“สนธิ” ชำแหละขบวนการขายแผ่นดิน ปล่อยเขมรอพยพครอบครองพื้นที่ ไม่ผลักดันกลับ แล้วทำเอ็มโอยู 43 ขึ้นมารองรับให้คนเขมรอยู่ต่อ เชื่อคนใน กต.-ทหารที่มีผลประโยชน์ในพื้นที่รู้เห็นตลอด จวก “มาร์ค” จอมโกหก ปากบอกยึดสันปันน้ำ แต่ให้ “สุวิทย์” เซ็นยินยอมเขมรจดทะเบียนพื้นที่ 4.6 ตร.กม.รอบปราสาทพระวิหาร
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” ปราศรัยโดย “นายสนธิ ลิ้มทองกุล”
เมื่อเวลา 22.00 น. วันที่ 26 ม.ค. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นปราศรัยที่เวทีสะพานมัฆวานรังสรรค์ ว่ากรณีชายแดนไทย-เขมรนั้นสะท้อนให้เห็นความเน่าเฟะล้มเหลวของสังคมไทยและประเทศไทย ถ้ามองภาพรวมอย่างง่ายๆ ก็จะเห็นว่า เรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชานั้น เรามีสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ที่ทำไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1907 แล้ว โดยกำหนดให้ใช้สันปันน้ำในช่วง 196 กิโลเมตร จากช่องบกถึงช่องสะงำ ซึ่งก็ครอบคลุมถึงบริเวณปราสาทพระวิหาร และพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ที่กัมพูชาจะเอาไปจดทะเบียนเป็นมรดกโลก พ้นจาก 196 กิโลเมตรนี้ไปจนถึงจังหวัดตราด ก็มีหลักเขต 73 หลัก ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปก็อาจหลุดหายไปบ้าง กลายเป็นข้อพิพาทกัน ก็ต้องมีการมาเจรจาปักปันกันใหม่ ด้วยการหาหลักเขตเดิมว่าอยู่ตรงไหนกันแน่ ไม่มีการพูดถึงแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 เลย
นายสนธิกล่าวต่อว่า ส่วนค่ายผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชาที่บ้านหนองจาน อ.โนนสูง จ.สระแก้ว นั้นก็มีหลักฐานชัดเจนว่าอยู่ในเขตประเทศไทย เพราะยูเอ็น (องค์การสหประชาชาติ) เข้ามาตั้งค่ายอพยพเพื่อรองรับผู้หลบหนีสงครามจากกัมพูชา ซึ่งตามปกติเขาไม่ตั้งค่ายอพยพในประเทศที่มีสงครามอยู่แล้ว ในเมื่อ 30 ปีก่อน พื้นที่ตรงนี้เป็นของเรา แล้วตอนนี้ทำไมคนในรัฐบาลหลายคนจึงบอกว่าเป็นของเขมร ทั้งที่มีหลักฐานภาพถ่ายชัดเจนตอนที่ทหารเวียดนามบุกเข้ามาแล้วทหารไทยยิงทหารเวียดนามตาย และมีภาพทหารไทยช่วยชาวบ้านเกี่ยวข้าวในบริเวณนี้ ขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่ก็ยืนยันว่าตั้งแต่บ้านหนองจานเข้ามาเป็นพื้นที่ของไทย
นายสนธิกล่าวว่า เมื่อผู้ลี้ภัยสงครามมาหลบในประเทศไทย หลังสงครามสงบ ทำไมเขมรลี้ภัยไม่ถูกผลักดันให้กลับเข้าไป จู่ๆ มาวันหนึ่งผ่านไป 20-30 ปี กลับมีเข้ามามากขึ้น รัฐบาลแต่ละชุดที่ผ่านมาทำอะไรอยู่ กระทรวงการต่างประเทศทำอะไรอยู่ แล้วผู้รักษาพรมแดนทำอะไรอยู่จึงปล่อยให้รุกเข้ามา ตอนที่จะเซ็นเอ็มโอยู 2543 ได้ตั้งเงื่อนไขไว้ว่า ห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพของชุมชนที่อยู่ตามแนวชายแดน อยู่ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น แสดงว่ามีการสมรู้ร่วมคิดที่จะขายแผ่นดินให้กัมพูชา เพราะรู้อยู่แล้วว่าเขมรพวกนี้จะไม่ย้ายออกไป ถ้าจะให้ย้ายออกไป เอ็มโอยูต้องระบุชัดเจนว่าต้องผลักดันชุมชนเขมรออกไปก่อนที่จะร่างเอ็มโอยู 43 เพราะฉะนั้น เห็นได้ชัดว่าขบวนการขายชาติมีมาตลอด จะเริ่มมาจากใครไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ เริ่มจากกระทรวงการต่างประเทศมีการรู้เห็นเป็นใจจากรัฐบาลทุกชุด และร่วมมือกับทหาร ตชด.บางคนที่จะเอาพื้นที่ชายแดนมาทำมาหากิน
นายสนธิกล่าวต่อว่า หานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยึดหลักสันปันน้ำตามที่พูด จะต้องบอกว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหารเป็นของไทย เขมรไม่มีสิทธิยื่นจดทะเบียนเป็นมรดกโลก ถ้าเขมรยื่นให้นายสุวิทย์ คุณกิตติ เซ็น นายอภิสิทธิ์จะต้องบอกนายสุวิทย์ว่าเซ็นไม่ได้ เพราะเรายึดสันปันน้ำ 4.6 ตร.กม.เป็นของไทย แต่นายอภิสิทธิ์กลับบอกให้นายสุวิทย์เซ็น แสดงว่าสมรู้ร่วมคิดกับเขมร แล้วมาโกหกเราว่ายึดสันปันน้ำ แต่ที่จริงไม่ได้ยึด
นายสนธิย้ำว่า เหตุที่รัฐบาลชุดนี้ไม่ยกเลิกเอ็มโอยู 2543 ก็เพราะมองเห็นผลประโยชน์ทางทะเลที่จะตามมา นายฮุนเซนก็รู้ว่านักการเมืองไทยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ก็เลยเอามาล่อให้คงเอ็มโอยู 2543 ต่อไป แล้วรัฐบาลไทยก็มีแต่ท่องว่าเอ็มโอยู 43 ไม่ทำให้เสียดินแดน เพราะฉะนั้นจึงสามารถพูดได้ว่า รัฐบาลนี้ถือโอกาสเข้ามาสวมตอผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น ดังนั้น การที่เราออกมาต่อสู้ครั้งนี้ จึงไม่มีการต่อสู้ครั้งไหนที่จะยิ่งใหญ่เท่าการต่อสู้เพื่อปกป้องแผ่นดินไทย และเราต้องสู้เพื่อไม่ให้เสียชาติเกิด