ผ่าประเด็นร้อน
ไม่น่าเชื่อว่าเหตุการณ์สร้างสถานการณ์ “ล้อมปราบทหาร” เพื่อล่าสังหาร พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม (ยศในขณะนั้น) รองเสนาธิการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ได้หวนกลับมาครบรอบ 1 ปีแล้ว ที่บอกว่าไม่น่าเชื่อก็คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ถูกนำมาสร้างกระแส “บิดเบือน” เปลี่ยนดำเป็นขาว-เปลี่ยนเป็นตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง
ที่กลับกลายเป็นแบบนี้ หากมองอีกมุมหนึ่งมันก็สะท้อนให้เห็นถึงความ “ไม่เอาไหน” ของรัฐบาล ที่นำโดยนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ ฝ่ายความมั่นคงที่นำโย สุเทพ เทือกสุบรรณ ได้อย่างชัดเจน
เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 19 พฤษภาคมที่มีการเผาบ้านเผาเมือง ก่อจลาจล จนสร้างความเสียหายกับบ้านเมืองจนประเมินไม่ได้ มิหนำซ้ำเหตุการณ์เลวร้ายดังกล่าวยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นปีที่สอง นั่นคือเกิด “ซ้ำซาก” มาจากปี 2552 ทั้งรูปแบบและรายละเอียดก็แทบไม่ต่างกัน แต่รัฐบาลกลับไม่มีปัญญาในการป้องกัน หรือยับยั้ง
ที่สำคัญปัจจัยที่เป็นสาเหตุทำให้รัฐบาลอยู่รอดมาจนถึงวันนี้ก็เพราะภาคประชาชนที่ทนไม่ไหวกับความ “อนาธิปไตย” ไร้ขื่อแป ความไม่กล้าตัดสินใจของผู้นำ ที่มัวแต่กังวลในเรื่อง “ภาพลักษณ์” ต้องออกมารณรงค์ “เสี่ยงชีวิต” ช่วยเหลือ จนสามารถตั้งยัน “ประจันหน้า” กับพวกเสื้อแดง ไม่ให้ขยายวงกว้างออกไป ถ้ายังจำกันได้ถึงวีรกรรมของพี่น้องชาวกิ่งเพชร พี่น้องชาวนางเลิ้ง ในปี 2552 และพี่น้องชาวสีลม และการชุมนุมของเสื้อสารพัดสีที่ช่วยกันรณรงค์คนละไม้ละมือปลุกกระแสต่อต้าน
แต่ก็ต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้อ ชีวิต แต่ในที่สุดแล้วก็กลายเป็น “นั่งร้าน” ให้พวก “นักเลือกตั้ง” ฉวยโอกาสเหยียบซากศพขึ้นไปนั่งเสพสุขอยู่ในอำนาจมาจนถึงบัดนี้
ย้อนกลับมาที่เหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ซึ่งเป็นวันที่คนเสื้อแดงใช้ยุทธวิธีโอบล้อมใช้กองกำลังติดอาวุธและมวลชนกระหน่ำยิงทหารที่มีแต่มือเปล่าหรืออย่างมากแค่ปืนลูกซองและโล่เป็นที่กำบัง เป้าหมายก็เพื่อ “ล่าสังหาร” พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม นายทหารที่เคยมีบทบาทสำคัญในช่วง “เมษาเลือด” ปี 2552 นั่นคือเข้าสลายการก่อจลาจลของคนเสื้อแดงที่เริ่มจาก “แยกสามเหลี่ยมดินแดง” โดยในครั้งนั้นแม้ไม่มีการเสียเลือดเนื้อ แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้การก่อความวุ่นวายถูกกำจัดและต้องพ่ายแพ้ในที่สุด ดังนั้นการ “ล้อมฆ่าทหาร” โดยเฉพาะ พ.อ.ร่มเกล้า(ต่อมาได้รับโปรดเกล้าฯเลื่อนยศพลเอกเป็นกรณีพิเศษ) และ นายทหารจากกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ จึงเสมือนกับการ “สั่งตาย” ล่วงหน้า เป้าหมายก็เหมือนกับการ “แก้แค้น” เพราะมีการ “ล็อกเป้า” รู้พิกัดว่ายืนบัญชาการอยู่ตรงจุดไหน
ถามว่าทำไมถึงได้ปักใจเชื่อว่า คนเสื้อแดงกับกองกำลังติดอาวุธชุดดำที่ล่าสังหาร พ.อ.ร่มเกล้า เป็นพวกเดียวกัน ก็เพราะว่าหากเป็นคนละกลุ่ม หรือแฝงตัวมาเป็น “มือที่สาม” อย่างน้อยบรรดาแกนนำบนเวทีไม่ว่าหน้าไหนก็ต้องเคยประกาศให้ตำรวจหรือใครก็ได้ช่วยจับกุมตัวดำเนินคดี หากเป็นการชุมนุมโดยสงบสันติ ตามที่อ้างจริง แต่ที่ผ่านมาไม่เคยปรากฏแม้สักครั้งเดียว ตรงกันข้ามกลับมีแต่ข่าวการฝึกอาวุธทั้งในชื่อของ “นักรบพระเจ้าตาก” หรือชื่ออื่นของเสธ.นั่นเสธ.นี่อยู่ร่ำไป และสังเกตหรือไม่ว่าตลอดเวลาของการชุมนุมของคนเสื้อแดงไม่เคยมีจรวด อาร์พีจีหรือ เอ็ม 79 ลงมากลางวงจนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแม้แต่ครั้งเดียว
ขณะเดียวกัน เชื่ออีกหรือไม่ว่า เหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นมีหลักฐานทั้งภาพและเสียงปรากฏให้เห็นชัดเจนว่าคนชุดดำที่ถืออาวุธสงครามคอยซุ่มยิงทหารนั้นแฝงตัวปะปนมากับมวลชนคนเสื้อแดง แต่กลับกลายเป็นว่าถูกปล่อยให้มีการสร้างกระแสบิดเบือนอยู่ทุกวันว่า “ทหารฆ่าเสื้อแดง” พูดซ้ำๆกรอกหูอยู่ทุกวัน จนทำให้ “ดำกลายเป็นขาว” ผิดกลายเป็นถูก จากเรื่องโกหกที่แต่งขึ้นมาโดยพวกหัวโจกที่มีคนเขียนบทมาให้จนชาวบ้านหรือคนเสื้อแดงที่คิดว่าเป็นเครื่องมือ “ถูกพาไปตาย” เริ่มสับสน เข้าใจว่าเป็นเรื่องจริง ก็เพราะความ “ห่วยแตก” ของรัฐบาลนั่นเอง ที่คิดในเรื่องความเป็นสุภาพบุรุษ รักษาภาพลักษณ์ในสายตาต่างประเทศ และที่สำคัญคิดถึงแต่เรื่องการ “ปรองดองจอมปลอม”
นอกจากนี้ยังเลวร้ายไปยิ่งกว่าก็คือ การสร้างภาพด้วยการส่งสัญญาณไฟเขียวให้มีการสอบสวนนายทหารที่เข้าไป “กระชับพื้นที่” สลายการก่อจลาจลจนกลายเป็นชนักปักหลังมาจนถึงวันนี้ เหตุผลก็เพียงแค่ต้องการแสดงความเป็น “สากล” เป็นรัฐบาลอินเตอร์ในสายตานานาชาติเท่านั้น
ดังนั้น หากนับจากเหตุการณ์ก่อจลาจลเผาเมืองของหัวโจกคนเสื้อแดงภายใต้การรู้เห็นเป็นใจของ ทักษิณ ชินวัตร ที่ต้องการทำทุกทางเพื่อล้มล้างรัฐบาลและกองทัพรวมไปถึงการ “พลิกฟ้าคว่ำดิน” เพื่อให้ตนเองได้กลับมามีอำนาจอีกครั้ง และเพื่อทรัพย์สินที่เคยโกงประชาชนแต่ถูกศาลสั่งริบกลับคืนมาเป็นของตัวเองอีกครั้งเท่านั้น แต่กลายเป็นว่ารัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงกลับไม่เอาไหน ปล่อยให้มีการปลุกระดมบิดเบือน ได้แต่ตั้งรับ โดยไม่อาจตอบโต้ชี้แจงให้ชาวบ้านได้เข้าใจอย่างได้ผล
และนี่ก็คืออีกหนึ่งความห่วยแตกของรัฐบาล ซึ่งในมุมกลับก็ย่อมถือว่าเป็นตัวการทำลายชาติและความมั่นคงอย่างใหญ่หลวงนั่นเอง!!