กกต.เปิดทางต่างชาติสังเกตการณ์เลือกตั้ง เชื่อ ฝีมือเข้าขั้นระดับมาตรฐานสากล พร้อมขู่เตรียมใช้ กม.เลือกตั้ง จัดการมวลชนขั้นเด็ดขาด ด้าน “ประพันธ์” เผย ระเบียบห้ามใช้สถาบันเบื้องสูงหาเสียงคลอดภายใน เม.ย.นี้ ปัดรับลูกนายกฯ อ้างคิดก่อน “มาร์ค” เสนอชี้หากผู้สมัครพรรค ฝ่าฝืนมีสิทธิเจอทั้งแดงทั้งยุบพรรค ขณะที่ “สดศรี” ระบุ เตรียมเชิญพรรคการเมือง 2 พ.ค.นี้ หารือค่าใช้จ่ายเลือกตั้ง
วันนี้ (18 เม.ย.) คณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้จัดประชุมชี้แจงมอบนโยบายแก่ประธานกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด (กกต.จว.) ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด (ผอ.กต.จว.) และผู้อำนวยการศูนย์การเรียนรู้การเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่ 1-5 เพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดการเลือกตั้ง ส.ส.โดย นายอภิชาต กล่าวตอนหนึ่งว่า นายกฯประกาศชัดเจนว่า จะยุบสภา เลือกตั้งแน่นอน กกต.ก็ต้องเตรียมพร้อมให้เต็มที่ เรื่องการแบ่งเขตก็จะนำข้อมูลที่จังหวัดส่งมาเข้าที่ประชุม กกต.ในสัปดาห์นี้ คิดว่า คงพิจารณาให้เสร็จลุล่วงใน 3 วันนี้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีการวิจารณ์ว่า เลือกตั้งจะรุนแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา รวมทั้งคาดว่าจะมีการทุจริตการเลือกตั้งทุกรูปแบบเพื่อให้ตนเองชนะ จึงอยากเน้นให้ผู้ปฏิบัติยึดมั่นหลักกฎหมาย ซื่อสัตย์สุจริต วางตัวเป็นกลางทางการเมือง ไม่เลือกปฏิบัติ ให้คิดว่า นักการเมืองมาแล้วก็ไป แต่ตัวเองเป็นข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐต้องอยู่ทำงานต่อ
นอกจากนี้ อยากให้ใช้หลักการขอความร่วมมือกับส่วนราชการต่างๆ ในพื้นที่ ไม่ใช่ใช้อำนาจสั่งการ เพราะอาจทำให้เกิดความบาดหมาง แต่ครั้งนี้กฎหมายมีการเปลี่ยน หากเจ้าหน้าที่รัฐที่กกต.ขอความร่วมมือไม่ปฏิบัติตาม ก็จะถือว่าทำผิดวินัยร้ายแรง และอยากให้เน้นประชาสัมพันธ์ในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงระบบการเลือกตั้ง เพื่อให้การลงคะแนนของผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่เกิดปัญหาบัตรเสียเกินกว่าเป้าที่ กกต.กำหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 3 รวมทั้งประชาชนที่รับเงินซื้อเสียงหากมาแจ้งภายใน 2 วันนับแต่รับเงินก็จะไม่ต้องรับโทษ
“เลือกตั้งครั้งนี้สำคัญกับประเทศอย่างมากทั้งภายในภายนอก เฝ้ามองการทำงานของ กกต.อยู่ วันนี้ (19 เม.ย.) เอกอัครราชทูตเยอรมันประจำประเทศไทย ก็เชิญให้ผมไปพูดคุยกับเอกอัครราชทูตประเทศต่างๆ ที่ประจำอยู่ในประเทศไทย รวมถึงอียูด้วยว่า กกต.มีการเตรียมการเลือกตั้งอย่างไร ซึ่งผมมั่นใจมาก ว่า เวลานี้เราจัดการเลือกตั้งได้มาตรฐานสากล ชาติไหนอยากจะขอร่วมสังเกตการณ์ก็พร้อมจะให้ดูทุกอย่าง เรื่องทุจริตก็มีอยู่บ้าง แต่ก็คิดว่าสามารถควบคุมได้
ด้าน นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวว่า หลายฝ่ายวิเคราะห์ตรงกันว่า การเลือกตั้งจะแข่งขันกันรุนแรง เพราะเป็นการเลือกตั้งหลังการเมืองมีความขัดแย้ง มีกลุ่มมวลชนออกมาเดินขบวน ทำให้ผู้ที่จะลงแข่งขันต่างก็ต้องการเข้ามาช่วงชิงอำนาจรัฐ ซึ่งความรุนแรงที่ กกต.คาดการณ์ 1.มีการใช้มวลชนมาปิดกั้นการหาเสียง ขอให้ กกต.จังหวัดได้มีการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ดูแลให้นักการเมืองไปหาเสียงได้ทุกพื้นที่ปราศจากการประทุษร้าย รวมทั้งทำความเข้าใจกับมวลชน ว่า กฎหมายเลือกตั้งมาตรา 53 อนุ5 ก็บัญญัติไว้ชัดว่า หากผู้ใดกระทำการในลักษณะใส่ร้ายให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมมีโทษทั้งจำและปรับ ดังนั้น การกระทำของมวลชนอาจส่งผลให้ผู้สมัครที่ตนเองสนับสนุนถูกใบเหลือง ใบแดง และมวลชนถูกดำเนินคดีได้ ซึ่งเลือกตั้งครั้งนี้ขอให้ใช้บทบัญญัตินี้อย่างเข้มข้น
2.ในเรื่องของการซื้อสิทธิขายเสียง ซึ่งการจะชนะเลือกตั้งได้ปัจจัยเรื่องทุนมีความสำคัญ จึงอยากให้มีการเตรียมการในเรื่องการจัดการเลือกตั้งครั้งนี้ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อบ เพราะหากไม่เรียบร้อยประชาชนก็จะไม่เกิดความเชื่อมั่น และทำให้วิกฤตของบ้านเมืองแก้ไขยากยิ่งขึ้น แต่ถ้ามีการยอมรับก็จะทำให้วิกฤตคลี่คลาย เพราะทุกฝ่ายก็จะเข้าใจว่าผลการเลือกตั้งคือการตัดสินใจเลือกของประชาชนแล้ว
นายประพันธ์ ยังกล่าวถึงกรณีนายกฯจะให้ กกต.ออกระเบียบวางแนวปฏิบัติไม่ให้มีการนำเรื่องสถาบันเบื้องสูงมาหาเสียง ว่า ยังไม่ได้รับหนังสือจากนายกฯ แต่เรื่องนี้ด้านบริหารงานเลือกตั้งและสำนักกฎหมายและคดีกำลังพิจารณาปรับปรุงระเบียบข้อห้ามและข้อควรปฏิบัติเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งจะมีการเพิ่มเติมในเรื่องดังกล่าวเข้าไป เนื่องจากก่อนหน้านี้ในการเลือกตั้งท้องถิ่นมีผู้สมัครนำเรื่องสถาบันเบื้องสูงไปหาเสียง กกต.จึงมีการเพิ่มเติมเข้าไป แต่ขณะนี้ก็กำลังจะมีเลือกตั้งจึงต้องมีการปรับปรุงรายละเอียดโดยกำลังดูว่าจะใส่เรื่องนี้ไว้ในข้อห้าม หรือข้อควรปฏิบัติ คาดว่า ภายใน เม.ย.นี้ น่าจะออกระเบียบได้ โดยความคิดที่จะร่างระเบียบนี้ ออกมาก่อนหน้าที่นายกฯจะเสนอจึงไม่ใช่เรื่องการรับลูกแต่เป็นความบังเอิญที่ตรงกันมากกว่า
นายประพันธ์ กล่าวอีกว่า หลักการที่เสนอมานั้น น่าจะออกเป็นระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่า การหาเสียง ข้อควรปฏิบัติ และข้อห้ามมิให้ปฎิบัติในส่วนที่เกี่ยวกับ การเลือกตั้ง ส.ส. และการดำเนินการใดๆ ของพรรคการเมือง ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ว่า ไม่ควรที่จะแอบอ้าง หรืออ้่างถึงสถาบันเบื้องสูง ไม่ว่าในลักษณะใดมาใช้ในการหาเสียง การที่ด้านบริหารงานเลือกตั้งดำเนินการก็เพื่อเจตนาไม่ให้ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองอ้างสถาบันเบื้องสูงนำมาใช้ในการหาเสียง ซึ่งระเบียบนี้ก็จะเหมือนข้อบังคับของสภา ที่มีข้อบังคับห้ามไม่ให้ส.ส.อภิปรายที่เกี่ยวกับสถาบัน ซึ่งหลักการก็คล้ายๆกัน
“ผู้สมัครพรรคการเมืองควรที่จะหาเสียงในเรื่องของนโยบาย ด้านการทำงาน ไม่ควรที่จะนำสถาบันเบื้องสูงมาอ้าง แต่ถ้ามีการนำพระบรมราโชวาทมาปรับใช้ก็ต้องดูเจตนาผู้สมัครเป็นเรื่องๆ ไป โดยถ้าระเบียบนี้ออกมาแล้วมีการฝ่าฝืน กกต.ก็สามารถให้ใบเหลือง ใบแดงได้ ทั้งกับส.ส. พรรคการเมือง ผู้สมัคร แ่ต่ที่นอกเหนือจากนี้ก็ต้องไปดูกฎหมายที่มีอยู่แล้ว เช่น คนทั่วไปใครไปพูดพาดพิงหากผิด ก็เป็นคดีอาญาที่มีกฎหมายรองรับอยู่แล้ว ก็ดำเนินการกันไป”
ส่วนโทษของผู้ทำผิดจะถึงขั้นยุบพรรคหรือไม่ นายประพันธ์ กล่าวว่า ระเบียบฯนี้ออกตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 59 วรรคท้าย เมื่อระเบียบออกโดยอำนาจตามกฎหมาย ในรัฐธรรมนูญมาตรา 237 วรรคแรกก็ระบุว่า ผู้สมัครที่ฝ่าฝืนระเบียบอาจจะมีโทษถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งได้ แต่หากพรรครู้เห็น หรือกรรมการบริหารพรรครู้แล้วไม่ห้ามปรามก็เข้า วรรค 2 ของมาตรานี้ ก็นำไปสู่การยุบพรรคได้ ซึ่งก็ต้องดูตามข้อเท็จจริง
นายประพันธ์ ยังกล่าวถึงการที่ประธาน กกต.จะให้อียูมาร่วมสังเกตการณ์เลือกตั้งว่า กกต.ยังไม่ได้คุยเรื่องนี้ เพียงแต่มีการยกร่างบันทึกในทำนองว่า ถ้าจะมีผู้มาสังเกตุการณ์จะให้ดูแลกันอย่างไรหรือไม่ แต่ยังไม่ได้เอาเข้าที่ประชุม และเมื่อการเลือกตั้งครั้งเมื่อปี 2550 นั้นก็มีผู้สังเกตการณ์จากต่างประเทศมาดู เราก็ไม่ได้ขัดข้อง ก็อำนวยความสะดวกตามสมควร ซึ่งก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย โดยหลักการปี 2550 นั้นเราไม่้เซ็นบันทึกข้อตกลงกับต่างประเทศ ในเรื่องการสังเกตการณ์การเลือกตั้ง เพราะถือว่า เป็นการเลือกตั้งที่ประเทศไทยสามารถดูแลให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยได้ เรื่องนี้ก็หารือกันอยู่ เร็วๆ นี้ คงนำเข้าที่ประชุม กกต
นายวิสุทธิ์ โพธิแท่น กกต.ด้านกิจการการมีส่วนร่วม เน้นให้จัดการเลือกตั้งให้สุจริต โปร่งใส เที่ยงธรรม เข้าใจว่า ทุกคนมีพรรคพวกเพื่อนฝูง แต่เมื่อมีหน้าที่ก็ต้องแยกแยะ ถ้าเขาทำผิดก็ต้องชี้ว่าผิดโดยไม่ต้องมองหน้ากัน และอยากให้ยึดข้อกฎหมายให้มั่น และดำเนินการอย่างรอบคอบรัดกุม เพราะบ้านเรามีอะไรนิดหน่อยเขาก็จะนำไปฟ้องร้อง ขนาดตนมาเป็นกกต.ไม่ครบ2 ปีก็ยังโดนไปหลายคดี คดีอาญานั้นน่ากลัวมาก ขนาดบางเรื่องตนเองคิดว่าได้ดูอย่างรอบคอบรัดกุมแล้วก็ยังหงายเก๋งหัวโนกลับมา
ส่วนเรื่องจัดการเลือกตั้ง การแบ่งเขตมีการร้องเรียนเข้ามาแล้วประมาณ 10 จังหวัด ตนก็ได้เรื่องร้องเรียนได้มากกว่าครึ่งลังแล้ว ซึ่งเรื่องการแบ่งเขตจะสอดรับกับเรื่องการแต่งตั้ง กกต.เขตที่ขนาดนี้ กกต.กลาง ได้มีมติขยายเวลาให้มีการเปิดรับสมัคร กกต.เขต ไปจนถึงวันที่ 27 เม.ย.นี้ เพราะว่าขณะนี้ในหลายจังหวัดนอกจากมีปัญหาไม่สามารถสรรหามาได้ครบตามจำนวนแล้วยังมีปัญหาเรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้งยังไม่เสร็จสิ้น ทั้งนี้กกต.กลางมีความตั้งใจว่าวันที่ 27 เม.ย.จะแบ่งเขตเลือกตั้งได้แล้วเสร็จ แต่เวลาก็กระชั้นมาก ส่วนตัวเคยทำหน้าที่การแบ่งเขตเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ.2542 ยังใช้เวลาหลายเดือนจนกว่าจะแบ่งเสร็จ ครั้งนี้จึงไม่แน่ใจว่าจะดำเนินการเสร็จทันกำหนดหรือไม่
ด้าน นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวน กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งในช่วงที่บ้านเมืองยังไม่เป็นปกติสุข มีการคาดการณ์ว่า จะมีการแข่งขันดุเดือดรุนแรง ถ้า กกต.สามารถจัดเลือกตั้งให้เที่ยงธรรมเป็นที่ยอมรับได้ก็จะกลายเป็นพระเอก แต่ถ้าไม่เป็นที่ยอมรับก็จะกลายเป็นผู้ร้าย ซึ่งจะทำให้การเลือกตั้งเป็นที่ยอมรับมีหลัก 3 ประการ คือ 1.ต้องปฏิบัติตนให้ประชาชน เชื่อว่า กกต.มีความเป็นกลาง 2.ต้องรอบรู้กฎหมาย ประกาศต่างๆที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งให้ดี เพราะหากเข้าใจผิดก็จะไม่เป็นที่ยอมรับ 3.การปฏิบัติหน้าที่ต้องมีความรวดเร็ว เพราะถ้าล่าช้าก็เปรียบเสมือนปฎิเสธความเป็นธรรม เลือกตั้งครั้งนี้กกต.วางเป็นยุทธศาสตร์ว่ากกต.จะต้องใช้อำนาจในการสืบสวนสอบสวน และดำเนินการกับคนที่ทุจริตให้ได้ภายในช่วง 30 วันนับแต่วันเลือกตั้ง โดยวางแผนไว้ว่าการสืบสวนสอบสวนในระดับจังหวัดจะใช้เวลาดำเนินการ 15 วันจากนั้นมาสู่การพิจารณาของ กกต.กลางและคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ว่าเปิดสภาครั้งแรกต้องมีส.ส.ไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ของจำนวนที่พึงมีดังนั้น 25 ใบแดงที่ กกต.มีอำนาจแจก ก็จะพยายามใช้อำนาจให้เต็มที่เพื่อที่จะควบคุมการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นที่ยอมรับว่าสุจริตและเที่ยงธรรม
“การเลือกตั้งครั้งนี้ กกต.ยืนอยู่ท่ามกลางเขาควาย ซึ่งเห็นว่าต้องพยายามอย่าให้เขาเอาเขามาทิ่มแทงเรา แต่เราควรเป็นคนที่คอยเก็บศพเขาดีกว่ากลายเป็นศพเสียเอง”
ขณะที่ นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวว่า ขณะนี้ กกต.กลางมีมติให้ ผอ.กกต.จังหวัดแต่ละจังหวัดสามารถรับรองการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองของประชาชน และผู้สมัครได้ โดย ผอ.กกต.จังหวัดแต่ละจังหวัดจะมีรหัสในการเข้าระบบฐานข้อมูลการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองได้ แต่อำนาจย่อมมาพร้อมกับความรับผิดชอบ ดังนั้นก่อนรับรองควรตรวจสอบให้รอบคอบเพื่อป้องกันปัญหาการฟ้องร้องตามมา อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 2 พ.ค.นี้ กกต.ก็จะเชิญตัวแทนพรรคการเมืองเข้ามาหารือในเรื่องต่างๆ อาทิ เรื่องค่าใช้จ่ายในการหาเสียงว่าจะยังคงกำหนดไว้ที่ 1.5 ล้านบาทหรือไม่ การจัดเวทีกลางของ กกต.ที่พรรคการเมืองขนาดเล็กร้องเรียนว่าจัดแล้วไม่ได้รับความสนใจไม่เหมือนกับที่พรรคการเมืองใหญ่จัด รวมถึงการส่งข้อมูลการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองที่กฎหมายกำหนดให้ทุกพรรคว่าจะต้องแจ้งการเพิ่มลดของสมาชิกพรรคตามไตรมาส แต่ขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างไตรมาสที่ 2 จึงต้องมีการขอความร่วมมือ เพราหากพรรคไหนไม่แจ้งก็จะเกิดปัญหาว่า ถ้ามีการลาออกของสมาชิกคนหนึ่งเพื่อไปสมัครเป็นสมาชิกอีกพรรคการเมืองหนึ่งจะไม่สามารถลงบันทึกในระบบฐานข้อมูลได้ การตรวจสอบเรื่องการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองไม่น้อยกว่า 30 วันนับแต่วันเลือกตั้งก็จะเป็นปัญหา และอาจนำไปสู่การฟ้องร้องในศาลฎีกา การเลือกตั้งครั้งนี้มีความสำคัญเพราะเป็นการเลือกตั้งที่จะเปลี่ยนการเมืองเปลี่ยนรัฐบาล ซึ่งคาดเดาไม่ได้ว่าจะได้รัฐบาลชุดเก่า หรือรัฐบาลชุดใหม่แม้เราจะอยู่ในวังวนของการเมือง แต่การวินิจฉัยใบเหลือใบแดงก็ต้องจับกฎหมายให้แม่น ไม่วอกแวก เพื่อที่จะได้มีคำอธิบายให้กับประชาชนได้ ไม่ใช่ไปทำสิ่งนั้นสิ่งนี้เพื่อใคร เพราะเมื่อถึงเวลานั้น นอกจากจะอธิบายต่อประชาชนไม่ได้แล้ว ยังเกิดผลกระทบที่ไม่ดีต่อ กกต.อีกด้วย