“สนธิ” ย้ำชัด “เจิมศักดิ์” โฆษกปกป้อง ปชป.ไม่กล้าแตะน้ำมันปาล์ม-ทุจริตสนามบิน ส่วน “อัญชะลี” ไม่กล้าขึ้นเวทีต้องตอบ ปชช.เองว่าสนิทกับ ส.ส.ปชป.-วัฒนา จึงไม่กล้าด่าเขมร ส่วน “สมณะจันทร์” พูดขัดแย้งหลักการต่อสู้ พธม. ยืนยันไม่มีทางแตกกับ “จำลอง” เพราะสู้เพื่อส่วนรวม และยึดหลักความจริง อัด “มาร์ค” จอมสร้างภาพ โกหก หลอกต้มคนไทยทั้งประเทศ ตัดหางปล่อยหาก ก.ม.ม.อยากส่งคนลงเลือกตั้ง มุ่งมั่นเดินหน้ารณรงค์ “โหวตโน” พิสูจน์จิตวิญญาณแนวร่วมไม่เอานักการเมืองเลว
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง “นายสนธิ ลิ้มทองกุล” ให้สัมภาษณ์
นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวในรายการ “ตอบโจทย์ข่าว” ออกอากาศทางไทยพีบีเอส กล่าวว่า กรณีการกล่าวพาดพิงของนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นั้นเป็นสิทธิของนายเจิมศักดิ์ที่จะพูด ตนอยากจะบอกว่าธรรมชาติของเสือ ถ้ามันบาดเจ็บ มันก็วิ่งเข้าป่าไปเลียแผล รอการแก้แค้น ถ้าเป็นหมาถูกเตะก็จะร้องเอ๋ง ส่วนที่นายเจิมศักดิ์พูดจะเปรียบเทียบใครเป็นเสือ ตนไม่ทราบ นายเจิมศักดิ์อาจจะเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง ตอนนั้นรายการของนายเจิมศักดิ์ถูกถอดก็ออกมาโวยวาย เมื่อเทียบกับรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ตนไม่โวยวาย แต่สู้ ไม่ใช่โดนอะไรก็แหกปากร้องเรียกให้คนมาสนใจ แต่เราต้องหาวิธีทำในสิ่งที่เราเชื่อ เมื่อเราถูกปิดกั้นก็ต้องหาวิธีทำรายการต่อไปตามที่เราเชื่อว่าเป็นการให้ปัญญาคน เราไม่โวยวายว่าถูกกลั่นแกล้ง ตอนนั้นทาง อสมท สั่งปิดรายการหาว่าผมพาดพิงสถาบันฯ เหตุมาจากจดหมายเรื่องลูก แกะหลงทาง ตอนนั้นถือว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีอำนาจ ตนไม่ต่อต้าน แต่จะหาวิธีเอาความรู้ให้ประชาชนให้ได้ โดยการไปจัดที่หอประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดที่สวมลุมพินี แต่ตนจะไม่ออกมาโวยวายเด็ดขาด
ส่วนกรณีที่บอกว่าแกนนำพันธมิตรฯ ออกมาพูดซ้ำๆ ใครขัดก็ไม่ได้ มีการใส่สีตีไข่ นายสนธิกล่าวว่า นายเจิมศักดิ์ชอบใช้วาทกรรมว่าใส่สีตีไข่ แต่ไม่เคยบอกหรือยกตัวอย่างว่าใส่สีตีไข่เรื่องอะไร นายเจิมศักดิ์เข้าใจบทบาทตนเองผิด เข้ามาอยู่ในแวดวงนักวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ มาเป็นสื่อมวลชน แต่ไม่ได้สอนอะไรให้กับประชาชนเลย ถ้านายเจิมศักดิ์เป็นนักวิเคราะห์ และสื่อมวลชน ตอนนี้ออกมาบอกว่าเราใส่สีตีไข่ ใครทักท้วงก็ไม่ได้ ถือว่าเป็นการแสดงภาพของโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีสิทธิ์มาว่าพันธมิตรฯ เพราะไม่เคยเอาเรื่องต่างๆมาพูด เช่น เรื่องเขมร บอกว่าไม่พูดเพราะศึกษาข้อมูลมาไม่พอ ปล่อยให้พวกเทพเขาพูดกัน นี่เป็นการประชดประชัน จะบอกว่าศึกษามาไม่พอไม่ได้ กรณีนี้ฝ่ายไทยยึดหลักสันปันน้ำ เขมรยึดแผนที่หนึ่งต่อสองแสน เมื่อลากเส้นตามแผนที่ลงทะเลไปยังขุมพลังงาน จะทำให้ไทยเสียเปรียบ จากเป็นเจ้าของพื้นที่ 3 ส่วน 5 ก็จะเหลือหนึ่งส่วนห้า มีอีกหลายเรื่องทำไมนายเจิมศักดิ์ไม่เอามาพูดบ้าง อย่างเรื่องน้ำมันปาล์ม เรื่องการทุจริตสนามบินสุวรรณภูมิ แต่มักจะชอบพูดว่านายอภิสิทธิ์ดีกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ถ้ามีประเด็นที่นายอภิสิทธิ์บริหารบ้านเมืองใช้ไม่ได้ ก็ต้องกล้าออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ตอนนี้ถือว่านายเจิมศักดิ์ ก็คือโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ อย่างไม่เป็นทางการ และเมื่อพรรคประชาธิปัตย์เข้ามามีอำนาจ นายเจิมศักดิ์ก็ได้เวลาโทรทัศน์ ได้เวลาวิทยุ
กรณีของ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก นายสนธิกล่าวว่า การต่อสู้กับ พ.ต.ท.ทักษิณในครั้งแรก มีการสร้างแนวร่วม คนที่เกลียดทักษิณก็มีหลายคนที่เข้ามาห้อยโหนในขบวนการต่อสู้ พอนายอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกฯ พวกนี้ก็เชียร์ ตนก็เคยชอบนายอภิสิทธิ์ แต่ภายหลังมาจับได้ว่าเขาโกหกหลายเรื่อง ในเรื่องเขมรทุกคำพูดโกหกหมด เรื่องปฏิญญา 9 ข้อ ตอนมาเป็นรัฐบาลใหม่ๆ ก็โกหกหมด ไม่ได้ทำเลย ว่าจะแก้การเมืองล้มเหลว จะแก้เรื่องคอร์รัปชัน ก็ไม่ได้ทำ ทีนี้พันธมิตรส่วนหนึ่งอยู่กับเรากับเอเอสทีวี อย่าง น.ส.อัญชะลี ก็อยู่กับเรา แต่ตอนนี้ไม่มาขึ้นเวที เขาก็ต้องตอบคำถามประชาชน แต่เขาตอบไม่ได้ เพราะว่ามีความสนิทกับนายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.กระทรวงไอซีที เขาไปนั่งหน้าห้องรมว.กระทรวงไอซีที เขารู้จักกับนายวัฒนา อัศวเหม เรียกว่าคุณลุง จะมาขึ้นเวทีพันธมิตรฯ วิพากษ์วิจารณ์พรรคประชาธิปัตย์ วิจารณ์นายฮุนเซน ก็จะกระทบลุงวัฒนาที่หนีคดีไปอยู่เขมร เรื่องนี้คุณอัญชะลีต้องตอบประชาชน แต่กลับเข้าไปใช้เฟซบุ๊กเขียนข้อความกระทบกระทั่งคนอื่น ก็ถูกเขาตอบโต้เอา
ส่วนเรื่องสมณะจันทร์ นายสนธิกล่าวว่า ท่านชอบขึ้นเวทีแล้วก็บอกว่ามาชุมนุมกันทำไม การชุมนุมมันกีดขวางการจราจร ซึ่งตรงกันข้ามกับ พล.ต.จำลอง ตรงข้ามกับสิ่งที่พวกเราทำ ถ้าใครขึ้นเวทีปราศรัย แล้วไปพูดตรงข้ามกับที่กลุ่มผู้ชุมนุมตั้งเป้าหมายอยู่ ก็ปล่อยให้ขึ้นเวทีไม่ได้ ส่วนที่บอกว่าตนกับ พล.ต.จำลองจะแตกกัน นายสนธิกล่าวว่า ก็ต้องรอดูต่อไป การแตกกันกับ พล.ต.จำลอง มีเหตุผลเดียว คือ พล.ต.จำลองเปลี่ยนไป หรือตนเปลี่ยนไป เราผูกพันกันที่อุดมการณ์ที่เหมือนกัน มีความเห็นร่วม ใช้ธรรมอันเดียวกัน คือ ความจริง การต่อสู้ครั้งนี้ พล.ต.จำลองออกมาคนแรกบอกว่าเรื่องเสียดินแดนยอมไม่ได้ ตนก็ออกมาร่วมต่อสู้เพราะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นเรื่องทำเพื่อส่วนรวม ตนเชื่อใจ พล.ต.จำลอง 100% ตนวิเคราะห์เรื่องราวที่เกิดขึ้น นายกฯ ไปรับปากว่าไม่เสียดินแดน แต่ตอนหลังออกมาบอกว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน ไม่สามารถให้ตรรกะที่ถูกต้อง ไม่สามารถให้เหตุผลได้ว่าทำไมถึงไม่ยกเลิกเอ็มโอยู 2543 ตอนนี้นายกฯ ไม่กล้ายกเลิก อ้างแต่ว่าเอ็มโอยูมีประโยชน์
นายสนธิกล่าวว่า เคยพบพูดคุยกับนายอภิสิทธิ์ 3-4 ครั้งตอนที่เป็นนายกฯ ใหม่ๆ คุยกันเป็นการส่วนตัวก็พูดคุยดี เหมือนเข้าใจทุกเรื่อง แต่พอลับหลังไม่ทำสักเรื่อง ตนเข้าใจว่านายอภิสิทธิ์เป็นคนที่พยายามพูดจาให้ดูดี เคยไปพูดกับนายอานันท์ ปันยารชุน นพ.ประเวศ วะสี ให้มาช่วยกันทำปฏิรูปการเมืองแล้วจัดงบประมาณให้ หลังจากนั้นก็ทิ้งไป วันนี้เขาไม่พูดถึงเรื่องปฏิรูปการเมืองเลย ไม่เพียงแค่นายอภิสิทธิ์จะต้มคนแก่ แต่นายอภิสิทธิ์ต้มคนไทยทั้งประเทศ โดยมีนายเจิมศักดิ์เป็นหัวหอกออกมาปกป้องนายอภิสิทธิ์ ใครมาโจมตีก็จะโดนกระบวนการของนายอภิสิทธิ์
ส่วนกรณีของพรรคการเมืองใหม่ นายสนธิกล่าวว่า พรรคการเมืองใหม่มีที่มาคือ หลังจากการชุมนุม 193 วัน ตนอยากกลับมาทำหนังสือพิมพ์ทำสื่อเหมือนเดิม ไม่อยากตั้งพรรค แต่มีคนอยากตั้งพรรคคือนายสุริยะใส กตะศิลา นายสมศักดิ์ โกศัยสุข เขาอยากตั้งพรรค แต่ตนค้านมาตลอด ตนรู้สึกว่าอยากจะอยู่กับสื่อ และพัฒนาต่อไป อยากสัมผัสเด็กๆ รุ่นหลัง อบรมให้ความรู้ แต่เมื่อแกนนำพันธมิตรฯ 5 คนคุยกัน และที่ประชุมใหญ่พันธมิตร 70-80% อยากให้ตั้งพรรคการเมือง พอตั้งแล้ว จะเอาใครเป็นหัวหน้าพรรค ก็มีหลายคนถูกเสนอชื่อ ก็คงมีการยกมือแล้วสู้กัน ในที่สุดแล้วก็ให้ตนเป็นหัวหน้าพรรค ทุกคนก็ยอม ตนเห็นว่าเมื่อจำเป็นก็ต้องเป็น โดยจะเป็นชั่วคราว ไม่ลงเลือกตั้ง แล้วก็ลาออก ส่วนที่เคยบอกว่าจะไม่รับตำแหน่งทางการเมือง นายสนธิกล่าวว่าตำแหน่งทางการเมือง คือ รัฐมนตรี ที่ปรึกษา หรือเลขาฯ นายกฯ แต่การเป็นหัวหน้าพรรคเพียงชั่วคราวแล้วลาออกนี่ไม่ใช่ เป็นเพียงตำแหน่งด้านการบริหาร ทำให้มีสำนักงาน มีหน่วยงาน โดยตนอยู่ในตำแหน่งไม่ถึงปี
ส่วนเรื่องการโหวตโน ใช้สิทธิลงคะแนน แต่ไม่ประสงค์เลือกใคร แกนนำพันธมิตรได้มีการสรุปกันว่า ถ้าการเมืองระบบเป็นแบบนี้ เลือกตั้งได้อัปรีย์ไปจัญไรมา ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ก็ได้บอกนายสมศักดิ์ ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ โดยเป็นตัวแทนที่พันธมิตร ส่งไปเป็นหัวหน้าพรรค การมีมติให้โหวตโนเกิดจากการประชุมกันของแกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 1 รุ่น 2 และคณะกรรมการปกป้องแผ่นดิน 17 คน มีมติให้โหวตโน เพื่อแสดงความรู้สึกว่าไม่เห็นด้วยกับระบบการเมืองปัจจุบัน คนหาว่าตนเป็นเถ้าแก่สั่ง ไม่รู้เรื่องเลย ซึ่งนายสมศักดิ์ก็เห็นด้วยกับการไม่ส่งคนลงเลือกตั้ง แต่บอกว่าจะไปพูดกับสมาชิก และกรรมการบริหารก่อน ซึ่งการประชุมสมาชิกพรรคมีการลงคะแนนเสียง 90% ให้โหวตโน แต่นายสมศักดิ์กลับถือว่าเป็นการรับฟังความคิดเห็น แล้วบอกว่าตามกฎหมายแล้วกรรมการบริหารพรรคมีอำนาจตัดสินใจ ตนก็จะไม่ยุ่งเลย ถ้าพรรคเดินสวนทางกับพันธมิตรฯ ก็ไม่เป็นไร พันธมิตรฯ จะเดินหน้าโหวตโนทุกพรรคไม่เว้นแม้แต่พรรคการเมืองใหม่
นายสนธิกล่าวว่า สาเหตุที่พรรคอยากลงเลือกตั้ง เพราะมีบางคนอยากลงปาร์ตี้ลิสต์ โดยคิดว่าการเลือกตั้ง ส.ก.-ส.ข.กทม. ได้มาแสนกว่าเสียง ก็คิดว่าถ้าเลือกตั้งทั่วประเทศ น่าจะมีสัก 1-2 ล้านเสียง ปาร์ตี้ลิสต์อันดับ 1-5 ก็น่าจะได้กัน ตอนนี้ขยันหาเสียง มาโจมตีพันธมิตรฯ เพราะประธานสาขาพรรคบางคนอยากลงสมัคร ส.ส. แต่เรามองภาพใหญ่มากกว่า ว่าการส่งปาร์ตี้ลิสต์แค่ 4-5 คน ก็จะไปอยู่ในวังวนน้ำเน่าเหมือนเดิม เราอยากให้ลงเลือกตั้งงวดหน้า ตอนนี้ให้มารณรงค์โหวตโนด้วยกัน แต่เขาไม่รอ ก็เรื่องของเขา
การโหวตโน คือ ออกไปแสดงสิทธิว่าไม่ชอบทุกพรรคการเมือง นัยคือเราไม่ชอบระบบการเมืองปัจจุบัน ที่เป็นบริษัทพรรคการเมืองจำกัด ส.ส.เข้าไปเลือกคนเป็นนายก แล้วก็ยกมือผ่านนโยบายของตนเอง อยากให้คนที่คิดเหมือนเราไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรหรือไม่ มารวมเป็นพลังโหวตโนไม่ต่ำกว่า 5 ล้านคน จะมีผลทางการเมือง มีอิทธิพลต่อปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคการเมือง แต่การจะมารณรงค์เพื่อขอเสียงโหวตโนให้พรรคการเมืองใหม่ทำไม่ได้ เพราะพรรคการเมืองใหม่บางคนไม่ชอบ
นายสนธิกล่าวว่า การปฏิรูปการเมืองโดยนายอานันท์ นพ.ประเวศ เป็นการใช้ชื่อเสียงบุคคล แต่การรณรงค์โหวตโนเราใช้จิตวิญญาณ แสดงออกว่าเราไม่ชอบ เราบอยคอต ไม่จำเป็นต้องเป็นเพื่อนกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นพันธมิตรฯ แต่มีความคิดตรงกันที่จะบอยคอต ก็จะหนักแน่นมีอิทธิพล มากกว่าการขายชื่อคนให้มาปฏิรูปการเมืองที่ทำได้แค่จัดสัมมนาระดมความคิดเห็น