“อภิสิทธิ์” วอน ส.ว.ผ่านกฎหมายลูก 3 ฉบับ เพื่อเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง ส่วนการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ครม.อนุมัติงบช่วยเหลือครอบครัวละ 5 พันบาทแล้ว ระบุ ถกเจบีซีไทย-เขมร ราบรื่น ย้ำ ไม่เห็นด้วยส่งผู้สังเกตการณ์ดูแลพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร พร้อมยาหอบเร่งทยอยปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 25% ภายใน 2 ปี ส่วนน้ำมันถั่วเหลือขึ้นราคาเพราะต้นทุนสูง
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์"
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการเชื่อมั่นประเทศไทย กับนายกฯอภิสิทธิ์ ว่า นายประสพสุข บุญเดช ประธารนวุฒิสภา ได้บรรจุกฎหมายลูกทั้ง 3 ฉบับ ประกอบด้วย พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง และ พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต. เข้าเป็นระเบียบวาระในที่ประชุมวุฒิสภา ในวันพรุ่งนี้ (11 เม.ย.) พร้อมขอความร่วมมือ ส.ว.ช่วยลงมติผ่านความเห็นชอบด้วย ทั้งนี้ เชื่อว่า ทุกอย่างจะเป็นไปตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้ คือ ยุบสภาสัปดาห์แรกของ เดือน พ.ค.เพื่อเดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้ง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ครัวเรือนละ 5,000 บาท กรณีประสบปัญหาน้ำท่วมฉับพลัน น้ำท่วมขัง หรือได้รับความเสียหายจากภัยพิบัติ เช่น ดินโคลนถล่ม หรือพายุ ทั้งนี้ จากการประเมินในเบื้องต้น รัฐบาลต้องใช้เงินประมาณ 3,000 ล้านบาท คาดว่า เงินช่วยเหลือเบื้องต้นดังกล่าวน่าจะถึงมือผู้ประสบภัยหลังเทศกาลสงกรานต์
ส่วนความล่าช้าการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยเมื่อครั้งที่ผ่านมานั้น เนื่องจากมีการส่งรายชื่อผู้ประสบภัย สูงเกินความเป็นจริงนับหมื่นรายชื่อ ดังนั้น จึงขอความร่วมมือจากประชาชนที่ประสบภัยในพื้นที่ ช่วยกันสอดส่องดูแลว่ารายชื่อผู้ประสบภัยที่ส่งเข้ามานั้นตรงกับความเป็นจริงหรือไม่ ซึ่งจะทำให้เงินช่วยเหลือลงไปสู่ประชาชนที่เดือดร้อนอย่างแท้จริง
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงผลการประชุมเจบีซี ที่ประเทศอินโดนีเซีย ว่า ผ่านไปด้วยความเรียบร้อย ไทยได้ชี้ให้ประชาคมโลก เห็นว่า ปัญหาไทย-กัมพูชา สามารถแก้ปัญหาได้ ส่วนการประชุมจีบีซี นั้น มองว่า ยังไม่ได้มีประเด็มความจำเป็นเร่งด่วน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างทำความเข้าใจ กรณีการส่งผู้สังเกตการณ์ คนเข้าพื้นที่ข้อพิพาท ซึ่งไทยไม่เห็นด้วย เพราะเกรงว่า จะยิ่งทำให้เกิดความตึงเครียดมากขึ้น เพราะสถานการณ์ 2 เดือนที่ผ่านมา สงบเรียบร้อยดี พร้อมยืนยัน กระทรวงการต่างประเทศ และกองทัพ ไม่ได้ขัดแย้งกันเรื่องนี้ โดยได้ตกลงแนวทางให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า การประชุมนั้นสามารถจัดที่ กรุงพนมเปญ และ กรุงเทพมหานครได้
ส่วนกรณีที่ นายฮอร์ นัมฮอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศของกัมพูชา ออกมาแสดงความผิดหวังที่ไทยปฏิเสธให้กองกำลังของประเทศอินโดนีเซียเข้ามาสังเกตการณ์ นั้น การจะเข้ามาสังเกตการณ์จะต้องมีการตกลงกัน ว่า มาสังเกตการณ์ที่ไหน และเมื่อพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เป็นของไทย จะเอามาสังเกตการณ์ในฝ่ายไทยได้อย่างไร ซึ่งต้องมาดูว่า พื้นที่ที่จะสังเกตการณ์อยู่ตรงไหน ถ้าไปสังเกตการณ์ในดินแดนของกัมพูชา คงไม่มีปัญหา ซึ่งตรงนี้ ทางกระทรวงการต่างประเทศ ต้องไปพูดคุย
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลและนายจ้าง ได้มีการเจรจากันเรื่องค่าแรงที่จะปรับขึ้น ทั้งนี้ เพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม ซึ่งค่าแรงขั้นต่ำของแรงงานไทยนั้น บางส่วนยังต่ำกว่าประเทศฟิลิปปินส์ ทำให้มีความเหลื่อมล้ำในสังคม
ในส่วนของค่าแรงต่ำ ทำให้เศรษฐกิจของไทยไม่แข็งแรงเท่าที่ควร อาจทำให้แรงงานไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรในการเผชิญปัญหาของประเทศ ขณะนี้ได้เร่งให้กระทรวงแรงงานทำการปรับปรุงคุณภาพแรงงาน และดูค่าจ้างให้สอดคล้องกับประสิทธิภาพแรงงาน เพราะถ้าเราทำให้ประชาชนมีเงินในกระเป๋าเพิ่ม จะช่วยให้แรงงานสามารถรอดพ้นวิกฤติสินค้าแพงไปได้ ทั้งนี้จะทยอยปรับเพิ่ม ให้ได้ร้อยละ 25 ภายใน 2 ปี ที่ไม่ปรับเร็วเพราะห่วงผู้ประกอบการ
ส่วนกรณีที่ผู้ประกอบการน้ำมันถั่วเหลือง และนม ขึ้นราคาเพราะต้นทุนเพิ่ม นั้น ได้มีการขอขึ้นราคามานานแล้ว ซึ่งราคาที่ขึ้นนั้นไม่สูงกว่าปกติ ทั้งนี้ ยืนยันว่า เมื่อต้นทุนสินค้าเปลี่ยนแปลง รัฐบาลจะต้องดูแลให้สอดคล้องกับราคาในตลาดจริง ส่วนกรณีการขอขึ้นราคาปุ๋ยนั้น พบว่า ต้นทุนสูงขึ้นจริง แต่ได้ขอให้กระทรวงพาณิชย์ไปดูก่อนว่าจะมีมาตรการอะไรช่วยได้บ้าง