเวที ประชาชนเขาก็ถามสิ ว่าเกิดอะไรขึ้น คุณอัญชะลีถึงไม่มาขึ้นเวที คุณอัญชะลีต้องตอบประชาชน ไม่ใช่ผมตอบ สรุปง่ายๆ ว่าประชาชนต้องการคำตอบคุณอัญชะลี แต่คุณอัญชะลีให้คำตอบไม่ได้ เหตุผลที่คุณอัญชะลีให้คำตอบไม่ได้ เพราะ 1.คุณอัญชะลีสนิทสนมกับคุณจุติ ไกรฤกษ์ เพราะคุณอัญชะลีชอบพูดว่าเป็นญาติอยู่บ้านคุณจุติ ไกรฤกษ์มาตั้งแต่เด็กๆ แล้วพอคุณจุติมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงไอซีที คุณอัญชะลีก็ไปนั่งอยู่หน้าห้อง แล้วคุณอัญชะลีก็สนิทกับคุณวัฒนา อัศวเหม เรียกคุณวัฒนาว่าลุงวัฒน์ตลอดเวลา พ่อคุณอัญชะลีก็สนิทกับคุณวัฒนา อัศวเหม คือเรื่องของคุณอัญชะลีผมพอเข้าใจส่วนตัวว่าคุณอัญชะลีสนิทกับคุณจุติ ไกรฤกษ์ แล้วจะให้มาขึ้นเวที มาวิพากษ์วิจารณ์พรรคประชาธิปัตย์ หรือนายกฯ อภิสิทธิ์นี่ ก็ไม่น่าจะถูกต้อง เพราะว่าคุณจุติคงไม่พอใจ ในขณะเดียวกันถ้าคัณอัญชะลีมาขึ้นเวที แล้วมาร่วมกับพวกเรา แล้วอาจารย์ปานเทพ อาจารย์เทพมนตรี ก็วิพากษ์วิจารณ์นายฮุนเซน ก็จะมีผลกระทบต่อลุงวัฒน์ของคุณอัญชะลี

-เพราะอะไรฮะ
-ก็เพราะคุณวัฒนาหนีคดีไปนะฮะ แล้วไปอยู่เขมร ได้พาสปอร์ตเขมร ฮุนเซนก็ดูแลอยู่ แล้วคุณอัญชะลีก็สนิทสนมกับคุณวัฒนามาก ด้วยเหตุนี้ผมก็เลยเข้าใจ แต่ประชาชนเขาไม่เข้าใจอะ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นแล้ว คุณอัญชะลีต้องตอบประชาชน เมื่อตอบประชาชนไม่ได้ ก็เลยเข้าไปใช้เฟซบุ๊กของตัวเองไปกระทบกระทั่งคนโน้นคนนี้บนเวที ไม่ว่าจะเป็นคุณประพันธ์เอย คุณชัชวาลย์เอย เมื่อเขาถูกระทบกระทั่ง เขาก็เลยตอบโต้เอา มันก็เลยเป็นภาพนี้ ส่วนท่านสมณะจันทร์นี่ ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องท่าน แต่รู้ว่าท่านชอบมาขึ้นเวทีแล้วมาบอกว่ามาชุมนุมกันทำไม มากีดขวางการจราจรทำไม ซึ่งมันเป็นตรงกันข้ามกับทิศทาง คุณจำลอง ศรีเมือง ซึ่งท่านอยู่สันติอโศก ท่านเป็นคนบอกเองว่า ผมเสนอว่าอย่าเอาท่านจันทร์ขึ้นเวที เพราะท่านสมณะจันทร์กำลังพูดในสิ่งที่ตรงกันข้ามสิ่งที่พวกเรากำลังจะทำ เพราะฉะนั้นการชุมนุมทุกแห่ง การขึ้นเวทีทุกแห่ง ถ้าใครคนใดคนหนึ่งขึ้นไป ไม่ว่าเสื้อเหลืองเสื้อแดง เสื้อชมพู เสื้อฟ้า เสื้อขาว ถ้าใครขึ้นไปพูดในสิ่งซึ่งสีเสื้อนั้นหรือว่ากลุ่มผู้ชุมนุมตั้งเป้าอยู่ ก็ไม่มีใครปล่อยให้ขึ้น ปล่อยให้ขึ้นไม่ได้ มันผิดทิศทางหมด

ภิญโญ-ท่านจันทร์บอกว่า คุณสนธิ จะแตกกับท่าน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง
สนธิ-อันนั้นก็ให้ท่านจันทร์รอดูต่อไป ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไง ผมคิดว่าถ้าผมจะแตกกับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ก็แตกด้วยเหตุผลข้อเดียว

ภิญโญ-คืออะไรครับ
สนธิ-พล.ต.จำลองเปลี่ยนไป หรือผมเปลี่ยนไป ถ้าผมเปลี่ยนไป ผมไม่ยึดถือหลักการ ผมไม่ยึดถือความถูกต้อง พล.ต.จำลองก็ไม่คบผม เช่นกันฉันใดฉันนั้น เพราะฉะนั้นแล้วความผูกพันของพวกเรานี่ มันผูกพันกันอยู่ตรงที่จิตอุดมการณ์มันเหมือนกันเพราะฉะนั้นแล้วการแตกหรือไม่แตกก็ขึ้นอยู่กับอุดมการณ์ของแต่ละคน

ภิญโญ-อะไรที่ยึดกุมคุณสนธิกับ พล.ต.จำลองไว้ฮะ อะไรคือความเห็นร่วมกัน
สนธิ-ผมคิดว่า ถ้าเราจะใช้หลักทางพุทธศาสนาก็คือว่า ใช้ธรรมอันเดียวกัน คือความจริง การออกมาครั้งนี้นี่คนที่เริ่มต้นคนแรกคือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง พล.ต.จำลอง เป็นคนพูดกับผมเองว่าสนธิ ผมยอมไม่ได้ให้ประเทศไทยเสียดินแดน ผมจะออกไปประท้วงนะ แต่สนธิไม่ออกไปก็ได้นะ

ภิญโญ-แล้วทำไมคุณสนธิออกฮะ ถ้าอย่างนั้น
สนธิ-ก็เพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่จะต้องทำ มันเป็นธรรมอันเดียวกันไง คือพี่ลองทำอะไร จะไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาเป็นเรื่องส่วนรวม สิ่งที่พี่ลองทำเป็นเรื่องส่วนรวมทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นแล้วผมมีความเชื่อใจในตัว พล.ต.จำลอง 100 เปอร์เซ็นต์ แล้วผมก็มีปัญญาของผมวิเคราะห์เองได้ แล้วผมก็วิเคราะห์เหตุการณ์ไทย-กัมพูชา วิเคราะห์การตัดสินใจของนายกฯ อภิสิทธิ์ วิเคราะห์ทุกเรื่อง ผมก็เห็นว่าพี่ลองพูดถูกต้องทุกเรื่องเลย แล้วก็ที่นายกฯ อภิสิทธิ์ไปที่สนามกีฬาไทยญี่ปุ่นดินแดง ไปรับปากรับประกันว่าจะไม่มีวันเสียดินแดน นายกฯ อภิสิทธิ์เคยพูดว่า 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของไทย แล้วตอนหลังก็โกหกบอกว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อนไปแล้ว คือเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แล้วก็นายกฯ อภิสิทธิ์ไม่เคยใช้เหตุผลที่ถูกต้องหรือตรรกะที่ถูกต้องได้ว่า ทำไมนายกฯ อภิสิทธิ์ถึงไม่ยกเลิก เอ็มโอยู.2543 ซึ่งแกพูดไม่ได้เลย แกพูดแค่ว่า มีประโยชน์ มีประโยชน์ตรงไหน จนวันนี้ฆ่ากันจะตายแถวสุรินทร์ยิงกันอีกละ นายกฯ อภิสิทธิ์ก็ไม่พูดถึงเอ็มโอยู.43อีกเลย

ภิญโญ-ทำไมไม่กล้ายกเลิกฮะ
สนธิ-ผมก็ไม่ทราบ คุณต้องไปถามนายกฯ อภิสิทธิ์ ผมเองก็งงว่าทำไมคุณถึงไม่กล้ายกเลิก

ภิญโญ-ตั้งแต่ประท้วงกันหน้าทำเนียบรัฐบาล คุณสนธิเคยยกหูหาคุณอภสิทธิ์ หรือคุณอภิสิทธิ์ให้คนโทร.มาหาคุณสนธิไหมฮะ
สนธิ-ไม่เคยครับ แต่เราเคยพบกัน 3-4 ครั้ง ตอนที่คุณอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ใหม่ๆ พบกันที่บ้านคุณกอรปศักดิ์ ผมเข้าใจว่าตอนนั้น เขาไปขอความเห็นผม ผมก็ให้ความเห็นเขา เวลาคุยด้วยส่วนตัวนี่เขาคุยดี เหมือนจะเข้าใจทุกเรื่อง ตกลง แต่พอลับหลังไปแล้ว ไม่ทำซักเรื่องหนึ่ง ไม่ทำเลยแม้แต่เรื่องหนึ่ง

ภิญโญ-คุณสนธิวิเคราะห์ได้ไหมฮะ ว่าไม่ทำเพราะอะไร
สนธิ-ผมเข้าใจว่าคุณอภิสิทธิ์เป็นคนลักษณะแบบนี้คือพูดจาให้ดี แตะทุกคนเอาไว้ เหมือนที่คุณอภิสิทธิ์คุยกับคุณอานัท์ กับคุณหมอประเวศ เรื่องปฏิรูปบ้านเมือง เสร็จแล้วคุณอภิสิทธิ์ต้องการที่จะชะลอความกดดันก็เลยใช้คุณอานันท์กับคุณประเวศ พอใช้เสร็จเรียบร้อยแล้วก็จัดงบประมาณให้ก้อนหนึ่งไป แล้วคุณอภิสิทธิ์ก็ทิ้งแล้ว วันนี้คุณอภิสิทธิ์ไม่พูดถึงงานปฏิรูปการเมืองของคุณอานันท์ ปันยารชุน งานปฏิรูปการเมืองของหมอประเวศ นี่คือคุณอภิสิทธิ์

ภิญโญ-ตกลงคุณสนธิกำลังจะบอกว่าคุณอภิสิทธิ์ต้มคนแก่ ต้มคุณอาทนัท์ อาจารย์ประเวศ คุณสนธิเอง
สนธิ-ผมว่าคุณอภิสิทธิ์กำลังต้มคนไทยทั้งประเทศ โดยมีคุณเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ณ วันนี้เป็นหัวหอกที่อย่างไม่เป็นทางการ ออกมาปกป้องคุณอภิสิทธิ์ เพราะฉะนั้นแล้วใครก็ตามที่โจมตีคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในเรื่องการทำงานนี่ ก็จะโดนกระบวนการของคุณอภิสิทธิ์

ภิญโญ-คือทั้งหมดนี้เป็นกระบวนการ
สนธิ-เป็นกระบวนการหมดฮะ

ภิญโญ-คุณสนธิ แล้วตกลงพรรคการเมืองใหม่นี่ใครต้มใครฮะ
สนธิ-คุณภิญโญต้องทราบที่มาที่ไปของพรรคการเมืองใหม่ก่อน ถึงจะเข้าใจ หลังการชุมนุม 193 วันแล้ว เรามีการคุยกันว่าเราจะดำเนินกิจกรรมทางการเมืองยังไงต่อ ผมวันนั้นผมก็อยากจะกลับมาทำเอเอสทีวี ทำหนังสือพิมพ์ ทำเว็บไซต์ผมเหมือนเดิม คนที่อยากจะตั้งพรรคก็คือคุณสุริยะใส กตะศิลา และคุณสมศักดิ์ โกศัยสุข ผมก็ค้าน ค้านมาตลอดนะฮะ แล้วก็ในที่สุดแล้ว ก็เลยมีมติว่า ถ้าอย่างงั้นเรียกประชุมพันธมิตรฯ

ภิญโญ-ทำไมคุณสนธิถึงค้าน ไม่อยากตั้งพรรคการเมืองฮะ
สนธิ-ผมมีความรู้สึกว่า ผมอยากจะอยู่กับสื่อ มีความรู้สึกว่าผมอยากจะอยู่กับมันและพัฒนามันต่อไป เพราะผมไม่มีเวลาทำงานกับมันเลยแม้แต่นิดเดียวนะฮะ อยากจะเข้าไปสัมผัสเด็กรุ่นหลัง แล้วก็ฝึกอบรมเขา ให้องค์ความรู้เขา เพราะเวลาไม่มีช่วงหลัง ผมก็เลยอยากจะอยู่อย่างี้ แต่เผอิญ ก็อย่างว่าหละฮะ เรา 5 คน เวลามีมติกันแล้วนี่ มันก็ต้องผูกมัดกันก็ต้องไป ก็เลยมีความคิดว่า ถ้าอย่างนั้นลองประชุมใหญ่พันธมิตรฯ แล้วก็ถามความเห็นกัน ในที่สุดแล้ว เขาก็มีมติ 70-80 เปอร์เซ็นต็ที่จะตั้งพรรคกัน คนที่อยู่กับผมหลายคนก็ไม่เห็นด้วย คุณสุรวิชช์ วีรวรรณก็ไม่เห็นด้วย บอกไม่ควรจะตั้ง พอตั้งขึ้นมาปั๊บ มันก็มีคำถามว่า พรรคการเมืองใหม่จะเลือกใครเป็๋นหัวหน้าพรรค ก็ต้องยอมรับว่า พันธมิตรฯ นี่ เป็นกลุ่มมวลชนที่ ไม่ใช่หัวแข็ง แต่เป็นคนมีปัญญา ใครไปสั่งหันซ้ายหันขวาไม่ได้ ทีนี้ทางเหนือ ทางตะวันออก ทางอีสาน ทางใต้ เขาก็มีแกนนำของเขา เขาก็เสนอกันมาเต็มไปหมดเลย คุณสมศักดิ์ก็จะถูกเสนอ คนโน้นก็จะถูกเสนอ คนนี้ก็จะถูกเสนอ มันกลายเป็นเบี้ยหัวแตก มันคงจะยกมือและสู้กันแหลกในที่ประชุม ในที่สุดแล้วคนก็เลยมาบอกว่าเอาผมเป็นหัวหน้าพรรค ทุกคนก็เยยอมหมด คุณประพันธ์ เองนี่ เป็นคนเริ่มตัวนี้ คุณประพันธ์ไปปราศรัยที่หาดใหญ่ก่อนที่จะมีการตั้งพรรคการเมืองใหม่เสียด้วยซ้ำว่าเสนอให้ผมนี่เป็นหัวหน้าพรรค ผมลึกๆ ผมยังฉุนคุณประพันธ์เลย ฉุนเพราะว่า ไปดึงชื่อผมขึ้นมา ผมอยู่ของผมเฉยๆ

ภิญโญ-คุณสนธิ ไม่เคยนอยากเป็นเลยเหรอฮะ หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่
สนธิ-ไม่เคยอยากเป็นเลยฮะ ไม่เคยอยากเป็นเลย แต่เหตุผลที่จำเป็นต้องเป็นในช่วงนั้นมี 2 เหตุผล ผมก็บอกว่าถ้าผมเป็นหัวหน้าพรรคผมจะเป็นชั่วคราว ให้พรรคมันก่อตั้งแล้วผมไม่ลงเลือกตั้งนะ แล้วผมจะลาออก

ภิญโญ-แต่ก่อนหน้านั้นที่ลานพระบรมรูปทรงม้า คุณสนธิปราศรัยว่าจะไม่รับตำแหน่งทางการเมือง
สนธิ-มันขึ้นอยู่กับนัยที่คุณภิญโญต้องตีความว่า ตำแหน่งทางการเมืองคืออะไร สำหรับผมแล้วตำแหน่งทางการเมืองคือตำแหน่งที่เป็นการเมืองจริงๆ คือ เป็นรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษา เป็นเลขาธิการนายกฯ หรืออะไรทำนองนี้ แต่การที่เป็นหัวหน้าพรรคชั่วคราวเพื่อก่อตั้งขึ้นมาแล้วให้พรรคมันอยู่ได้แล้วลาออก ผมไม่ได้ถือว่านี่เป็นตำแหน่งทางการเมือง เหมือนกับเป็นตำแหน่งทางบริหารเพื่อจัดรูปแบบของพรรคให้มันเกิดขึ้น ให้มีสำนักงาน ให้มีหน่วยงานฝึกอบรม หน่วยงานวิชาการ ให้วางนโยบายเสร็จเรียบร้อยแล้วผมก็ลาออก ซึ่งผมก็ลาออกจริง ผมอยู่สั้นๆ ผมอยู่ประมาณไม่ถึงปีด้วยซ้ำ ผมก็ลาออก

ภิญโญ-ทีนี้พรรคก็ตั้งแล้ว การเลือกตั้งก็กำลังจะมาถึง ทำไมไม่ปล่อยให้เลือกตั้งแล้ววัดความนิยมของพรรคการเมืองใหม่ไปเลยละฮะ
สนธิ-นี่หละคือปัญหาใหญ่ เพราะว่าเรามาสรุปในการประชุมพันธมิตรฯ มีผม มีคุณสมศักดิ์ มีคุณสมเกียรติ มีคุณพิภพ และมี พล.ต.จำลอง เรามาประชุมแล้วมีความเห็นว่า ถ้าการเมืองระบบมันเป็นอย่างนี้อยู่ มันจะเป็นลักษณะอัปรีย์ไปจัญไรมา มันไม่มีอะไรดีขึ้น เพราะฉะนั้นแล้วนี่ เราเป็นคนบอกคุณสมศักดิ์ในฐานะซึ่งคุณสมศักดิ์เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ แล้วคุณสมศักดิ์เป็นตัวแทนของพันธมิตรฯ ที่ส่งไปเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ เพราะว่าตอนที่เลือกหัวหน้าพรรคคนต่อมาจากผม มีหลายคนจะสมัครแข่ง เรามีมติว่า ส่งคุณสมศักดิ์ไปเป็นหัวหน้าพรรคก็แล้วกัน แล้วผมนี่เป็นคนไปพูดกับคนที่จะลงสมัคร บอกให้ถอนตัวดีกว่า ไม่อยากให้ทะเลาะกันในพรรค คุณสมศักดิ์ก็คือเป็นตัวแทนของแกนนำพันธมิตรฯ ไปเป็นหัวหน้าพรรค เพราะฉะนั้นคุณสมศักดิ์นี่จะต้องนำฉันทามติของแกนนำไปชี้แจงให้กับสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ และไปชี้แจงกับกรรมการบริหารพรรค

ภิญโญ-เป็นฉันทามติหรือเถ้าแก่สั่งฮะ
สนธิ-ไม่มี จะเป็นเถ้าแก่ได้ยังไง แสดงว่าคุณไม่ได้ฟังรายการที่ออกมาเมื่อคืนวันจันทร์

ภิญโญ-เขาย้อนคุณสนธิกลับมาฮะ ผมก็ฟังรายการคุณสนธิอยู่
สนธิ-ไม่ฮะ ไม่ฮะ เพราะว่าคนซึ่งมีมติให้โหวตโนนี่ไม่ใช่ผม ผมไม่รู้เรื่องเลย ผมมีมติอยู่อย่างเดียวว่า พรรคการเมืองใหม่ไม่ควรที่จะส่ง ไม่ควรที่จะส่งนักการเมืองลง แต่โหวตโนนี่เป็นการประชุมอีกครั้งหนึ่ง การประชุมอีกครั้งหนึ่งที่ประกอบด้วยพันธมิตรฯ รุ่นหนึ่ง รุ่นสอง และประกอบด้วยคณะกรรมการปกป้องแผ่นดิน 17 คน ซึ่งผมไม่ได้อยู่ ผมไปรักษาตัว แล้วก็มีการเสนอว่าถ้างั้นใช้โหวตโนก็แล้วกัน ซึ่งเป็นการแสดงความรู้สึกว่าเราไม่เห็นด้วยกับระบบการเมืองปัจจุบัน

ภิญโญ-โหวตโนนี่ใครคิดขึ้นมาฮะ คุณสนธิ
สนธิ-อย่าไปรู้เลย ผมขี้เกียจให้คนคนั้นเป็นเป้า เอาเป็นว่า เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมกลับมา คุณจำลอง พี่ลองบอก สนธิ พวกเราเอาอย่างนี้นะ ผมก็บอกว่า เอาก็เอาสิพี่ เอาก็เอา เพราะฉะนั้นแล้วคนซึ่งมาว่าผมเป็นเถ้าแก่นี่เข้าใจผมผิดหมดเลย ผมไม่ได้รู้เรื่องเลย แต่ไม่เป็นไร ผมไม่ถือสาหรอก เพราะว่า โทษนะคุณภิญโญ โทษนะท่านผู้ชม ทุกวันนี้อะไรๆ ก็กูอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อรักที่จะแกนนำเป็นผู้นำมวลชนต้องยอมรับกับวุฒิอะไรต่างๆ ที่เขาจะใส่ให้ ด้วยเหตุนี้มันก็เลยเกิดกระบวนการต่อไป แล้วพรรคการเมืองใหม่จะเอาอย่างไร คุณสมศักดิ์เขาก็เห็นด้วยนะกับการไม่ส่งลง ท่านก็ยังบอกว่า แต่ผมต้องเอาไปหารือกับสมาชิกพรรคและกรรมการบริหารพรรคก่อน จนกระทั่งพัฒนาต่อมาถึงการลงคะแนนเสียงเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมานี้ เมื่อการลงคะแนเสียงแล้วคนประมาณพันกว่าคนเกือบ 2 พันคน 90 เปอร์เซ็นต์ บอกว่าให้โหวตโน คุณสมศักดิ์ในฐานะหัวหน้าพรรค สามารถที่จะใช้มติในการลงคะแนนเสียงครั้งนั้นเป็นมติไปเลย แต่คุณสมศักดิ์ไม่ใช้ คุณสมศักดิ์กลับไปใช้ว่า ถือว่าเป็นการรับฟังความคิดเห็น เมื่อรับฟังความคิดเห็นแล้ว คุณสมศักดิ์ก็จะเอาความคิดเห็นนี้ไปหารือกับกรรมการบริหาร เพราะตามกฎหมายแล้วกรรมการบริหารมีสิทธิตัดสินใจ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่ได้ยุ่งเลย สุดแล้วแต่พรรคการเมืองใหม่ ถ้าพรรคการเมืองใหม่เดินทางสวนทางกับพันธมิตรฯ ก็ไม่เป็นไร เป็นสิทธิที่พรรคการเมืองใหม่ทำได้ แต่พันธมิตรฯ ก็จะเดินหน้าโหวตโนอย่างเดียว ซึ่งเมื่อโหวตโนแล้ว เราก็จะโหวตโนทุกพรรครวมไปจนถึงพรรคการเมืองใหม่ด้วย

ภิญโญ-คุณสนธิก็เลยปราศรัยบนเวที บอกว่า กระสันต์กันนักอยากจะเป็น ส.ส. หลงลาภ หลงยศ
สนธิ-คำนี้ คือว่าโดยเบื้องหลังนี้ มันจะมีคนที่อยากจะลงปาร์ตี้ลิสต์ คนคิดง่ายๆ ว่า เฉพาะกรุงเทพฯ อย่างเดียวนี่นะ คราวที่แล้วเลือกตั้ง ส.ก. ส.ข.ถึงแม้พรรคการเมืองใหม่จะไม่ได้ แต่ก็มีเสียงบริสุทธิ์แสนกว่าเสียง เขาก็มองว่าเสียงบริสุทธิ์ของพรรคการเมืองใหม่ทั่วประเทศน่าจะมีสักล้านสองล้านเสียง เพราะฉะนั้นแล้ว ปาร์ตี้ลิสต์นี่ 1 2 3 4 5 น่าจะได้กัน ก็เลยขยันกันหาเสียง ขยันกันมาโจมตีพันธมิตร โจมตีแกนนำพันธมิตรฯ โจมตีผม คือตัวเองนี่อยากลง ตัวเองเป็นใครผมไม่รู้ แต่มีประธานสาขาพรรคนี่ซึ่งเป็นนักการเมืองท้องถิ่น อยากจะลง ส.ส.ก็เลย พลิกประเด็น คือ เรามองภาพใหญ่มากกว่า มองการปฏิรูปทางการเมืองมากกว่าการส่งคนลงปาร์ตี้ลิสต์ 4-5 คน แล้วได้ 4-5 คน แล้วเข้าไปนั่นปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ในสภา แล้วก็๋ไปอยู่ในวังวนของน้ำเน่าเหมือนเดิม เรากลับมองว่า อย่าเพิ่งลงตอนนี้ได้ไหม ลงงวดหน้า แต่ออกมาทำงานร่วมกัน ทำโหวตโนร่วมกันเพื่อให้ประชาชนเห็นว่าระบบการเมืองปัจจุบันนี่มันไปไม่รอดแล้ว แล้วรอจังหวะที่ดีแล้วค่อยลงงวดหน้า เขาไม่รอกัน ก็เรื่องของเขา

ภิญโญ-ทีนี้คนเขาถามว่า โหวตโน แล้ว so what โหวตโนแล้วไปยังไงต่อฮะ
สนธิ-คือโหวตโนนี่มันไม่เหมือนปฏิรูปการเมืองที่คุณอานันท์เขาทำหรือที่หมอประเวศทำ โหวตโนคือการออกไปแสดงสิทธิ คุณไม่จำเป็นต้องเป็นพันธมิตรฯ คุณไม่จำเป็นต้องชอบผม แต่ถ้าคุณโหวตโนแสดงว่าคุณไม่ชอบพรรคทุกพรรค เราก็ไม่ชอบพรรคทุกพรรค เราถึงโหวตโน แต่ว่านัยเบื้องหลังของการไม่ชอบพรรคทุกพรรคนั้นคือว่าเราไม่ชอบระบบการเมืองปัจจุบัน เพราะระบบการเมืองปัจจุบันมันเป็นระบบบริษัทพรรคการเมืองจำกัด เป็นบริษัทพรรคประชาธิปัตย์ บริษัทพรรคเพื่อไทย ใช่ไหมฮะ เพราะฉะนั้นพรรคการเมืองปัจจุบัน มันไม่ได้เลือก ส.ส.เข้าไปเพื่อทำหน้าที่นิติบัญญัติ มันเลือก ส.ส.เข้าไปเพื่อเลือกคนเป็นนายก แล้วก็เพื่อยกมือให้กับนโยบายของมัน ด้วยเหตุนี้ เขาไม่จำเป็นต้องเป็นพันธมิตรฯ เขาไม่จำเป็นต้องชอบผม แต่ถ้าเขาโหวตโนแสดงว่าเขาคิดเหมือนเรา เมื่อคิดเหมือนเราแล้วเนี่ย คนที่คิดเหมือนเรา สามารถที่จะรวมเป็นพลัง ถ้าสมมุติมีคนโหวตโนไม่ต่ำกว่า 5 ล้านคน มันจะมีผลทางการเมืองมาก มันจะมีผลตรงที่ว่า มันจะก่อให้เกิดจริยธรรมทางการเมืองแล้วว่าคนอย่างน้อย 5 ล้านคน แล้ว 5 ล้านคนนี้ มีอิทธิพลมากพอ และมีจำนวนมากกว่าคนที่ลงปาร์ตี้ลิสต์ทุกๆ พรรค สมมุติว่าแยกพรรคประชาธิปัตย์ออก แยกพรรคเพื่อไทยออก เผลอๆ 5 ล้านคนยังจะมากกว่าปาร์ตี้ลิสต์ของประชาธิปัตย์ มากกว่าปาร์ตี้ลิสต์ของเพื่อไทย

ภิญโญ-ถ้าอย่างงั้น ทำไมไม่ให้ 5 ล้านคนนั้นโหวตให้พรรคการเมืองใหม่เลย
สนธิ-ไม่ได้ ไม่ได้ เพราะว่าพรรคการเมืองใหม่เป็นพรรคที่บางคนเขาไม่ชอบ เป็นสิทธิของเขา แต่ว่าถ้าระบบแล้วนี่เขาเห็นด้วย เห็นด้วยกันหมดเลย

ภิญโญ-ทีนี้คุณสนธิเอาความมั่นใจมาจากไหนฮะ ทั้งๆ ที่คุณอานันท์ ปันยารชุน ก็พูดเรื่องปฏิรูปการเมือง อาจารย์ประเวศ วะสี ผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งนั้นลงมาทำเรื่องปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปประเทศไทย
สนธิ-คุณอานันท์กับคุณประเวศ มาทำโดยเอาชื่อเสียงส่วนตัวมาทำ แต่ผมเสนอไปให้โหวตโนนี่เอาจิตวิญญาณของทุกคนมาทำ จิตวิญญาณของการไม่ชอบ อุปมาอุปมัยเหมือนคุณต้องการจะบอยคอตสิ่งๆ นี้ เพราะคุณไม่ชอบมันเหลือเกิน เขาไม่จำเป็นต้องเป็นเพื่อนคุณ เขาไม่จำเป็นต้องเป็นพันธมิตรฯ แต่เขาไม่ชอบไอ้ร้านขายของร้านนี้ เพราะ 1.ละ มารยาทมันทราม 2.มันดูถูกคน 3.มันคิดเงินแพง 4.โน่น มันก็บอยคอตโดยอัตโนมัติ เพราะฉะนั้นแล้วนี่ ลักษณะของการบอยคอตโดยใช้จิตวิญญาณบอยคอต จะหนักแน่นและมีอิทธิพล แล้วก็มีความหมายมากกว่าการขายชื่อคุณอานันท์ ปันยารชุน หรือหมอประเวศ วะสี เพราะคุณอานันท์ ปันยารชุน กับหมอประเวศ วะสี ก็ทำได้ เพียงอย่างเดียว ก็บอกว่า ขอปฏิรูปการเมือง เอานักวิชาการมาสัมมนา ของประมาณจากรัฐบาลมาแล้ว ก็มาจัดสัมมนา เอาเงินจัดสัมมนา ทำได้เพียงแค่นั้น แต่โหวตโนนี่ต้องลุกขึ้นไป เข้าไปในคูหาเลือกตั้งแล้ว กาโหวตโนคือไม่ประสงค์จะเลือกพรรคใด ตรงนี้จะมีน้ำหนักมากว่า

ตอนที่ 2

ภิญโญ - การเมืองใหม่ของสังคมไทยที่คุณสนธิอยากเห็นจริงๆ หน้าตาเป็นยังไง?

สนธิ- ผมคิดว่าผมไม่เห็นด้วยกับลักษณะการเลือกผู้แทนที่เป็นการเลียนแบบตะวันตก ผมถามคุณคำหนึ่งก็แล้วกันว่า คนที่มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งควรหรือไม่ควรที่จะรู้เรื่องการเมือง แต่ไม่ควรที่จะรู้เรื่องการเมืองเลย ผมก็ถามกลับ ถ้าอย่างนั้นจะมีการเมืองไปทำไม ถูก/ไม่ถูก คุณเป็นหมอ คุณยังต้องรู้เรื่องหมอเลย คุณเป็นสื่อมวลชน คุณต้องรู้จักเทคนิคต่างๆ ก็คือประเด็นง่ายๆ ก็คือคนไทยพร้อมบ้าง ไม่พร้อมบ้าง ผมถามต่อว่าการเมืองคืออะไร ถ้าการเมืองคือการซึ่งพรรคภูมิใจไทยไปซื้อ ส.ส.โคราช มาคนหนึ่ง จ่ายไป 70 ล้าน แล้วหาเสียงทุ่มเงินอีก 40 ล้าน เป็น 110 ล้าน คุณเนวิน ชิดชอบ บอกว่า ส.ส.งวดนี้แกจะมีสัก 40 คน 40 ถ้าคูณด้วย 50 ล้าน ก็ 2,000 ล้าน แล้วพรรคอื่นล่ะเท่าไร เพราะงั้นการเมืองที่มันต้องใช้เงิน 2 หมื่น 3 หมื่นล้าน เพื่อเลือกตัวแทนประชาชนขึ้นมา มันไม่ใช่เป็นการเมืองที่มีตัวแทนประชาชนอย่างบริสุทธิ์ใจ ตรงนี้ต่างหากที่เราต้องมาทำการเมืองใหม่กัน

ภิญโญ - ทำไมไม่ไปจับที่การทุจริต คอร์รัปชั่น การซื้อเสียง?

สนธิ- คุณถามคุณอภิสิทธิ์สิ คุณอภิสิทธิ์ไม่เคยคิดเรื่องนี้ ไม่เคยสนใจ เพราะคุณอภิสิทธิ์เป็นส่วนหนึ่งของารเมืองน้ำเน่า เหตุผลที่คุณอภิสิทธิ์ไม่ทำตรงนี้ก็เพราะว่าจะไปกระทบพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งคุณอภิสิทธิ์หวังที่จะเข้ามาสนับสนุนคุณอภิสิทธิ์ ด้วยเหตุนี้ไงล่ะฮะ คุณอภิสิทธิ์ไม่เคยคิดทำเลย ไม่เคยคิดที่จะดำเนินกระบวนการที่จะต่อต้านการซื้อสิทธิ์ขายเสียง ไม่เคยคิดที่จะแก้กฎหมายให้ลงโทษคนซื้อสิทธิ์ขายเสียงให้มากกว่านี้ ไม่เคยคิดที่จะสร้างองค์กรเอกชนเพื่อป้องกันในการซื้อสิทธิ์ขายเสียง ไม่เคยแม้กระทั่งภาคเอกชน องค์กรเอกชน ที่สามารถมาตรวจสอบการเลือกตั้งได้ คุณอภิสิทธิ์ก็ยังไม่สนับสนุน คุณอภิสิทธิ์เฉย พอพูดถึงเรื่องการแก้ปัญหาการทุจริต ซึ่งที่คุณภิญโญถาม คุณอภิสิทธิ์ไม่ทำ คุณสมัครก็ไม่ทำ คุณสมชายก็ไม่ทำ นักการเมืองและพรรคการเมืองทุกพรรคไม่มีใครทำ ก็เพราะถ้าทำไปแล้วจะไปปิดกั้นผลประโยชน์ของเขา

ภิญโญ - หลายครั้งคุณสนธิเลยเสนอบนเวทีให้ทหารทำรัฐประหารเลย?

สนธิ- ผมบอกว่า ถ้าผมมีอำนาจ ถ้าผมมีอำนาจอยู่ในมือ ผมจะยึดอำนาจ แล้วผมจะล้างประเทศไทย ผมจะเอาการเมืองที่บริสุทธิ์ อย่างน้อยที่สุดใกล้เคียงการบริสุทธิ์ ผมไม่ต้องการให้เป็นบริษัทพรรคการเมืองจำกัด ผมไม่ต้องการ ผมต้องการการเมืองที่ลงไปแก้ปัญหาประชาชนจริง เหมือนอย่างปัญหาข้าว ทำไมคุณเห็นข้าวขึ้นราคามาตลอด แต่ผมเห็นชาวนาที่ขายข้าวคนกลาง ราคาขายยังเท่าเดิม น้ำมันปาล์มก็ขึ้นตลอดเวลา ชาวสวนยาง ปาล์มที่ขายปาล์มเข้ากับโรงงาน ก็ยังได้ราคาเดิม คนกลางกับพ่อค้าส่งออกเป็นคนได้ ผมถามว่าปัญหาประเทศไทยแก้ได้มั้ย แก้ได้หมดทุกเรื่อง ปัญหาข้าวแก้ได้มั้ย แก้ได้ แก้ได้ตรงไหน แก้ได้ตรงที่ว่า ถ้านักการเมืองทำเพื่อประโยชน์ของชาวนา ไม่ใช่นักการเมืองทำเพื่อประโยชน์คนส่งออก น้ำมันแก้ได้มั้ย แก้ได้ ถ้าเราแก้เพื่อที่จะให้น้ำมันราคาถูกลง การสั่งซื้อน้ำมัน โรงกลั่นน้ำมันต้องเป็นของรัฐ

ภิญโญ - ไม่ต้องการอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเหรอ?

สนธิ- เปล่า ไม่ใช่ ไม่ใช่ๆ ไม่ใช่การได้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่แก้ระบบการเมืองเพื่อไม่ให้มีการผูกขาด ณ วันนี้ กติกาทางการเมือง กติกาทางกฎหมาย เป็นกติกาซึ่งเสนอเพื่อให้ผูกขาดแก่กลุ่มทุน แล้วประชาชนมีหน้าที่อย่างเดียวเท่านั้นเอง ก็คือสนับสนุนกลุ่มทุน ผมพูดบนเวทีไม่ใช่เฉพาะเรื่องนี้ ผมพูดมาตลอดเวลา พ่อแม่ส่งลูกหลานเรียน 4 ปี ที่มหาวิทยาลัยเอกชน 1 ล้านบาท 4 ปี เฉลี่ย จบมาได้เงินเดือน 7,500-8,000 แปลว่าอะไร ผิดปกติแล้ว ผิดปกติ การส่งเด็กไปเรียน 4 ปี ล้านนึง จบมาต้องได้เงินเดือน 15,000 หรือ 20,000 บาท ที่มันผิดปกติก็เพราะว่า ข้างบน คือกลุ่มทุนนั้น เขาคุมต้นทุนข้างล่างเอาไว้ คุณภิญโญ คุณอายุยังไม่มาก สมัยผมหนุ่มๆ นี่ผมผ่อนบ้าน 15 ปี ผมดาวน์ 30 เปอร์เซ็นต์ ผมผ่อนรถ 3 ปี ผมดาวน์ 25 เปอร์เซ็นต์ สมัยผมหนุ่มๆ พอผมผ่อนบ้านเสร็จแล้ว โดยเฉลี่ยแล้วยุคคนอย่างผมนี่ 45 ปี ผ่อนบ้านหมด ยังเหลือเวลาอีก 15 ปี กว่าจะเกษียณ 15 ปีนี่คือ 15 ปีของการสะสมเงินทองที่ไม่ต้องผ่อนแล้ว เมื่อได้เงินก้อนนึง ไปซื้อทองคำ ได้เงินก้อนนึงไปซื้อที่ดิน ได้เงินก้อนนึงไปซื้อหุ้น มายุคนี้ ช่วง buffer ช่วงนี้ กันชนช่วงนี้ เป็นช่วงซึ่งคนรุ่นต่อๆ ไปจะมาใช้ต่อได้ กลับไม่มีแล้ว ทำไมไม่มี ก็เพราะพวกคุณเงินเดือน 8,000 บาท 7,000 บาท 9,000 บาท ต้องไปผ่อนรถ ผ่อนบ้าน หรือแม้กระทั่งให้คุณ 20,000 บาท คุณต้องผ่อนรถคันนึง ผ่อนบ้านหลังนึง คุณจะไปผ่อนได้ยังไง ผ่อนได้สิ เพราะว่านายทุนมันยืดเวลารถคุณ จาก 3 ปี เป็น 5 ปี เป็น 7 ปี ยืดเวลาบ้านคุณ สมัยผม 15 ปี เป็น 25 ปี เป็น 30 ปี เพราะฉะนั้นแล้วช่วงกันชนที่คนจะผ่อนหมด คุณเกษียณอายุแล้วคุณยังผ่อนบ้านไม่หมดเลย ตรงนี้ล่ะคือจุดผิดปกติ ตรงนี้คือจุดที่เราต้องมาแก้ไข ไม่ให้มีทุนมาผูกขาด แล้วทุนผูกขาดผ่านใครล่ะ ก็คือผ่านพรรคการเมือง

ภิญโญ - ถ้าคุณสนธิเกิดมีอำนาจวาสนาขึ้นมาจริง สามารถจัดการการเมืองไทยได้ในอุดมคติ คุณสนธิจะทำอย่างไรครับ ปัญหามันใหญ่ซะขนาดนี้?

สนธิ- ผมจะทำยังไงเหรอ คุณมาถามคำถามผมในเวลาที่สั้นๆ ซึ่งคำถามที่ผมต้องตอบคุณนี่ต้องตอบเป็นวันๆ เอาล่ะ เป็นอย่างนี้ดีกว่า โดยหลักปรัชญาแล้วเราต้องสร้างระบบที่ให้คนเคยได้มากๆ ยังได้อยู่ แต่ได้น้อยลง สร้างระบบให้คนที่ไม่เคยได้เลย ให้เขาได้บ้าง แล้วสร้างโอกาส สร้างโอกาสให้คนที่ไม่มีพ่อแม่รวย ไม่มีชาติตระกูลที่มาสนับสนุน และไม่มีเงินทุน ให้เขาสามารถเจริญเติบโตได้ เหมือนยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ งบประมาณทางหลวงของแผ่นดิน สมมุติว่าคุณจะสร้างถนนจากกรุงเทพฯ ทะลุไปหนองคายเลย มีงบประมาณ 20,000 ล้านบาท ผ่านโคราชเท่าไร ผ่านขอนแก่นเท่าไร ผ่านอุดรฯ เท่าไร ผ่านหนองคายเท่าไร คุณต้องซอยแต่ละส่วนออกไป ให้โคราชรับไปส่วนนั้น แล้วก็ระบุชัดเลยว่า ถนนช่วงกรุงเทพฯ-โคราช ในโคราชช่วงนั้นเป็นช่วงซึ่งผู้รับเหมาในโคราชเท่านั้นที่จะได้งาน ไม่ใช่อะไรๆ ก็ตกมาที่กรุงเทพฯ ไม่ใช่อะไรๆ ก็ตกที่ซิโน-ไทย เพราะฉะนั้นแล้วนี่คือการให้โอกาสคนได้เกิด เมื่อคนเกิดผมก็อยากให้คนรวย ผมอยากให้มีเถ้าแก่อย่างคุณชวรัตน์ ซิโน-ไทย หรือว่าเถ้าแก่อย่างหลายๆ คน อย่างคุณธนินทร์ เจียรวนนท์ มันเกิดขึ้นในอีสาน มันเกิดขึ้นในภาคเหนือ มันเกิดขึ้นในภาคใต้ ไม่ใช่มากระจุกเถ้าแก่อยู่เพียงไม่กี่คนในประเทศไทย แล้วมันก็เอาเงินไปซื้อการเมือง ลงทุนทางการเมือง แล้วก็ให้พวกมันร่ำรวยขึ้นไปตลอด แล้วไอ้คนข้างนอก คนอีสาน ลูกอีสานทั้งหลาย หรือคนซึ่งทำงานทั้งหลาย ไม่ว่าจะเสื้อแดง เสื้อเหลือง เสื้อขาว หรือแม้กระทั่งคนพวกแบ็คอัพของคุณที่อยู่หลังกล้องพวกนี้ ให้เขามีโอกาสเจริญเติบโตของเขา ให้ครอบครัวของเขามีทิศทางทำมาหากินได้ ไม่ใช่เป็นลูกจ้างเขาไปตลอดชีวิต นั่นคือปรัชญาโดยกว้างๆ

ภิญโญ - สิ่งเหล่านี้ทำโดยผ่านนโยบายของพรรคการเมือง ผ่านการเลือกตั้ง ผ่านประชาธิปไตย หรือว่าระบบแบบตะวันตกได้ไหม?

สนธิ- ไม่ได้ มันต้องแก้ระบบการเมือง การเมืองหลายอย่าง การเมืองในอนาคตที่เหมาะกับประเทศไทยจะต้องเป็นการเมืองที่ 1. เป็นการเมืองคัดสรร คนหลากหลายอาชีพเข้ามา 2. เป็นการเมืองที่เลือกตั้งส่วนหนึ่ง 3. เป็นการเมืองที่แต่งตั้งส่วนหนึ่ง

ภิญโญ - จะเชื่อใจคนแต่งตั้งได้อย่างไร?

สนธิ- อย่างน้อยมันก็คงไม่เลวไปกว่าการที่เอาเงินไปซื้อเสียงเขามา และที่สำคัญที่สุด ความโปร่งใสในการปกครองชาติบ้านเมืองจะต้องมีองค์กรที่กำกับดูแล ไม่ใช่องค์กรเหมือนอย่างวันนี้ ป.ป.ช. พรรคประชาธิปัตย์ทำอะไรก็ไม่ผิด ศาลรัฐธรรมนูญก็มีคนที่รักพรรคประชาธิปัตย์ ที่ยอมรับอยู่หลายคน อยู่หลายคนนะครับ เขาพูดชัด กกต.ก็มีคนบางคนใน กกต.5 เสือ กกต.ก็เป็นคนซึ่งสนิทสนมกับพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าอย่างนั้นการเมืองมันไปไม่ได้ เราต้องจัดองค์กรอิสระให้มันอิสระจริงๆ เหมือนอย่างท่านประธานวุฒิฯ คนใหม่ พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ผมเสียดายอย่าง สมัยที่ท่านเป็นผู้ตรวจการรัฐสภา ท่านไม่มีผลงานอะไร หน้าที่ผู้ตรวจการรัฐสภาจะเป็นหน้าที่ซึ่งคานอำนาจของทางการเมืองได้ แต่ในยุคที่ท่านเป็น ท่านไม่ได้ทำอะไรเลย

ภิญโญ - หลายครั้งที่คุณสนธิเสนอถวายคืนพระราชอำนาจ อะไรคือเหตุผลเบื้องหลังครับ คุณสนธิเชื่อในระบบคนดีจากการแต่งตั้ง?

สนธิ- หลายครั้ง? ถ้าผมจำไม่ผิด มีครั้งที่อยู่ที่ลานพระรูปครั้งเดียวเท่านั้นเอง

ภิญโญ - มาที่ ถ.ราชดำเนิน ก็อ่านประกาศของพันธมิตรฯ

สนธิ- นั่นเป็นคำพูดของคนอื่น เป็นมติของพันธมิตรฯ ในทางส่วนตัวของผม ในทางส่วนตัวของผมแล้ว ผมยังเชื่อว่าการใช้พลังประชาชนเข้าไปกดดันให้มีการเปลี่ยนแปลง เป็นวิธีการที่ดีที่สุด

ภิญโญ - ยังเชื่อเรื่องการถวายคืนพระราชอำนาจ มาตรา 7 อยู่ไหมครับ?

สนธิ- มาตรา 7 นี่ต้องไปถามคุณอภิสิทธิ์ มาร์ค ม.7

ภิญโญ - แล้วคุณสนธิ ม.อะไรครับ?

สนธิ- สนธิไม่มี ม.อะไรเลย สนธิไม่มี ม.อะไรทั้งสิ้น ผมยังเชื่อว่าโหวตโนตัวนี้ล่ะ ถ้าประเทศไทยทั้งประเทศเห็นด้วยและเข้าใจกิจกรรมทางการเมือง เข้าใจกลไกทางการเมือง เขาจะสร้างโหวตโนขึ้นมาให้มากเป็นประวัติการณ์ แล้วโหวตโนตัวนี้มันเหมือนน้ำหนักซึ่งมันกดดันสังคม มันกดดันข้าราชการ มันกดดันนักการเมือง ที่จำเป็นจะต้องปฏิรูปตัวเอง

ภิญโญ - ก่อนหน้านี้มีข่าวลือ ขอเลี้ยวมาเรื่องข่าวลือ ข่าวลือคุณสนธิเยอะมากครับ ที่ใหญ่ที่สุดคือบอกว่าไปพบกับคุณทักษิณ ชินวัตร ที่ต่างประเทศ จับมือกัน

สนธิ- เป็นข่าวที่เท็จ ที่บัดซบที่สุด เพราะว่าผมไม่เคยไปคูเวตเลย เพราะฉะนั้นแล้วคนที่ปั้นข่าวนี้ อยู่ในพรรครัฐบาล จงใจปั้นข่าว

ภิญโญ - ทำเพื่ออะไรครับ?

สนธิ- คือ ผมต้องยอมรับ ความจริงคนพวกนี้เขาอ่านเกมผิดหมด เขาไปมองว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนี่ หัวขบวนใหญ่คือผม ถ้าเขาทำลายผมได้ พันธมิตรฯ ไม่มีแล้ว เขาโง่ เขาไม่รู้ว่าตอนนี้มันเป็นกระบวนการแล้ว มีผม หรือไม่มีผม ประชาชนฉลาด ถ้าคุณภิญโญไปถามนักข่าว TPBS ซึ่งไปทำข่าวพรรคการเมืองใหม่ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าได้ทำหรือเปล่า เพราะได้ข่าวว่าท่านหัวหน้าพรรคท่านไล่นักข่าวออกมา แต่ปรากฏการณ์ในที่ประชุมพรรคการเมืองใหม่มันพิสูจน์ชัด เพราะว่าคน ผู้หญิงวัยกลางคน เป็นคนทำมาหากินคนหนึ่ง ลุกขึ้นมาแล้วตอบโต้คุณสมศักดิ์ ตอบโต้พวกกรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่ ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยตรรกะ ด้วยทุกอย่าง สิ่งที่ผมพยายามจะพูดก็คือว่า ตอนนี้พันธมิตรฯ ปีนี้ ไม่เหมือนพันธมิตรฯ เมื่อปีต้นๆ องค์ความรู้เยอะ ที่สำคัญมากกว่าคือมีความกล้าหาญผิดปกติ ผิดกว่าประชาชนทั่วไป เพราะว่าโดนข่มขู่มาตลอด โดนกลั่นแกล้งมาตลอด โดน 7 ตุลาฯ มาตลอด เพราะฉะนั้นของพวกนี้มันหลอมพวกพันธมิตรฯ แล้วมันลงสู่รุ่นต่อๆ ไป ทำให้ผมมีความรู้สึกเชื่อว่าไอ้คนที่จ้องทำลายผม โดยยังมีความเชื่อผิดๆ ว่า ถ้าผมเป็นอะไรไปแล้ว ผมเสียชื่อไปแล้ว กระบวนการพันธมิตรฯ จะหมดไป พวกนี้โง่ เพราะว่าผม ถ้าผมเปลี่ยนแปลงอุดมการณ์ คุณไม่ต้องมาแจ้งผมหรอก คนที่เห็นคนแรกคือพันธมิตรฯ เขาจะไม่เอาผม เขาไม่เอาผมเด็ดขาด เพราะฉะนั้นแล้วกระบวนการนี้ คุณภิญโญ จะมีอยู่ตลอดเวลา แล้วไม่ใช่ของใหม่ สมัยผมสู้คุณทักษิณ ทำซีดีเกี่ยวกับผมเป็นแสนๆ แผ่น ไปยืนแจกตรงรถไฟฟ้าใต้ดิน ทำใบปลิว ด่าผมขึ้นเว็บไซต์ คือพูดง่ายๆ ว่าจะต้องตีหัวให้ลงมาก่อน แต่วันนี้ ณ วันนั้นที่คุณทักษิณทำ ถ้าตีผมได้ลง อาจจะสำเร็จ เพราะกระบวนการยังไม่เกิด แต่ผ่านมา

ภิญโญ - ตอนนี้ไม่สำเร็จแล้ว?

สนธิ- ไม่สำเร็จ 48-49-50-51-52-53 6-7 ปีแล้ว มันเข้มแข็งขึ้นมา ปัญญาเขามีมาก พันธมิตรฯ มีความกล้าหาญในตัวเขาเอง มีหรือไม่มีสนธิ ไม่มีความหมายเลย

ภิญโญ - ถ้าอย่างนั้น ใครยิงคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ครับ?

สนธิ- เอาเป็นว่า ผมพูดอย่างนี้แล้วกัน เป็นคนในรัฐบาลชุดนี้ แต่อย่าให้ผมเอ่ยชื่อ

ภิญโญ - คุณสนธิเอาความมั่นใจ เอาหลักฐานมาจากไหนครับ?

สนธิ- มีครับ

ภิญโญ - แล้วทำไมไม่เดินหน้าสู้ในทางคดี?

สนธิ- จะให้ผมเดินหน้าได้ยังไง คุณไปถามคุณอภิสิทธิ์สิ คุณอภิสิทธิ์ทำไมไม่เดินหน้าล่ะ คุณอภิสิทธิ์เดินตอนแรก ทำคึก ทำฟิต พอเดินไปเดินมา เขารายงานข่าวมาว่า ผลการสืบสวนมันโยงไปถึงคนโน้น คุณอภิสิทธิ์เงียบเลย เก็บเลย

ภิญโญ - มันมีข่าวลือในช่วงต้น แล้วคุณสนธิก็พูดบนเวทีว่า คนสั่งยิงคุณสนธิ เขาลือกันในเน็ตว่าเป็นสตรี ชนชั้นสูง ที่สูงศักดิ์ยิ่ง

สนธิ- คือกระบวนการที่โจมตีผม แล้วก็โยงเข้าไปหาสตรีชนชั้นสูง ไม่ใช่เป็นกระบวนการใหม่ มันชอบทำใบปลิวออกมา อย่างเช่น ใบปลิวกล่าวหาว่าผมมีอะไรกับภรรยาของ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย แล้วคนซึ่งเป็นคนกลางจัดให้พบ ก็คือองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงตามหาบัว คือมันทำได้ทุกอย่าง แต่คุณภิญโญ ถ้าคุณเชื่อข่าวลือในเน็ต เน็ตนี่มันเขียนอะไรก็ได้ ภาพมันเอามาตัดต่ออะไรก็ได้ ถ้าคุณเชื่อคำพูดนั้น คุณอย่ามาถามผม

ภิญโญ - คุณสนธิ อาการทางร่างกายวันนี้ หลังจากถูกยิง เป็นยังไงบ้างครับ?

สนธิ- ก็ นี่คือรอยลูกปืนที่เข้าตรงหัว ผมคิดว่าดีขึ้นเยอะ ผมมีปัญหาเรื่องหลัง เรื่องขา แต่ผมก็เข้าใจว่าเรื่องหลัง เรื่องขาผม ก็ค่อยๆ หายไปทีละนิด บางครั้งมีลักษณะปวดตาตรงนี้บ้างเล็กน้อย แต่อย่างที่บอกว่าผมเป็นคนที่ภาวนา ผมปฏิบัติธรรมทุกคืน ผมภาวนา เวลาผมเจ็บตรงไหนผมจะกำหนดจิตไว้จุดที่เจ็บ แล้วก็ไล่ออกไป และผมรักษาโดยใช้ธรรมรักษา

ภิญโญ - ทุกวันนี้ต้องมีการเตรียมการคุ้มกันคุณสนธิ มีคนติดตาม

สนธิ- เอาเป็นว่าระวังตัวมากขึ้น

ภิญโญ - มีโอกาสที่จะถูกปองร้ายอีกครั้งมั้ยครับ

สนธิ- มีได้ทุกเมื่อ เพราะว่ายังมีความเข้าใจผิดเหมือนเดิม ว่าถ้าผมเป็นอะไรไปแล้ว กระบวนการประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะล้มไป ยังเข้าใจผิดอยู่

ภิญโญ - มีโอกาสที่สังคมไทยจะเห็นคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ไปนั่งกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อกับคุณทักษิณ ชินวัตร เหมือนตอนตั้งรัฐบาลใหม่ๆ มั้ยครับ

สนธิ- ตอนตั้งรัฐบาลใหม่ๆ ไม่ได้ไปกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อกัน แต่เขาแวะมากินก๋วยเตี๋ยวที่บ้านผม คือคุณทักษิณต้องก้าวข้ามหลายๆ เรื่องไปก่อน ถ้าคุณทักษิณก้าวข้ามหลายๆ เรื่องไปได้แล้ว ผมคิดว่าโอกาสที่จะพบกันได้ โอกาสที่จะพบกันได้

ภิญโญ - เรื่องอะไรที่จะต้องก้าวข้ามครับ

สนธิ- เรื่องที่ต้องก้าวข้ามคือ คุณทักษิณจะต้องยอมรับหลักนิติรัฐก่อน เรื่องที่ 2 คุณทักษิณต้องยอมรับว่า ประเทศไทยนั้นจะมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย ก็ยังจะต้องมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ ส่วนจะปกครองในรูปแบบไหน วิธีการปกครองยังไง อีกเรื่องหนึ่ง และคุณทักษิณต้องพิสูจน์ตรงนี้ด้วยการกระทำ ไม่ใช่ด้วยคำพูด ก้าวข้ามเรื่องที่ 2 เรื่องที่ 3 คุณทักษิณจะต้องก้าวข้ามว่า จากนี้ไปคุณทักษิณพร้อมที่จะทำงานให้กับส่วนรวม ไม่ใช่ให้กับญาติพี่น้อง ให้กับครอบครัวตัวเอง หรือให้กับแก๊งตัวเอง ผมคิดว่า 3 เรื่องนี้ถ้าคุณทักษิณก้าวข้าม ผมกับเขายังเป็นเพื่อนกันได้อยู่ แต่ว่าสุดท้ายแล้ว ถ้าเขาก้าวข้าม 3 เรื่องนี้ มันเป็นผลดีกับเขานะ ไม่ใช่ผลดีกับผม

ภิญโญ - อะไรคือคำแนะนำในฐานะอดีตกัลยาณมิตรที่อยากให้คุณทักษิณ

สนธิ- อดีตคนรู้จักกัน ผมไม่ได้เป็นกัลยาณมิตรคุณทักษิณ ผมเพียงแต่รู้จักคุณทักษิณเฉยๆ ผมไม่รู้จะแนะนำอะไรเขา เขาก็ 60-61 แล้ว เขาก็เป็นมหาเศรษฐีแสนล้าน เขาก็เคยเป็นนายกรัฐมนตรี ผมจะไปแนะนำอะไรเขาได้ ผมแนะนำเขาได้อย่างเดียว ว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้น ดำรงอยู่ แล้วมันดับไป ผมแนะนำเขาได้แค่นี้ ส่วนเขาจะไปวิสัชชนาแล้วบรรลุธรรมได้ยังไงก็เป็นเรื่องของเขาแล้ว

ภิญโญ - คุณสนธิต่อสู้มายาวนานขนาดนี้ ทั้งในชีวิต ทั้งหนังสือพิมพ์ ธุรกิจ นักต่อสู้เคลื่อนไหวทางการเมือง อะไรคือความภูมิใจสูงสุดในชีวิตคุณสนธิครับ

สนธิ- อะไรคือความภูมิใจเหรอ ความภูมิใจของผมมันอยู่ที่วันหนึ่งมีพันธมิตรฯ มาหลังเวที แล้วเขาอุ้มหลานมาคนหนึ่ง แล้วหลานเขามองหน้าผม แล้วเขาชี้ ตาสนธิ ตาสนธิสู้ๆ นั่นล่ะครับ ภูมิใจที่สุด

ภิญโญ - แล้วอะไรคือเรื่องที่เสียใจที่สุดในชีวิตที่ผ่านมาของคุณสนธิครับ

สนธิ- ผมจำไม่ได้แล้วคุณภิญโญ เดี๋ยวนี้ผมฝึกการลืมได้ถึงระดับขั้นที่ผมจำอะไรไม่ได้แล้ว

ภิญโญ - ในชีวิตคุณสนธิ?

สนธิ- ผมลืมไปหมดแล้ว

ภิญโญ - รักใครมากที่สุดครับ

สนธิ- ผมก็ลืมไปหมดแล้ว ผมอยู่กับปัจจุบัน อดีตผมลืมไปหมดแล้ว

ภิญโญ - ผมถามหลายท่านที่ออกรายการ ถ้าพรุ่งนี้เกิดจะต้องจากไปอย่างกะทันหัน ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง

สนธิ- ผมเตรียมตัวตายทุกวัน

ภิญโญ - เจริญธรรมด้วยความไม่ประมาท

สนธิ- ผมเตรียมตัวตายอยู่ทุกวัน

ภิญโญ - คุณสนธิอยากพูดอะไรกับประชาชนที่เป็นทั้งแฟนคุณสนธิ และที่ติดตาม ศัตรูก็มีครับ

สนธิ - ผมไม่อยากพูดอะไรครับ เพราะผมมีความรู้สึกว่า สิ่งที่ผมทำนั้นมันเป็นเรื่องที่เข้าใจยากในปัจจุบัน แต่ว่าเมื่อมันผ่านไประยะหนึ่งแล้ว จะเข้าใจเอง ผมอยากจะพูดบอกว่า ใครก็ตามที่เป็นผู้บุกเบิก คุณภิญโญก็รู้ตรงนี้ บุกเบิก ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ต้องเจ็บตัวก่อน แต่ถ้าคุณบุกเบิกเรื่องอะไรก็ตาม แล้วคุณมีความเชื่อมั่นในสิ่งที่คุณทำ คุณมีศรัทธา สำคัญที่สุดคือคุณต้องมีความศรัทธาและเชื่อมั่นในสิ่งที่คุณทำ ว่าถูกต้อง เป็นธรรม เอาธรรมนำหน้า ถ้าคุณเชื่ออย่างนี้ ไม่ต้องไปหวั่นไหวอะไรทั้งสิ้น คุณเดินหน้าต่อไป ภยันอันตรายเป็นของธรรมดา เพราะคุณกำลังเดินเข้าไปสู่พื้นที่ที่มันน่ากลัว ที่มันเป็นพื้นที่ที่คนไม่เห็นด้วยกับคุณ ที่เป็นพื้นที่ที่คนจ้องจะทำร้ายคุณ แต่ถ้าคุณมีความหนักแน่น ความมั่นคง สิ่งศักดิ์สิทธิ์และศรัทธาที่คุณมีอยู่จะทำให้คุณรอดไป แต่กว่าคนจะเห็นได้ตรงนี้ ผมอาจจะต้องบาดเจ็บสาหัสหลายเรื่อง แล้วถึงวันนั้นเขาก็จะรู้ว่าสิ่งที่ผมทำนั้นถูกต้อง แต่เขาก็จะลืมไปว่าผมเป็นคนเริ่ม เพราะฉะนั้นแล้ว อย่าไปมีอัตตา ว่า เฮ้ย เรื่องนี้ผมเป็นคนทำนะ อย่าไปมีอัตตาอย่างนั้น ถือว่าเราทำประโยชน์ให้ชาติบ้านเมือง เพราะฉะนั้นแล้วนี่คือสิ่งซึ่งผมใช้เป็นวัตรปฏิบัติประจำ ผมไม่ได้คิดว่าผมมีบุญคุณต่อชาติบ้านเมือง แต่ผมคิดว่าผมทำตามหน้าที่ที่ผมควรจะทำ อันที่ 2 ผมไม่ได้มีความเคียดแค้นอะไรกับใคร ไม่ได้รักใคร ไม่ได้โกรธใคร เพราะฉะนั้นผมจึงพัฒนาการลืม 3 ผมอยู่กับปัจจุบันทุกวันนี้ วันนี้ผมให้คุณภิญโญสัมภาษณ์ ผมอยู่กับคุณภิญโญ พรุ่งนี้เผลอๆ ผมอาจจะลืมคุณภิญโญไปแล้วก็ได้

ภิญโญ - เมื่อกี้สวนกับคุณจิตตนาถ ลิ้มทองกุล คงยังไม่ลืมลูกชาย อยากจะทิ้งท้ายรายการว่า พูดกับปั๊บหน่อยครับ ถ้าอยากจะพูดอะไรกับปั๊บออกรายการ บันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ คุณสนธิอยากพูดอะไรกับปั๊บครับ

สนธิ- ผมเคยบอกเขาไปแล้วหลายครั้ง และสิ่งที่เป็นสัจจวาจาที่ผมพูดกับเขา บอกว่า เขาต้องเลือกชีวิตเขาเดินเอง ถ้าเขาจะเลือกเส้นทางเดินที่ผมเดิน มันเป็นเส้นทางที่ยากลำบากและอันตราย แต่เขาต้องตัดสินใจเอง แต่ถ้าเขาไม่เลือกเส้นทางที่ผมเดิน ผมก็ไม่ว่าอะไร เขาจะแยกตัวไปทำธุรกิจ ไปทำอะไรก็ตามที่เหมาะกับคนวัยรุ่นอย่างเขา ผมก็ไม่ว่า ผมให้โอกาสเขา หลังจากให้โอกาสเขาไม่นาน เขากลับมาบอกผมเอง เขาบอกเขาตัดสินใจแล้ว เขาจะเดินตามรอยเท้าของผม ผมบอกแน่ใจเหรอ แน่ใจ โอเค ถ้าอย่างนั้นปั๊บต้องฝึกตัวเอง ต้องฝึกขันติ ต้องฝึกที่จะเข้าใจหลายเรื่อง และต้องฝึกความอดทนอย่างมากๆ เพื่อจะสร้างตบะให้กับตัวเอง อย่าใช้อารมณ์ และที่สำคัญที่สุด อย่าเปลี่ยนแปลงอุดมการณ์ที่ถูกต้อง


กำลังโหลดความคิดเห็น