"ปานเทพ"ระบุยุบสภาเท่ากับประเคนชัยชนะให้พรรคเพื่อไทย เปรียบเลือกตั้งมีของบูดกับของเน่า โหวนโนเท่ากับไม่เลือกทั้งสองอย่าง ด้าน "เทพมนตรี" ชี้โหวตโน สะเทือน ปชป. อย่างจัง เชื่อ "มาร์ค" ไม่ได้กลับเป็นนายกฯอีก ขณะที่"ดร.พิชาย" วอนอย่าขายอำนาจให้นักค้าอำนาจที่มากับการเลือกตั้ง ถึงเวลาาหยุดระบอบการเมืองชั่วด้วยการโหวตโน
วันที่ 21 เม.ย. 2554 บนเวทีปราศรัยการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า หากมีการรัฐประหารแล้วสืบทอดอำนาจ ใช้อำนาจเผด็จการในทางไม่ชอบ โกงชาติกินเมือง ประชาชนกลุ่มนี้อาจลุกขึ้นมาต่อต้านการรัฐประหารก็ได้ เพราะประชาชนกลุ่มนี้ต้องการปฏิรูปการเมืองไม่ใช่แค่เปลี่ยนอำนาจรัฐ
ทั้งนี้ ตามสถิติการเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่คู่แข่งพรรคเพื่อไทย ประกาศยุบสภาเท่ากับประเคนชัยชนะให้พรรคเพื่อไทยโดยเจตนา นักการเมืองไม่มีอะไรมากใครให้ผลประโยชน์มากก็ไปอยู่ฝ่ายนั้น การโหวตโนของเราเท่ากับสงวนสิทธิ์ของเรา เป็นหลักประกันไม่ว่านักการเมืองพรรคไหนขึ้นมา ต้องเตรียมเผชิญกับประชาชนผู้รักชาติทันที ประชาชนแค่ 2-3 แสนคนเคลื่อนขบวนอย่างมีเป้าหมาย ก็สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีมากถึง 10 ล้านเสียง
“เสียงโหวตโน บวกกับโนโหวตและบัตรเสีย ถ้าเราได้มากเกินครึ่งเราเป็นผู้เปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน เท่ากับเคลื่อนไหวระดับประชาชาติแล้ว แต่หากได้ 5-10 ล้านเสียง ก็เป็นตัวเปลี่ยนขั้วอำนาจ ทำให้มีอำนาจต่อรองกับรัฐบาลไม่ให้ทำชั่ว ถ้าหากได้แค่ 2 ล้านเสียง อย่าลืมตอนโค่นรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ นายสมัคร นายสมชาย ใช้คนไม่มากยังเปลี่ยนแปลงมาแล้วไม่รู้กี่หน อย่างไรก็ดีหากสมมุติได้แค่ 200 เสียงถือว่าคะแนนของเราที่หย่อนบัตรโหวตโน ถือว่าได้ชัยชนะแก่ตัวเอง ที่ไม่ได้ทำร้ายประเทศไทย”
นายปานเทพ กล่าวต่อว่า การปฏิรูปการเมืองต้องทำเพื่อประชาชนทุกกลุ่ม ไม่ใช่เพียงแต่พวกเราที่เคลื่อนไหวเท่านั้น ต้องทำเพื่อคนไทยทุกคน ประเทศเราสุ่มเสียงมากในระบอบการปกครอง มีบางกลุ่มคิดเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง ต้องการให้สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกลดอำนาจลง ถ้าเป็นอย่างนี้คนส่วนใหญ่ไม่ยอมแน่ เราไม่ปล่อยให้คนกลุ่มหนึ่งปฎิวัติ โดยที่เราไม่เห็นด้วย เพราะหากไม่มีกติกาสุดท้ายก็จะเกิดการเผชิญหน้าเข่นฆ่ากันอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
นายปานเทพ เปรียบการเลือกตั้งเป็นเมนูอาหาร ว่า เหมือนมีอาหารให้เราต้องเลือกในจานเดียวกัน ระหว่างเมนูหนึ่งเป็นของเน่า อีกเมนูหนึ่งเป็นของบูด แล้วมีมติให้คนทั้งห้องต้องเลือกชิ้นใดชิ้นหนึ่งเป็นประชาธิปไตย หากเลือกของบูดเราจะได้ใช้เมนูของบูดไปตลอดกาล หากเลือกของเน่าเป็นเสียงส่วนใหญ่ต่อไปเราจะได้ใช้เมนูของเน่าตลอดไป อย่างไรก็ดี หากเป็นคนมีปัญญาและรู้คิดได้ จะรู้ว่าทั้งเมนูของบูดและของเน่า เป็นอันตรายต่อร่างกายเรา เราขอไม่กินเลยทั้งจานนี้
ทั้งนี้ถ้าคนทั้งห้องตัดสินใจเลือกไปอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้เราเป็นคนส่วนน้อยแค่ 2-3 คน ใน100 คน ก็ยังถือว่าเราเป็นผู้ไม่ต้องการกินอาหารบูดหรือเน่าอยู่ดี อย่างน้อยเราก็ปลอดภัยตายช้ากว่าคนอื่น ถึงแม้คนส่วนใหญ่ในห้องยังไม่รู้ว่าเราคิดอะไร เราก็บอกว่าในเมื่ออาหารเป็นพิษ เราก็จะออกแบบจานใหม่ที่ไม่สกปรก มีเนนูใหม่อร่อยๆและดีต่อร่างกายให้เลือก โดยเราอาจเริ่มของเราคนเดียวแล้วบอกคนที่กินของบูดของเน่า ให้หันมากินสิ่งที่ดีมีประโยชน์ไม่ดีกว่าหรือ
นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการประวัติศาสตร์ กล่าวเสนอแนะให้พรรคการเมืองใหม่ ใช้อำนาจความเป็นพรรคการเมืองให้เป็นประโยชน์ด้วยการทำป้ายโหวตโน ตั้งเทียบกับพรรคการเมืองอื่นๆ ให้เต็มสองข้างถนน พร้อมกับเชื่อว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภาคงไม่ได้กลับมาเป็นนายกฯอีกแน่ เพราะโหวตโนสะเทือนพรรคประชาธิปัตย์มากเป็นพิเศษ ทำให้ต้นทุนพรรคเพื่อไทยสูงขึ้น จึงเป็นภาพบรรดาแม่ยกพ่อยกประชาธิปัตย์ออกมาโวยวายในรูปแบบต่างๆ
“เราต้องพยายามผลักดันให้ ให้คนที่ถูกกลยุทธของนักการเมืองจนทำให้เกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวก มารวมกันเห็นถึงระบบการเมืองไทยที่ล้มเหลว จำต้องปฏิรูปการเมืองใหม่ด้วยการโหวตโนกับพวกเรา”
ดร.พิชาย รัตนดิรก ณ ภูเก็ต กล่าวว่า ปัญหาสังคมไทยส่วนหนึ่งเกิดจากการซื้อขายเสียง ทำกันทุกยุคจนคนมองเป็นเรื่องปกติ ทำให้เมื่อใดที่มีการเลือกตั้งจะต้องมีการซื้อเสียง การเลือกตั้งสัมพันธ์กับขายเสียงจนแยกออกจากกันไม่ได้ ส่งผลให้การเลือกตั้งไร้ความหมายต่อระบอบประชาธิปไตย
“การซื้อขายเสียงเกิดจากนายทุนท้องถิ่นนายทุนพรรค ที่อยากได้อำนาจ เกิดจากความอ่อนแอของประชาชน ที่ไม่รู้เรื่องการเมืองว่าสัมพันธ์กับชีวิตของเขาอย่างไร ประกอบกับสังคมไทยขี้เกรงใจพี่น้อง ให้ความสำคัญกับเพื่อนฝูงมากกว่ากติกาสังคม เมื่อใดก็ตามที่เราขายเสียง เท่ากับขายอำนาจอธิปไตยของเราเองให้กับนักค้าอำนาจทั้งหลาย แล้วนักค้าอำนาจจะรวบรวมอำนาจอธิปไตยของเราไปคอรัปชั่นต่อ ดังนั้น อย่าขายอำนาจตัวเองให้นักค้าอำนาจที่มากับการเลือกตั้ง”
ดร.พิชาย กล่าวต่อว่า กระบวนการซื้อขายเสียงอีกด้านหนึ่งเกิดจากการไร้น้ำยาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่วิเคราะห์การเลือกตั้ง การทุจริต ผิดทั้งหมด ทำให้ป้องกันการทุจริตไม่ได้ ถึงเวลาที่ประเทศไทยที่เราต้องคิดอย่างจริงจัง แล้วลงมือปฎิบัติ หยุดระบบการเมืองชั่วร้าย หยุดพรรคการเมืองทำลายแผ่นดิน สั่งสอนนักการเมืองให้สำนึก ว่า ไม่สามารถซื้ออำนาจอธิปไตยจากประชาชนได้อีกต่อไป เราจะต้องไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยแสดงเจตจำนงค์ปฏิรูปการเมืองด้วยการกาในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน