ผ่าประเด็นร้อน
เหตุการณ์ปะทะกันตามแนวชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งฝ่ายหลังเริ่มต้นขึ้นมาก่อนเพื่อต้องการดึงประเทศที่ 3 เข้ามาแทรกแซง ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ และครั้งล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ 22 เมษายนและยังเกิดขึ้นต่อเนื่องจนถึงขณะนี้ และที่น่าจับตาก็คือมีแนวโน้มที่ฝ่ายกัมพูชาจะขยายแนวปะทะออกไปเพิ่มขึ้นอีก เพราะเมื่อวันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมาก็ได้เริ่มเปิดฉากยิงถล่มเข้าใส่ฝ่ายไทยที่ชายแดนด้านปราสาทพระวิหาร จังหวัดศรีสะเกษแล้ว รวมไปถึงเป้าหมายพลเรือนเพิ่มความเสียหายมากขึ้นไปอีก
การปะทะที่เกิดขึ้นรวมไปถึงการประกาศอย่างแข็งกร้าวของฝ่ายกัมพูชาว่าจะไม่ยอมเจรจากับฝ่ายไทยในทุกระดับ ซึ่งเมื่อวานนี้(27 เมษายน) ผู้นำกัมพูชา ฮุนเซน ก็ออกมาเน้นย้ำอีกครั้งว่าปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจะต้องให้องค์การระหว่างประเทศ เช่น องค์การสหประชาชาติ หรือ อาเซียนเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยเท่านั้น
ความหมายก็คือ การเจรจาระดับ “ทวิภาคี” ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง และการปะทะระหว่างไทย-กัมพูชาที่เกิดขึ้นซ้ำซากย่อมหมายความว่าบันทึกความเข้าใจเรื่องการปักปันเขตแดนทางบกระหว่างสองประเทศ(เอ็มโอยู 2543) ที่ลงนามกันในยุคที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล มีสาระสำคัญเรื่องการเจรจาสร้างความเข้าใจระหว่างกัน และห้ามทั้งสองฝ่าย “ละเมิด” ข้อตกลง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ยังมีปัญหาห้ามทั้งสองฝ่ายปลูกสร้าง อพยพชุมชนในลักษณะเปลี่ยนแปลงสภาพเดิมใช้การไม่ได้ผลโดยสิ้นเชิง
ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พยายามยึดมั่นในเอ็มโอยู ดังกล่าว แม้ว่าจะถูกมองว่าไทยมีความเสียเปรียบ ส่อเสียอธิปไตย โดยเฉพาะการไปยอมรับแผนที่ของกัมพูชาในอัตราส่วน หนึ่งต่อสองแสน ทำให้ครอบคลุมพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตร รวมไปถึงปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย ที่ฝ่ายกัมพูชากำลังอ้างสิทธิ์ เป็นเจ้าของอยู่ในขณะนี้อยู่ด้วย
สรุปให้เข้าใจชัดๆก็คือ เมื่อมีการปะทะ มีการละเมิดโดยฝ่ายกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง และกัมพูชาไม่ยอมเจรจาแบบทวิภาคี มิหนำซ้ำยังทำให้เสี่ยงต่อการสูญเสียอธิปไตยเพิ่มขึ้นไปอีก มันก็แสดงให้เห็นว่าเอ็มโอยู 43 ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง และสิ่งที่รัฐบาลไทยต้องทำก็คือ “ฉีกทิ้ง”ทันที เพราะถือว่าไม่มีความหมายอีกต่อไปแล้ว
อย่างไรก็ตามเมื่อวานนี้( 27 เมษายน) นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ยังออกมาปกป้องเอ็มโอยูของตัวเองอีกครั้ง ยังเชื่อว่าจะต้องมีการเจรจาแบบทวิภาคีเกิดขึ้น ภายใต้เอ็มโยยู 43 โดยว่าฝ่ายไทยไม่ได้ “ล้มโต๊ะ” เจรจา โดยอ้างว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มีภารกิจต้องเดินทางไปเยือนประเทศจีน
แต่จากแถลงชี้แจงของโฆษกกองทัพบก พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ระบุว่าจะไม่มีการเจรจาเกิดขึ้น และระบุว่าที่ผ่านมาทางฝ่ายกัมพูชายังได้ออกข่าวบิดเบือนว่า “ฝ่ายไทยเจรจาขอยอมแพ้” และย้ำว่าหากจะมีการเจรจาฝ่ายกัมพูชาก็ต้องหยุดยิงทันที
ความหมายโดยสรุปในเวลานี้ถือว่าเอ็มโอยู 43 ล้มเหลว ใช้ไม่ได้ผล เพราะฝ่ายตรงข้ามไม่ได้เคารพข้อตกลงที่ได้ทำเอาไว้ เมื่อผลออกมาแบบนี้ และสิ่งที่รัฐบาลไทยต้องทำต้องทำก็คือยกเลิกเอ็มโอยูดังกล่าวในทันที เนื่องจากเป็นพันธนาการรัดคอตัวเอง ขณะเดียวกันก็ถึงเวลาแล้วที่ไทยจะต้องเปิดเกมรุกเคลียร์พื้นที่ตามแนวชายแดนที่ยังมีปัญหาอยู่ทั้งหมดในคราวเดียวกัน เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบเอาไว้ก่อนจากนั้นก็ค่อยมาว่ากันใหม่ เพราะในที่สุดแล้วการยุติปัญหาจะต้องลงเอยกันที่การเจรจากันอยู่แล้ว ส่วนจะออกมาในรูปแบบไหน แบบทวิภาคี พหุพาคี หรือองค์การระหว่างประเทศเข้ามาไกล่เกลี่ยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ดังนั้นหากพิจารณาจากปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นส่วนสำคัญที่ทำให้กองทัพไม่สามารถตอบโต้ฝ่ายกัมพูชาได้อย่างเต็มที่ เป็นเพราะข้อตกลงที่ทำให้เราเสียเปรียบ แต่อีกด้านหนึ่งกลับกลายเป็นว่า นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับต้องการปกป้อง และหวังใช้เป็น “กลไก” ในการเจรจากับฝ่ายตรงข้าม ทางหนึ่งอาจเป็นเพราะแสดงให้เห็นว่ายังใช้ได้ผล ซึ่งผลที่ออกมามันก็ไม่ต่างจากการ “ดันทุรัง” แบบ “ดื้อตาใส” แต่ทำให้ไทยต้องเสียหายและเสียดินแดนนั่นเอง !!