xs
xsm
sm
md
lg

ไทยบอกไม่เสียเปรียบ แต่ตั้งรับ-รอเจรจากับ “ฮุนเซน” ทำไม!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

ผ่านมากว่าสัปดาห์แล้ว ที่เหตุการณ์ปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาเริ่มเกิดขึ้นมาตั้งแต่วันศุกร์ที่ 22 เมษายน ยังไม่ยุติ ก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของทหารและชาวบ้านเพิ่มขึ้นทุกวัน และที่น่าสังเกตก็คือ นอกจากยังไม่ยุติหรือเบาบางลงแล้ว ในทางตรงข้ามมีแนวโน้มที่จะขยายแนวรบเพิ่มพื้นที่ปะทะมากขึ้นไปอีก
 

จากเดิมที่แนวปะทะเริ่มขึ้นที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย ชายแดนด้านอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ จากนั้นก็ขยายแนวรบออกมาที่จังหวัดบุรีรัมย์ จนกระทั่งล่าสุดขยายมาที่ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษบริเวณปราสาทพระวิหาร

ส่วนสาเหตุนาทีนี้ไม่ต้องมาอธิบายกันแล้ว เพราะเข้าใจตรงกันว่าเป็นเพราะ “ฮุนเซน” ผู้นำกัมพูชาต้องการสร้างสถานการณ์เพื่อดึง “ประเทศที่ 3” หรือองค์กรระหว่างประเทศเข้ามาเป็น “กันชน” ขณะเดียวกัน ตัวเองก็ถือว่าโอกาสรุกล้ำเข้ามายึดพื้นที่เพื่อสร้างความได้เปรียบก่อนการเจรจา หรืออย่างน้อยก็มีการอ้างสิทธิ์ดินแดนของไทยเอาไว้ก่อน

แม้เป็น “เล่ห์เหลี่ยม” รอบจัดแบบพื้นๆ ซึ่งไม่ว่าใครก็จับได้ไล่ทันอยู่แล้ว แต่ก็น่าแปลกที่ฝ่ายรัฐบาลไทยที่นำโดยนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รวมไปถึงผู้นำเหล่าทัพจะรู้เท่าทันแผนการชั่วดังกล่าวของฝ่ายผู้นำกัมพูชา แต่ก็กลายเป็นว่าไทยเป็นฝ่ายอดกลั้นอดทน มีการตอบโต้อยู่ใน “วงจำกัด” พร้อมทั้งรอให้อีกฝ่าย “มานั่งล้อมวง” เจรจาแบบทวิภาคีตลอดเวลานับตั้งแต่การปะทะเริ่มขึ้นจวบจนถึงวันนี้

การเปิดฉากโจมตีทหารทหารไทยตามแนวชายแดนดังกล่าวหากพิจารณาจากสถานการณ์จนถึงวันนี้มีแนวโน้มรุนแรงขยายวงมากขึ้น ทั้งระดับการโจมตีด้วยอาวุธหนัก และที่น่าสนใจก็คือเป็นการโจมตีเข้าใส่เป้าหมายพลเรือนมากขึ้น เพราะล่าสุดมีการโจมตีบ้านเรือนของชาวบ้านที่อยู่ลึกเข้ามาจากแนวปะทะ นอกเขตชายแดนลึกเข้ามากว่า 20 กิโลเมตร ทำให้ชาวบ้านที่คิดว่าอยู่ในเขตปลอดภัยแล้วต้องเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ บ้านเรือนเสียหาย อย่างที่ไม่สมควรเกิดขึ้นอย่างยิ่ง

ที่ผ่านมาทั้งรัฐบาลหากไล่เรียงตั้งแต่นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กษิต ภิรมย์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่างออกมาย้ำเป็นเสียงเดียวกันว่า ไทยไม่ได้เสียเปรียบกัมพูชา โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีมักจะกล่าวย้ำอยู่เสมอว่า “จะตอบโต้ตามความเหมาะสม” และเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชาหันมา “นั่งล้อมวง” ลงมาเจรจา

ขณะที่ผู้นำกองทัพก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก แม้ว่าจะออกมาในทางแข็งกร้าวอยู่บ้าง แต่ยังยืนตอบโต้อยู่ในที่มั่นเป็นหลัก มีเพียง ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เท่านั้นที่ออกตัวมาตั้งแต่ต้นว่าสาเหตุที่ตกอยู่ใน “สภาพแบบนี้” เนื่องจากติด “พันธสัญญา” ทำให้ขยับได้ลำบาก ซึ่งให้เดาความหมายได้ไม่ยากก็คือยังติดอยู่ที่บันทึกความเข้าใจที่ทำเอาได้ระหว่างสองฝ่ายที่รู้จักกันใน “เอ็มโอยู 43”

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาตามความหมายนั่นเป็นเพียงข้ออ้าง เพื่อออกตัวและ “กันตัวเอง” ออกมาเพื่อปัดความรับผิดชอบเท่านั้น

เพราะหากพิจารณาจากสถานการณ์ และยุทธวิธีในการรบ และการรักษาความปลอดภัยทั้งด้านชีวิตและทรัพย์สินของชาวบ้านและทหารแล้ว ในเมื่อเรายืนยันว่า “ไม่ได้เสียเปรียบ” ก็ต้องแสดงออกมาให้เห็น อย่างน้อยก็ต้องรุกไปข้างหน้าเพื่อรักษาเขตปลอดภัย ไม่ใช่รักษาที่มั่น ตอบโต้ตามสมควร แล้วนั่งรอเจรจา ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลานั้นจะต้องสังเวยชีวิตและอพยพหนีภัยกันอีกกี่ครั้ง

จริงอยู่การรบสมัยใหม่คงไม่อาจรุกรบเพื่อยึดครองเอาบ้านเมือง หรือดินแดนฝ่ายตรงข้ามได้อย่างเปิดเผย แต่ขณะเดียวกัน ในเมื่อเชื่อว่ามีศักยภาพที่เหนือกว่า ก็ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์ ในการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ให้ได้ ไม่ใช่ปล่อยให้ชาวบ้านต้องหลบหนีภัยการสู้รบลึกเข้ามาเรื่อยๆ

ดังนั้น หากพิจารณาจากสถานการณ์สู้รบกับฝ่ายตรงข้ามตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งถึงขณะนี้ถือว่ายังไม่มีความประทับใจฝ่ายผู้นำกองทัพที่ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์อีกทั้งยังไม่อาจพิสูจน์ให้เห็นได้ว่า “เราไม่เสียเปรียบ” ได้อย่างไรบ้าง เพราะในความเป็นจริงแล้วยังมีชาวบ้านที่ถูกถล่มอยู่ในเขตปลอดภัยเป็นรายวัน

การรบที่รอเจรจาแบบนี้ เชื่อว่าหลายคนคงมองเห็นตรงกันว่า มันไม่มีประโยชน์ เพราะมันไม่ได้เปรียบ เสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินไม่คุ้มค่า ขณะเดียวกันยังไม่มีหลักประกันในอนาคตอีกว่าฝ่ายตรงข้ามจะก่อเหตุสร้างความเสียหายขึ้นมาเมื่อใดอีก!!


กำลังโหลดความคิดเห็น