xs
xsm
sm
md
lg

“ประพันธ์” ปัดพันธมิตรฯ ชู “โหวตโน” เพื่อหาทางลง - ลั่นลาออก ก.ม.ม.ทันทีหากลงเลือกตั้ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ประพันธ์” แนะ ก.ม.ม.หากเป็นพรรคของประชาชนจริงต้องเดินแนวทางเดียวกันกับพี่น้องประชาชน เชื่อลงเลือกตั้งครั้งนี้อาจไม่ได้รับเลือกแม้แต่คนเดียว แต่ถ้ามาคราวหน้าคะแนนถล่มทลายแน่ ลั่นถ้าพรรคลงสู่สนามเลือกตั้งจะลาออกทันที  พร้อมยัน “โหวตโน” ไม่ใช่วิธีหาทางลงของพันธมิตรฯ แต่เป็นการฉลองชัยชนะ ตามล้างตามเช็ดนักการเมืองชั่ว

 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” ปราศรัยโดย “นายประพันธ์ คูณมี”  

วันนี้ (7 เม.ย.) เมื่อเวลาประมาณ 21.30 น. นายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักร ปราศรัยบนเวที “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” ว่า ขณะที่พันธมิตรฯ ชุมนุมช่วง 193 วัน สื่อมวลชนที่ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่คือ นายเจิมศักดิ์  ปิ่นทอง  และเปลว สีเงิน แต่ตอนนี้นายเจิมศักดิ์รวยไปแล้ว เพราะได้เอาเหตุการณ์ 7 ตุลา ที่พี่น้องบาดเจ็บล้มตายไปทำซีดี-ทำพ็อกเกตบุ๊กขาย และโฆษณาทางเอเอสทีวี โดยที่เอเอสทีวีไม่ได้เก็บเงินแม้แต่บาทเดียว

พอประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล นายเจิมศักดิ์ก็ได้เป็นขาใหญ่ช่องที่ 11 ได้รายการคลื่น 92.25 คลื่น 105 คลื่นกรมประชาสัมพันธ์ บางทีก็พ่วงรายการของคลื่น 92.25 มาด้วย  ยึดหนังสือพิมพ์แนวหน้าเขียนคอลัมน์ เพราะเอาการที่มาร่วมกับพันธมิตรฯ ไปเป็นเครื่องมือต่อรองหาผลประโยชน์กับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์  ตอนนี้น่าจะกลายเป็นหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ไปแล้ว และจะบอกให้ความจริงว่านายเจิมศักดิ์แอบเป็นที่ปรึกษานายอภิสิทธิ์ เป็นที่ปรึกษาฝ่ายประชาสัมพันธ์ตั้งแต่รณรงค์หาเสียงเลือกตั้งแล้ว จึงเขียนหนังสือร้อยฝันวันฟ้าใหม่ออกมา เอาทีมงานไปร่วมกับฝ่ายประชาสัมพันธ์ โดยทำงานร่วมกับภรรยานายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ที่ชื่ออานิก อัมระนันทน์ ถึงได้เชียร์นายอภิสิทธิ์แบบไม่ลืมหูลืมตา

นายประพันธ์กล่าวอีกว่า นอกจากนั้น วันนี้สำนักพิมพ์ขอคิดด้วยคนของนายเจิมศักดิ์ ยังได้ทำหนังสือให้นายสุเทพ ชื่อใครเผาประเทศไทย แต่เสือกไม่เขียนว่าแล้วใครปล่อยให้เผาประเทศไทย ตอแหลเหมือนหนังสือร้อยฝันวันฟ้าใหม่ เขียนข้อมูลด้านเดียว เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น นี่ไงวิธีทำงานหาเงินแบบหน้าด้านๆ รับเขียนหนังสือได้ไปเท่าไหร่ เหมือนหนังสือร้อยฝันวันฟ้าใหม่ เขียนจนนายอภิสิทธิ์เป็นเทวดาแต่ทำไม่ได้สักเรื่อง

แต่ เปลว สีเงิน ต้องปล่อยไป เดี๋ยวก็เขียนดีเขียนไม่ดี แล้วแต่อารมณ์ แต่ไม่เป็นไรแม้เราเสียมิตรบางคนไป แต่เราก็มีมิตรใหม่เพิ่มขึ้นเยอะ อย่างมติชนมีหลายคนสนับสนุนเรา ไทยรัฐที่ไม่เคยมีจุดยืนร่วมกับพันธมิตรฯ เลย วันนี้ก็เห็นด้วยกับเราในหลายเรื่อง ดีกว่านายเจิมศักดิ์ที่ไม่เห็นประโยชน์ของบ้านเมืองเลย

โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักร กล่าวว่า ขณะนี้ใครเป็นมิตร เป็นศัตรู มันจะแสดงด้วยเหตุการณ์ของการต่อสู้ เหตุการณ์สถานการณ์มันจะบอกเราเอง การยืนหยัดต่อสู้ของพันธมิตรฯได้ผลพวงที่ไม่ได้คาดคิด นั่นก็คือเราต้องการการเมืองใหม่ การเมืองใหม่นี่ไม่ใช่พรรค แต่หมายถึงการเมืองที่โปร่งใส สะอาด ซื่อสัตย์ นี่คือสิ่งที่ต้องการ เพราะพบแล้วว่าถ้าระบอบการเมืองยังเป็นแบบเดิมก็ต้องกลับมาไล่นายกฯ กันอีกแบบไม่สิ้นสุด

ปัญหาคือแล้วจะได้การเมืองใหม่มาได้อย่างไร บางส่วนเห็นว่าไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ แต่ต้องพูดกันอย่างเปิดอก การเลือกตั้งจะทำให้ได้อย่างที่ต้องการหรือเปล่า ไม่มีทาง ต่อให้พรรคการเมืองใหม่เลือกตั้งได้สัก 5-10 คน ต่อให้ได้ 50 คนเลย ดีไม่ดีอาจกลายเป็นการเมืองน้ำเน่าหาแดกร่วมกับเขาไปด้วย หรือถูกซื้อตัว นี่ไม่ได้ดูถูกแต่เพราะประชาธิปัตย์ และพรรคร่วมรัฐบาล รอซื้อนักการเมืองจากการเมืองใหม่อยู่ เพราะถ้าซื้อได้ก็จะอ้างว่าเห็นหรือไม่พวกมึงก็เหมือนพวกกู

เชื่อเถอะพวกแฝงตัวอยากเลือกตั้ง มีสัมภเวสีจรจัดทางการเมือง แฝงเข้ามาเยอะ ดีไม่ดีพรรคร่วมอาจส่งคนเข้ามาให้ลงสมัครรับเลือกตั้งกับพรรคการเมืองใหม่ เพื่อตัดคะแนนก็ได้ พอได้เสร็จก็ไปยกมือสนับสนุนกันแล้วอ้างว่าปรองดอง

นายประพันธ์ยังกล่าวอีกว่า วันนี้มีความคิดต่างกัน เราเสนอโหวตโนไม่ลงคะแนนให้พรรคใด คนใด เพื่อให้เกิดการกดดันไปยังนักการเมืองเพื่อเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงระบอบการเมือง นักการเมือง และการเลือกตั้งที่สกปรก เกิดผลดีต่อการเมืองโดยรวม  ถ้าพรรคการมืองใหม่ลงเลือกตั้ง ก็เผชิญชะตากรรมเอาเอง จะเป็นตัวประกอบยอดเยี่ยม ทำให้การเลือกตั้งมีความชอบธรรมขึ้นมาก็เชิญ  แต่ประชาชนเดินแนวนี้เพราะต้องการการเมืองใหม่  เป็นอย่างนี้แล้วควรรับฟังความต้องการของประชาชน ถ้าเป็นพรรคของประชาชนจริง ไม่ใช่สนองตัณหาพวกตัวเองที่กระสันอยากเลือกตั้ง

ตนไม่อยากปรามาส แต่เชื่อว่าถ้าลงเลือกตั้ง 2 คนจะได้หรือเปล่าก็ไม่รู้  คนเดียวก็ไม่รู้จะได้หรือเปล่า หันมาร่วมมือกับประชาชน เดินไปทางเดียวกัน สถานการณ์เอื้ออำนวยค่อยเข้าสู่เวทีการต่อสู้ทางการเมือง ไปด้วยกันมันถึงจะมีพลัง หากไม่ฟังประชาชนการเมืองใหม่ก็จะฆ่าตัวตาย

“วันนี้แอบไปรณรงค์ถ้าไม่เลือกคนไม่เป็นไร แต่ขอให้เลือกพรรค อย่าทำเลย เลิกเถอะ มันขายหน้าพรรคอื่นเขา ผมจำเป็นต้องพูดเพราะโตขนาดนี้มองสถาณการณ์บ้านเมืองไม่ออก แล้วจะเป็นผู้นำประชาชนได้อย่างไร ผมขอประกาศไว้เลย จะลาออกจากการเมืองใหม่ทันทีถ้าไปลงสมัครรับเลือกตั้ง และจริงๆ อยากจะออกนานแล้วแต่ไว้หน้าและให้เกียรติพรรคพวกเพื่อนฝูงที่ยังอยู่ในพรรค” นายประพันธ์กล่าว  

นายประพันธ์กล่าวว่า จุดสุดท้ายของการต่อสู้ของพันธมิตรฯ หลายคนอยากรู้ว่าทางลงจะเป็นอย่างไร คนที่รอดูอยู่คงคิดว่าถ้าเลิกชุมนุมแสดงว่าพันธมิตรฯ แพ้ ทั้งๆ ที่คู่ต่อสู้ของเราตาปิด ฟันหลุด สะบักสะบอมไปแล้ว พูดตรงๆ เราจะลิกเมื่อไหร่ก็เลิกอย่างผู้ชนะ เพราะประชาธิปัตย์ไม่เคยได้รับบทเรียนเจ็บแสบแบบนี้มาก่อน เวลานี้อยากให้ประเมินว่าใครแพ้ใครชนะ มองรูปไหนรัฐบาลก็ไม่มีชนะเลย พวกเราด่าอย่างเดียวไม่มีขาดทุนเลย แต่นายอภิสิทธิ์ คะแนนตกเอา ตกเอา  

1.อาจจะมีการยุบสภา และมีเลือกตั้ง เราก็เปลี่ยนกระบวนท่าเป็นรณรงค์ไม่เลือกใคร แล้วถ้าเราทำให้ประชาธิปัตย์ ไม่สามารถกลับมาเป็นรัฐบาลได้ยิ่งชนะขาดลอย ยิ่งทำให้นายอภิสิทธิ์ไม่เป็นนายกฯได้ยิ่งชนะขาดลอย  

2.อาจจะยุบสภา แต่ไม่มีเลือกตั้ง ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ เราจะร่วมเปลี่ยนแปลงปฏิรูปสังคมไทยกับรัฐบาลใหม่ที่มา แต่ถ้ารัฐบาลใหม่หน่อมแน้มแบบสุรยุทธ์ ก็ไปไกลๆ เลย ที่สำคัญการรณรงค์ก็เพื่อให้เกิดการเมืองใหม่ เราไม่ได้หาทางลง แต่กำลังฉลองชัยชนะต่างหาก ยุบสภานี้ก็จะตามล้างตามเช็ดด้วยการโหวตโน

ยุทธการโหวตโนนี้ถ้าพรรคการเมืองใหม่ดวงตาเห็นธรรม มาจังหวะสองคะแนนถล่มทลายแน่นอน เชื่อตนอดเปรี้ยวไว้กินหวานดีกว่า อย่าไปเล่นตามเกมที่เขาบังคับให้เดิน
 

คำต่อคำ “ประพันธ์ คูณมี”ปราศรัย

สวัสดีครับพ่อแม่พี่น้องที่เคารพรักทุกท่านครับ ด้วยรักและคิดถึงครับ ไม่มาไม่ได้ เพราะว่าคิดถึงและห่วงใยพ่อแม่พี่น้องทุกคนที่ยืนหยัดชุมนุมอยู่ที่นี่ และกราบสวัสดีพ่อแม่พี่น้องทางบ้านและที่รับชมอยู่ทั้งในและต่างประเทศด้วย รู้สึกพี่น้องเราช่วงนี้อารมณ์ดีนะครับ ไม่กลัวเขามาเอาถนนคืนใช่ไหม

พี่น้องที่เคารพรักครับ ก็มาพบกับพ่อแม่พี่น้องแทบทุกคืน ถ้าไม่จำเป็นก็จะไม่ขาด เพราะว่าความรัก ความผูกพันระหว่างพวกเรามันเหนียวแน่น มั่นคง เมื่อสู้ด้วยกันแล้ว เป็นตายก็ต้องยืนหยัดอยู่ด้วยกันจนถึงที่สุด

พี่น้องที่เคารพรักครับ วันนี้อยากจะเปิดใจคุยกับพ่อแม่พี่น้องทุกท่าน เพื่อสรุปให้พี่น้องได้เข้าใจว่าสถานการณ์การชุมนุมและการต่อสู้ของพวกเรามาถึง ณ วันนี้ สถานการณ์โดยรวมเป็นอย่างไร และแนวโน้ม ทิศทางการต่อสู้และการชุมนุมของพวกเราจะเป็นอย่างไร ผมคิดว่าพี่น้องที่นี่ และพี่น้องที่ติดตามอยู่ทางบ้านก็คงอยากจะทราบ ว่าท้ายที่สุดแล้วการชุมนุมของพี่น้องประชาชนพันธมิตรฯ จะไปจบอย่างไร จะไปถึงจุดสุดท้ายอย่างไร เป็นความสำเร็จหรือเป็นความล้มเหลว เป็นชัยชนะ หรือเป็นความพ่ายแพ้ ผมคิดว่าเราจำเป็นต้องมาวิเคราะห์และประเมินกัน รวมทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และท่าทีของหลายๆ คน หลายๆ หมู่ หลายๆ เหล่า หลายๆ ฝ่าย ที่แสดงออก ณ เวลานี้ มันสะท้อนให้เห็นสถานการณ์โดยภาพรวมอย่างไร ผมคิดว่าวันนี้อยากจะเปิดใจคุยกับพ่อแม่พี่น้องประชาชน เพื่อเป็นการสรุป และประมวลสถานการณ์ทั้งหมด เพราะว่านี่ก็ใกล้จะเข้าปีใหม่ไทยแล้ว คือใกล้จะขึ้นปีใหม่วันสงกรานต์แล้ว เราจะได้สรุปบทเรียนและการต่อสู้ที่ผ่านมา และเราจะก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยกันอย่างไร

พี่น้องครับ เราเริ่มชุมนุมในครั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2554 มาถึง ณ วันนี้ 25 มกราคม 25 กุมภาฯ - มีนาฯ - เมษาฯ กี่วันแล้วครับ 73 วัน นี่เราทำสถิติ 73 วัน ยังไม่ถึง 193 วันนะครับ

พี่น้องเชื่อมั้ยครับว่าการชุมนุม 73 วันนี้ มันมีเรื่องราวและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากมายหลายเรื่อง ถ้าหากพ่อแม่พี่น้องไม่ประเมิน ไม่สังเกต ก็อาจจะยังมองไม่เห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง และมีทิศทางและแนวโน้มไปในทางที่ดีหรือไม่ดีอย่างไร แต่ผมอยากจะสรุปให้พี่น้องเห็นว่า การชุมนุมของพวกเรา 73 วันนี้ ได้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ๆ หลายเรื่อง ได้สะสมชัยชนะมากมาย หลายเหตุการณ์ และกำลังนำพาไปสู่การเปลี่ยนแปลงสังคม การเมือง และประเทศไทยครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง

ในวันที่เราชุมนุม พี่น้องเชื่อมั้ยครับ หลายคนยังไม่มั่นใจว่าการชุมนุมของพี่น้องพันธมิตรฯ ครั้งนี้จะสามารถยืนหยัดชุมนุมอยู่ได้อย่างต่อเนื่อง ยืดเยื้อ ยาวนานมาถึงวันนี้ ถึง 73 วันหรือไม่ และก็ไม่มีคนเชื่อสักเท่าไรว่าการชุมนุมครั้งนี้ของพี่น้องพันธมิตรฯ จะมีพลังและมีมวลชนเข้ารวมมากมายแค่ไหน เพียงใด พวกเราเองก็ประเมินแบบไม่เข้าข้างตัวเอง แต่เราก็เตรียมรับเหตุการณ์และยุทธวิธีที่จะรับมือกับการชุมนุม เพราะว่าอะไรครับ เพราะการชุมนุมครั้งนี้ไม่ได้เป็นการชุมนุมขับไล่รัฐบาล หรือตัวนายกฯ อภิสิทธิ์ในเบื้องแรก เพราะพฤติกรรมของนายอภิสิทธิ์ในต้นๆ ในเบื้องแรกนั้น ผมเชื่อแน่ว่าพี่น้องจะยังมองไม่เห็นพฤติกรรมแห่งความเลวร้ายของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ เหมือนอย่างที่ผ่านมา 73 วัน

ในวันที่เราชุมนุมแรกๆ ก็ยังมีคนมาค่อนแคะ ค่อนขอด และเขียนวิพากษ์วิจารณ์ตำหนิติเตียนการชุมนุมของพวกเราว่า พันธมิตรฯ เอาแต่ชุมนุม ชอบเล่นการเมืองข้างถนน รัฐบาลเขาทำงานยังไม่ไปไหนสักเท่าไร มันก็จะไล่เขาอีกแล้ว ตกลงจะไล่รัฐบาลกันไปถึงไหน อภิสิทธิ์ก็เป็นคนที่ใช้ได้ ไม่ใช่คนที่เลวจนเกินไป ไม่เอาอภิสิทธิ์แล้วจะเอาใคร ถูกต้องมั้ยครับพี่น้อง ในช่วงแรกๆ ที่เราชุมนุม นี่คือเหตุผลประการที่หนึ่ง

เหตุผลประการที่สองก็คือ เรื่องปราสาทพระวิหาร เรื่องดินแดน เรื่องเอกราช เรื่องอธิปไตย จุดไม่ติดหรอก จะไปอภิปรายให้ความรู้ จะปลุกประชาชนให้ตื่นขึ้นมาเพื่อร่วมกันต่อสู้ เพื่อปกป้องดินแดนและอธิปไตยนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่าย ยาก และยากที่จะทำความเข้าใจกับประชาชน คงมีคนชุมนุมและเข้าร่วมไม่มากเท่าไร นี่ก็ถูกปรามาสจากประชาชนจำนวนหนึ่ง และจากนักวิชาการ หรือจากนักการเมือง หลายๆ ฝ่าย ไม่ค่อยจะเชื่อมั่นว่าการต่อสู้และการชุมนุมครั้งนี้ของพวกเราจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้ และจะสามารถเอาชัยชนะเหนือรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้

แม้กระทั่งคนที่เคยมาขึ้นเวทีที่นี่ เอ่ยชื่อเลยก็ได้ อย่างนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เชียร์นายอภิสิทธิ์หัวปักหัวปำ หน้ามืดตามัว อย่างกับนายอภิสิทธิ์เป็นพ่อนายเจิมศักดิ์น่ะครับ หรือบางคนที่เคยขึ้นเวทีนี้ เคยทำงาน เคยเป็นวิทยากร ออกรายการ ASTV ก็ยังไปบอกคนหลายคนที่จะมาชุมนุม ว่า อย่ามาชุมนุมเลย สู้กับนายอภิสิทธิ์ยังไงก็ไม่ชนะ แล้วตอนนี้เธอก็ไปแรดๆๆ อยู่ที่อื่นแล้วครับ เพราะว่าอะไรครับ เพราะว่าในการชุมนุมคราวนี้เธอไปนั่งอยู่หน้าห้องของรัฐมนตรีกระทรวงไอซีที แย่งตำแหน่งกับมัลลิกา บุญมีตระกูล เกือบจะตบตีกันหน้าห้องมาแล้ว

เอาล่ะ หลายคนนี่เราไม่ได้มีปัญหาเลย เราก็ไม่ได้ว่ากัน วันนี้มาเปิดใจคุยกับพี่น้อง หลายคนที่เคยร่วมต่อสู้กับพวกเราก็ไม่เห็นด้วย ว่าไปไล่ทำไม ไปชุมนุมไล่อภิสิทธิ์ทำไม แม้กระทั่งเพื่อนฝูงของผมหลายคนยังบอก ไม่เอาอภิสิทธิ์แล้วจะเอาใคร แต่พอหลังจากฟังผมเทศนาไปกัณฑ์ใหญ่เท่านั้นล่ะครับ มันก็หูตาสว่างเท่านั้นเอง

เราจึงวางเป้าหมายในการชุมนุมโดยชูธงข้อเรียกร้อง 3 ข้อ คือ ให้รัฐบาลยกเลิก MOU 2543 ถอนตัวจากมรดกโลก ขับไล่ประชาชนและทหารที่รุกรานและยึดครองแผ่นดินของเราออกไป โดยข้อเรียกร้องนี้เราไม่ได้มาไล่รัฐบาลในช่วงแรก และเราไม่ได้เรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์แสดงความรับผิดชอบด้วยซ้ำไป แต่ต้องการให้ทำหน้าที่ปกป้องดินแดนและอธิปไตยของประเทศ ใช่มั้ยครับ นี่เราวางเป้าไว้แค่นี้

แต่เมื่อมีการชุมนุมเกิดขึ้นและเปิดเวทีใหญ่ที่นี่ขึ้นมา ตั้งแต่วันที่ 25 พี่น้องเห็นมั้ยครับ การปราศรัยบนเวทีนี้ นอกจากเวทีเสวนาทางวิชาการ ซึ่งได้นำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริงอย่างเข้มข้น ซึ่งนำโดย 2 เทพ เทพมนตรี กับปานเทพ เป็นหลัก แล้วก็มีบรรดาทหารหาญ 4 เหล่าของเรา และยังมีนักวิชาการอื่นๆ อ.พิภพ ธงไชย และใครต่อใครมา ทำให้ข้อมูลความรู้ ชุดความคิด ที่จะทำให้พี่น้องประชาชนทั้งประเทศเข้าใจว่ารัฐบาลนั้นละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดในด้านการต่างประเทศ และทำให้รัฐบาล ทหารของคนกัมพูชา เข้ามายึดครองแผ่นดินไทยอย่างไร ทำให้ไทยต้องสูญเสียดินแดนอย่างไร คณะกรรมการที่ตั้งขึ้น ไม่ว่าเจบีซี ตามกลไกของ MOU นั้น เป็นกลไกที่กระทรวงการต่างประเทศ และรัฐบาล ไปทำความตกลงที่นำมาซึ่งความเสียเปรียบ เสียหาย และสร้างความอัปยศกับประเทศอย่างไร ผมเชื่อแน่ว่าวันนี้เรื่องนี้ ประชาชนทั้งประเทศรู้แล้วว่ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ขายชาติ และทำให้ประเทศเสียดินแดน

นี่คือชัยชนะ และในตอนแรกที่เราชุมนุม เห็นมั้ยครับทีมวิชาการ 7.1 ล้าน ที่รัฐบาลไปจ้าง ดาหน้าออกมาโต้กับพวกเรา นายอภิสิทธิ์ก็ดาหน้าออกมาโต้กับพวกเรา นายศิริโชคก็ออกมาโต้กับพวกเรา ตอนนี้ 7.1 ล้าน กับศิริโชค กับอภิสิทธิ์ และนักวิชาการ ใครต่อใคร แม้กระทั่งเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง มุดหัวอยู่ไหน ไม่กล้ามาโต้กับพวกเรา นี่แสดงว่าแพ้อย่างราบคาบใช่มั้ยครับ

ประการที่ 2 เมื่อเราพูดเรื่องดินแดน เรื่องอธิปไตยไปแล้ว เรายังได้พูดเรื่องการบริหารประเทศที่ล้มเหลว ความไร้ภาวะผู้นำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ การบริหารประเทศที่สร้างความเสียหาย การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ การแก้ไขปัญหาข้าวยากหมากแพง สินค้ามีราคาแพงและขาดแคลน รัฐบาลอภิสิทธิ์และพรรคร่วมรัฐบาล โกง ทุจริต คอร์รัปชั่นอย่างไร นายอภิสิทธิ์ได้สะท้อนแสดงภาวะความไม่มีความสามารถและไม่มีภาวะผู้นำให้ประชาชนเห็น โดยเวทีนี้ได้ลอกคราบนายอภิสิทธิ์ และเปิดเผยโฉมหน้าของพรรคประชาธิปัตย์แบบหมดเปลือก ล่อนจ้อน ถึงความอัปยศอย่างไม่มีครั้งใดที่พรรคประชาธิปัตย์จะต้องเผชิญกับการเปิดโปงและวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงเหมือนเวทีนี้ ใช่มั้ยครับ

และตลอดเวลามา พรรคประชาธิปัตย์ได้ตีกินกับเหตุการณ์ทางการเมืองมาตลอด ไม่ว่า 14 ตุลาฯ พฤษภาฯ แม้กระทั่งเหตุการณ์ 193 วัน ที่เราขับไล่ทักษิณ พรรคประชาธิปัตย์ตีกินเอาผลประโยชน์ทางการเมืองเพื่อตนเองมาตลอด แต่ยังไม่เคยมีครั้งใดที่ประชาชนออกมาวางบิลและทวงหนี้กับพรรคประชาธิปัตย์ เปิดโปงความเนรคุณในครั้งนี้อย่างถึงเปลือก ถึงแก่น ถึงรากถึงโคน ขุดถึงเหง้าเลยครับ แล้วเป็นยังไงครับ วันนี้กระแสความนิยมของพรรคประธิปัตย์ และตัวนายอภิสิทธิ์ รูดจมธรณีเลย ใช่มั้ยครับ

นี่ต้องนับว่าเป็นครั้งแรกที่พรรคประชาธิปัตย์เผชิญหน้ากับการต่อสู้ของประชาชน และโดนประชาชนชำแหละอย่างไม่มีชิ้นดี เผยหน้ากากวิญญูชนจอมปลอมของนายอภิสิทธิ์แบบล่อนจ้อน นายอภิสิทธิ์กลายเป็นผู้นำตัวตลก กลายเป็นผู้นำที่ไม่มีภาวะผู้นำ กลายเป็นผู้นำที่ไม่มีบารมี กลายเป็นผู้นำที่เสมือนบุคคลไร้ความสามารถ ง่อยเปลี้ยเสียขา พิการ ไม่วิกลจริตก็เสมือนคนไร้ความสามารถล่ะครับ

ภาษากฎหมายเขาบอกว่า สภาพบุคคลไม่เหลือแล้ว ถึงแม้เป็นคน ก็เป็นคนไร้ความสามารถ หรือเสมือนคนไร้ความสามารถ ไม่มีภาวะความเป็นผู้นำเหลืออยู่เลย ถามว่าตั้งแต่นายอภิสิทธิ์เดินอยู่บนถนนการเมือง มีครั้งไหนบ้างที่เผชิญกับการต่อสู้ที่แหลมคมที่สุด การวิพากษ์วิจารณ์ที่ถึงพริกถึงขิง ถึงแก่น และเต็มไปด้วยข้อเท็จจริง เหตุผล ที่นายอภิสิทธิ์ ที่เรียกว่าเป็นนักโต้วาที เถียงไม่ได้และแพ้อย่างหมดรูปเลยครับ

นี่สองแล้วนะ สาม ความจริงแล้วรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ตั้งใจจะอยู่ถึงสิ้นปี เดือนธันวาฯ ไม่ได้ต้องการที่จะยุบสภาหรอกครับ ผมน่ะรู้สันดานและรู้ธาตุแท้ ผมจะบอกให้ แต่ที่ต้องรีบประกาศว่าจะยุบสภาเดือนพฤษภาฯ เพราะเจอเวทีนี้เปิดโปงอภิปรายทุกวัน ขืนอยู่นาน ส.ส.ที่มีอยู่ 160-170 คน เลือกตั้งคราวหน้าอาจจะเหลือไม่ถึง 60 คนครับ ถึงได้ต้องรีบเสนอกฎหมายลูกผ่านสภา และตอบคำถามในสภาว่าจะยุบสภาในเดือนพฤษภาฯ เพื่อจะมาสยบกระแสความเคลื่อนไหวของพวกเรา ความจริงแล้วการยุบสภาของนายอภิสิทธิ์ไม่ได้เป็นเพราะพรรคร่วมรัฐบาลบีบ ไม่ได้เป็นเพราะแพ้เกมในสภา แต่เป็นเพราะเวทีนี้เปิดโปงนายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ทุกวันจนทนไม่ได้

นี่ก็ถือว่าเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของพวกเราแล้ว หวังจะยุบสภา รีบยุบสภาเพื่อจะไปหาเสียงเลือกตั้ง และรีบปิดเกมการชุมนุมของพี่น้องประชาชน ดึงความสนใจของประชาชนไปสู่เวทีการเลือกตั้ง หวังจะเอาการเลือกตั้งมาฟอกความผิดตัวเองและกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง โดยพยายามจะกลบปัญหาที่เราพูดอยู่นี้ ลงไว้ใต้พรม นี่ล่ะคือเขาล่ะ นายอภิสิทธิ์

ลักษณะนิสัยของนายอภิสิทธิ์นี่เหมือนแมว เวลาขี้แล้วก็พยายามรีบกลบ คือถ้าใครจับได้มันจะรีบกลบความผิดของมัน เหมือนที่เราจับได้ในสภา รัฐธรรมนูญ 190 คุณแก้ได้ยังไง พอคุณคำนูณอภิปรายปั๊บ จับผิดได้ มันรีบแก้ตัวกลบเกลื่อนความผิดทันที นี่นิสัยเหมือนหมาเหมือนแมวครับ คนนี้

นี่คือความจริงนะครับ มันถึงเกลียดผมไงครับ เกลียดประพันธ์มาก เวลานี้นายอภิสิทธิ์ในโลกนี้ไม่เกลียดใครเท่ากับผมหรอกครับ เพราะว่าผมรู้ทันไงครับ เขาก็เลยเกลียดผม แต่เขาเกลียดผมนี่ผมมีความสุขมั้ยอภิสิทธิ์ครับ ผมมีความสุขที่สุดเลยที่คุณเกลียดผม ยิ่งคุณเกลียดผมมากเท่าไรผมยิ่งมีความสุข แต่ถ้าคุณมารักผมเมื่อไร ผมเสียวสันหลังว่ะ เสียวนะ ถ้าคุณรักผมเมื่อไรนี่ยุ่งเลย

เห็นหรือยังครับ ผมสรุปมานี่ 3 เรื่อง การยุบสภารีบเลือกตั้งก็เพราะกลัวเวทีนี้ นอกจากนั้นผลสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของการชุมนุมของพี่น้องประชาชน พี่น้องรู้มั้ยครับ กลายเป็นว่าเวลานี้คนมาฟังพี่น้องพันธมิตรฯ เวทีการชุมนุมที่นี่มากที่สุด ติดตามทั้ง ASTV ทั้งเว็บไซต์ ทั้งวิทยุคลื่น 97.75 และเป็นเวทีที่ให้ความรู้ ให้ข้อมูล ข่าวสารอย่างเป็นประโยชน์ ครบถ้วนกับพี่น้องประชาชนมากที่สุดกว่าสื่อของรัฐและสื่อฟรีทีวีอีกครับ ไม่ว่าอยากจะฟังเรื่องข้าว เรื่องน้ำมันปาล์ม เรื่องการโกง เรื่องทุจริต เรื่องการบริหารประเทศที่ล้มเหลวของรัฐบาล มาฟังที่นี่ทั้งนั้นเลยครับ นี่คือผลพวงที่เราได้รับและทำให้เรามีแนวร่วม มีมวลชนกว้างขวางมากกว่าเดิม

ขณะเดียวกัน ในวงการสื่อมวลชน ผมจะบอกให้ ในวงการสื่อมวลชน เมื่อก่อนที่เราชุมนุมอยู่ที่นี่ 193 วัน สื่อมวลชนที่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับเรา 2 คนนี่เป็นหัวหอกเลย คือเจิมศักดิ์ กับเปลว สีเงิน เปลว สีเงิน เขาก็จะเขียนไทยโพสต์ เจิมศักดิ์ก็จะจัดรายการรู้ทันประเทศไทย ทางทีวี และจัดรายการวิทยุ ยืนหยัดเป็นปากเป็นเสียง ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กับพี่น้องประชาชน บางทีก็มาขึ้นเวทีนี้ แต่ตอนนี้เขารวยแล้วจากการมาร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ เพราะอะไรครับ เพราะรายการของเขาเขาทำเทป ทำซีดีขาย พี่น้องตาย พี่น้องบาดเจ็บ เหตุการณ์ 7 ตุลาฯ เขาไปทำวิจัยสัมภาษณ์แล้วก็มาทำซีดีขาย พี่น้องตาย พี่น้องบาดเจ็บ เขาก็มาทำพอคเก็ตบุ๊คขาย โฆษณาผ่าน ASTV โดย ASTV ไม่ได้เก็บตังค์เขาแม้แต่บาทเดียว เขารวยคนเดียวครับ นี่พูดซะเลย

และ 2 พอเกิดรัฐบาลเปลี่ยนแปลง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาเป็นรัฐบาล เจิมศักดิ์กร่างเลยครับตอนนี้ รายการทีวีช่อง 11 เจิมศักดิ์เป็นขาใหญ่เลย เพราะว่าเป็นคู่ขากับอภิสิทธิ์มาก่อน รายการวิทยุคลื่น 92.25 วิทยุ 105 วิทยุคลื่นกรมประชาสัมพันธ์ บางทีมาพ่วงรายการ 92.25 ยึดหนังสือพิมพ์แนวหน้ามาเขียนลงในคอลัมน์ต่างๆ เขาก็มีบทบาท เพราะเขาเอาการมาร่วมกับพวกเราไปเป็นเครื่องต่อรองหาประโยชน์กับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ตอนนี้น่าจะกลายเป็นหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ และจริงๆ แล้วผมจะบอกให้ เขาแอบเป็นที่ปรึกษานายอภิสิทธิ์ เป็นที่ปรึกษาฝ่ายประชาสัมพันธ์ตั้งแต่รณรงค์หาเสียงเลือกตั้งมาแล้ว เขาจึงได้เขียนหนังสือร้อยฝันวันฟ้าใหม่ ไงครับ นั่นล่ะเขาไปทำงานอยู่กับประชาธิปัตย์มานานแล้ว และเขาก็เอาทีมงานเข้าไปอยู่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ โดยทำงานร่วมกับภรรยาของนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ที่ชื่ออานิก อัมระนันทน์ เจิมศักดิ์นี่เป็นสตาฟ เป็นทีมงานให้อภิสิทธิ์มาตั้งนานแล้ว รู้ไว้ซะ ว่าทำไมมันถึงเชียร์อภิสิทธิ์จะเป็นจะตาย ไม่ลืมหูลืมตา ไม่รู้ผิดรู้ชอบรู้ชั่ว

นอกจากเขียนร้อยฝันวันฟ้าใหม่แล้ว วันนี้สำนักงานขอคิดด้วยคน สำนักพิมพ์ขอคิดด้วยคนของเจิมศักดิ์ ทำหนังสือให้สุเทพ เทือกสุบรรณ เรื่อง ใครเผาประเทศไทย ไงครับ แต่มันเสือกไม่เขียนว่า แล้วใครมันเสือกปล่อยให้คนมาเผาประเทศไทยวะ ใครจะต้องรับผิดชอบที่ปล่อยให้โจรมาเผาบ้านเผาเมือง เขียนทำหนังสือ หนังสือนี้ก็ตอแหลเหมือนกับร้อยฝันวันฟ้าใหม่ คือเขียนข้อมูลด้านเดียว เขียนด่าใส่ร้ายแต่คนอื่น แต่ไม่เขียนว่าความเลวของนายสุเทพ และความชั่วของนายอภิสิทธิ์ ที่ปล่อยให้โจรมาเผาบ้านเผาเมือง มึงรับผิดชอบอะไรบ้าง ไม่รับผิดชอบอะไรเลย เสือกทะลึ่งไปรับเขียนหนังสือหาเอาความดีใส่ตัว โยนความชั่วใส่แต่คนอื่น ความจริงมันก็เลวก็ชั่วทั้งคนเผา และคนที่ปล่อยให้เขาเผาบ้านเผาเมือง ใช่มั้ยครับ

นี่ไงครับ วิธีทำงานแบบหน้าด้านๆ หากินแบบนี้ รับจ้างเขียนหนังสือแล้วได้ไปเท่าไร พี่น้องดูซิครับ แล้วหนังสือเล่มนี้ก็เป็นหนังสือที่ให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน เหมือนกับร้อยฝันวันฟ้าใหม่ โอ้โห เขียนซะอภิสิทธิ์จะเป็นเทวดา แต่ทำไม่ได้ซักเรื่อง ที่เขียนนั่นโกหกตอแหลทั้งนั้นเลย

เอาล่ะ ส่วนพี่เปลวก็ต้องปล่อยแกไป เพราะบางวันแกก็เขียนดี บางวันแกก็เขียนไม่ดี แล้วแต่อารมณ์ แต่พี่น้องครับ ไม่เป็นไรครับ แม้ว่าเราจะไม่มีคนที่เคยขึ้นเวทีนี้แล้วไปทำหน้าที่วิพากษ์วิจารณ์เรา แต่พี่น้องรู้มั้ยเราได้มิตรเพิ่มขึ้นเยอะเลยครับ อย่างน้อยผมรู้ว่ามติชนมีหลายคน คอลัมนิสต์เขียนยืนหยัดและให้จุดยืนที่ตรงกับพวกเรา สนับสนุนการต่อสู้ของพวกเรา จากที่เคยด่า เคยโจมตีพวกเรา ตอนนี้หลายคนเขียนวิพากษ์วิจารณ์และสนับสนุนเรา ไทยรัฐไม่เคยเขียนชื่นชมเรา ไม่เคยมีจุดยืนในการต่อสู้ร่วมกับพวกเราเลย แต่บางคอลัมนิสต์สำคัญๆ ที่เราเคยมาอ่าน ไม่ว่าแม่ลูกจันทน์ ไม่ว่าลมเปลี่ยนทิศ คอลัมนิสต์ใหญ่ๆ ที่เป็นหลัก กลับกลายเป็นคนที่มองเห็นปัญหาชาติดีกว่า อ.เจิมศักดิ์ ซึ่งมองไม่เห็นปัญหาบ้านเมืองเลย เห็นแต่ประโยชน์ที่จะได้จากนายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์

เห็นมั้ย เพราะฉะนั้นแม้เราจะเสียมิตรไปบางคน แต่เราก็ได้มิตรกลับคืนมามากมาย แม้เราจะเสียคนอย่างนายกษิต ภิรมย์ ไป นายอัษฎา ไปเป็นพวกประชาธิปัตย์ เป็นพวกที่ไปงมงายอยู่กับ MOU 43 แต่เราก็ได้นักกฎหมาย นักปกครอง นักรัฐศาสตร์ มากมาย ได้คนอย่าง อ.สมปาง ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม ดร.อาทิตย์ ใครต่อใคร มายืนหยัดอยู่ทางฝ่ายพวกเราเยอะแยะเลย ไม่ว่าท่านนาม ยิ้มแย้ม อ.สุเทพ จิตสวัสดิ์ นักกฎหมาย อ.ยินดี วัชรพงษ์ ต่อสุวรรณ มีคุณค่า มีความหมาย มีความสำคัญกว่าพวกจิ้งจกเปลี่ยนสีอีก

เพราะฉะนั้น พี่น้องครับ เรื่องราวที่มีคนเห็นต่างกับเรา แล้วไปยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง และมีคนเห็นร่วมกับเรา พี่น้องต้องทำใจ มันเป็นเรื่องธรรมดาของการต่อสู้ ในการต่อสู้เขาเรียกว่าหนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ใครมันจะจริง ใครมันจะทน ใครมันจะเป็นเหล็กกล้า มันจะผ่านเตาหลอม ถ้ามันไม่เป็นเหล็กกล้า เป็นตะกั่วผ่านเตาหลอม มันก็ละลายไปใช่มั้ยครับ

เพราะฉะนั้นวันนี้แสดงว่าพวกนั้นมาในวันนั้น มาแบบมีวาระซ่อนเร้น พอได้ประโยชน์แล้วก็เนรคุณประชาชนไป แต่เราอย่าไปเสียใจและอย่าไปอาลัยอาวรณ์กับเรื่องนี้ เพราะไม่มีประโยชน์อันใด เพราะมีบางคนที่เคยอยู่กับเรา และเคยต่อสู้กับเรา ไปยืนอยู่อีกจุดหนึ่งนั้น มันก็จะเป็นการประจานตัวตนของเขาเอง ว่าต่อปัญหาที่มีความหมายความสำคัญต่อชาติบ้านเมืองขนาดนี้ คุณยังไม่รู้อะไรผิด อะไรชั่ว อะไรชอบ อะไรดี มันก็จะเป็นบทพิสูจน์และบอกตัวตนคุณเองว่าคุณเป็นคนแบบไหน

ขณะนี้ก็คือ ใครจะเป็นมิตร ใครจะเป็นศัตรู ใครจะเป็นเพื่อน ใครจะเป็นผู้สนับสนุน มันจะแสดงออกด้วยการเหตุการณ์ของการต่อสู้เองว่าแต่ละคนจะยืนอยู่ตรงไหน เหตุการณ์ สถานการณ์ มันจะบอกเราเอง แต่พี่น้องครับ ผมยืนยันได้อย่างหนึ่งว่าวันนี้การยืนหยัดต่อสู้ของพวกเรา นอกจากที่ผมพูดไปแล้วนั้น มันยังมีเหตุการณ์เป็นผลพวงที่เป็นผลพลอยได้ตามมาอีก อย่างไม่น่าคิด ที่เราไม่ได้คาดคิด ที่เราไม่ได้คาดคิดก็คือ พี่น้องครับ จริงๆ แล้วพี่น้องพันธมิตรฯ ที่เราต่อสู้ร่วมกันมานั้น เราต้องการการเมืองใหม่ใช่มั้ยครับ การเมืองใหม่ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าพรรคการเมืองใหม่

การเมืองใหม่หมายถึงการเมืองที่โปร่งใส การเมืองที่สะอาด การเมืองที่ได้คนดี คนซื่อสัตย์สุจริต มาบริหารชาติบ้านเมือง ได้นักการเมืองที่มีคุณภาพ ได้ประชาชนที่มีคุณภาพ ได้กลไกควบคุมตรวจสอบที่เข้มแข็งและมีคุณภาพ ได้การเมืองที่ไม่โกง ไม่ทุจริต ไม่ขายชาติ และเป็นการเมืองที่ยึดถือเอาผลประโยชน์ชาติ ผลประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง

นี่คือสิ่งที่เราต้องการ เพราะเราได้ผ่านบทเรียนการต่อสู้มาแล้วจากการไล่ทักษิณมา 193 วัน เราสู้กับระบอบการเมืองที่เป็นระบอบที่เรียกว่าโกง ทุจริต แบบโคตรโกง และใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ตนเองและพวกพ้อง ทำให้พวกเราได้เห็นว่า ถ้าการเมืองมันจะเดินไปแบบระบบเดิม เราก็คงต้องกลับมาไล่พวกนักการเมืองแบบนี้อยู่ต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด

แต่เมื่อเราต่อสู้โค่นล้มรัฐบาลทักษิณไปแล้ว เราได้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พรรคประชาธิปัตย์ มาเป็นนายกฯ ในวันที่นายอภิสิทธิ์ได้รับพระบรมราชโองการก็พูดเสียสวยหรูเพื่อเอาใจพวกเราว่า ผมจะนำพาบ้านเมืองให้ก้าวหนีพ้นไปจากการเมืองที่ล้มเหลว การเมืองที่ล้มเหลวเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาบ้านเมือง ผมจะอาศัยความรู้ ประสบการณ์ของผมทั้งหมด มารับใช้พี่น้องประชาชน ไม่ว่าจะสีอะไร เห็นมั้ยครับความตอแหลของเขา ก็คือพยายามพูดให้ตรงกับความคิดและความต้องการของเรา เพื่อทำให้เราสำเร็จความใคร่ ใช่มั้ยครับ

ที่พี่สนธิบอกว่า ที่พี่ยอดธงเขียน บอกว่านี่มันเป็นการชอบชักว่าวให้ประชาชน คือให้ประชาชนสำเร็จความใคร่แต่แล้วก็ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

หลังจากเขาพูด เราก็นึกว่าเขาจะมาเป็นตัวสร้างการเมือง มาเป็นคนที่สร้างระบบการเมืองใหม่ เป็นผู้นำการเมืองใหม่ที่เป็นการเมืองที่ก้าวหน้า การเมืองที่สร้างสรรค์ การเมืองที่สะอาด ล้มเหลวระบอบการโกง การทุจริต การโคตรโกงที่เราสู้กันมาอย่างเอาเป็นเอาตาย สุดท้ายรัฐบาลนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ก็ทำตัวเลวและโกงไม่ต่างจากรัฐบาลที่ผ่านๆ มาเช่นกัน ใช่มั้ยครับ

ปัญหาก็คือ แล้วเราจะได้การเมืองใหม่ที่เราต้องการและปรารถนาได้อย่างไร เอาล่ะ แม้ว่าส่วนหนึ่งของพี่น้องพันธมิตรฯ จะเห็นพ้องต้องกันให้ไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ แต่วันนี้เราต้องพูดกันอย่างเปิดอกและอย่างตรงไปตรงมาว่า ถ้ามีการเลือกตั้ง คำถามก็คือ กระบวนการการเลือกตั้งนี้จะทำให้เราได้การเมืองใหม่ตามที่เราปรารถนามั้ยครับ การเลือกตั้งจะทำให้เราได้นักการเมืองที่เป็นคนซื่อสัตย์สุจริต ทำให้ได้ระบอบการเมืองที่โปร่งใส สะอาด ไม่โกง ไม่กิน ไม่ขายชาติ จะทำให้นักการเมืองที่ผ่านกระบวนการเลือกตั้งยุบสภาครั้งนี้เปลี่ยนพฤติกรรมไปมั้ยครับ ไม่มีทางใช่มั้ยครับ

ต่อให้พรรคการเมืองได้เข้าไป 5 คน 10 คน ต่อให้ได้ไป 50 คนด้วยซ้ำไป จะสามารถเปลี่ยนการเมืองใหม่มั้ย ดี/ไม่ดี อาจจะไปเป็นการเมืองน้ำเน่าจับมือกับเขา หาแดกกับเขาก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะถูกเขาซื้อตัวไปก็ได้ เพราะอะไรครับ นี่ผมไม่ได้ดูถูกนะครับ เพราะอะไร เพราะพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคร่วมรัฐบาล มันรอซื้อนักการเมืองจากการเมืองใหม่อยู่ เพราะว่าถ้ามันซื้อตัวไปได้ มันก็จะได้อ้างว่า เห็นมั้ยพวกมึงก็เหมือนพวกกูไงครับ

แล้วเชื่อเถอะครับไอ้พวกที่แฝงตัวเข้ามาอยากจะลงเลือกตั้ง มีพวกสัมพเวสี พวกจรจัดเร่ร่อนทางการเมืองแฝงตัวเข้ามาเยอะ ดี/ไม่ดี อาจจะมี 5 พรรคร่วมรัฐบาลให้เงินช่วยสนับสนุน เฮ้ย มึงไปลงๆๆ ตัดคะแนนพรรคประชาธิปัตย์ หรือไม่ก็ช่วยให้มันได้มาใส่เสื้อการเมืองใหม่เสร็จแล้วก็ยกมือสนับสนุนร่วมรัฐบาลกับเขา เพื่อจะได้บอกว่า เห็นมั้ยเรามาสมานฉันท์ปรองดองก็ได้ ใช่มั้ยครับ

แต่เอาเถอะ วันนี้มันมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน เราเสนอโหวตโน ซึ่งเป็นการไม่ลงคะแนนให้พรรคใด คนใด เป็นเรื่องที่เรามาคิดได้ในการชุมนุมในการต่อสู้ เพราะเราเห็นว่าการเมืองมันล้มเหลว และ 2 พรรคประชาธิปัตย์ก็หวังจะยุบสภาเพื่อมาปิดปาก ปิดหู ปิดตาเรา แล้วก็รีบเลือกตั้งเพื่อจะกลับไปเป็นรัฐบาล เพื่อจะมาสลายการชุมนุมและลดกระแสการต่อสู้ของพี่น้องประชาชน แต่เมื่อเราเสนอการโหวตโนนี้ มันทำให้เกิดกระแสการที่จะกดดันไปยังนักการเมือง เพื่อเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองและนักการเมือง และการเลือกตั้งที่สกปรกซื้อเสียงนี้ มันทำให้เกิดผลดีกับการเมืองโดยรวมครับ

ปัญหาก็คือ ถ้าพรรคการเมืองใหม่ไปลงเลือกตั้ง คุณก็ไปเผชิญชะตากรรมเอาเองว่า คุณจะไปเป็นตัวตลกหรือเป็นตัวประกอบยอดเยี่ยม ได้ตุ๊กตาทองแผนกตัวประกอบยอดเยี่ยม ทำให้การเลือกตั้งเขามีความชอบธรรมขึ้นมา ก็เป็นเรื่องของคุณ แต่พี่น้องประชาชนส่วนใหญ่เขามอง เขาเดินทางนี้เพราะเขาต้องการการเมืองใหม่ ต้องการให้การเมืองเปลี่ยนแปลง เมื่อเป็นดังนี้แล้ว พรรคการเมืองใหม่ก็ควรจะสดับตรับฟังความคิดความต้องการของพี่น้องประชาชน ถ้าคุณเป็นพรรคของพี่น้องประชาชน คุณก็ต้องรับฟังความเห็นของประชาชน ไม่ใช่ไปสนองตัณหาของพวกตัวเองที่กระสันอยากจะเลือกตั้ง

การเลือกตั้งมันเลือกเมื่อไรก็ได้ ถ้าบ้านเมืองปฏิรูปเปลี่ยนแปลงและการเมืองมันมีอนาคตมีหลักประกันว่าจะนำไปสู่การปฏิรูปการเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง แต่การเลือกตั้งนี่ เอาเถอะ ถึงท่านลงไปเลือกตั้งนะ ผมก็เชื่อว่าผมไม่อยากปรามาสนะ 2 คนจะได้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย คนเดียวก็ไม่แน่ว่าจะได้

เพราะฉะนั้น หันมาร่วมมือกับพี่น้องประชาชนและเดินไปในทางเดียวกันนี้ และเมื่อสถานการณ์มันเอื้ออำนวยเราค่อยรณรงค์เข้าไปสู่กระบวนการ เวทีต่อสู้ทางการเมือง ไปก็ไปด้วยกัน มันถึงจะมีพลังใช่มั้ยครับพี่น้อง ไม่ใช่ไปแบบหัวเดียวกระเทียมลีบ เอาตามสนองความต้องการและตัณหาของตัวเอง ไม่ฟังเสียงเรียกร้องของพี่น้องประชาชน ผมคิดว่าวันนี้พรรคการเมืองใหม่ก็จะฆ่าตัวตายครับ

แล้ววันนี้ก็แอบไปรณรงค์บอกว่าถ้าไม่เลือกคนไม่เป็นไร ขอให้ลงคะแนนให้พรรค เลิกเถอะวิธีคิดแบบโง่ๆ แบบนี้ อย่าไปทำเลย มันขายหน้าพรรคอื่นเขา ผมจำเป็นต้องพูด เพราะอะไร ผมรำคาญครับ โตขนาดนี้แล้วยังมองสถานการณ์บ้านเมืองไม่ออก แล้วจะมาเป็นผู้นำประชาชนได้อย่างไร

ผมบอกและประกาศต่อพี่น้องประชาชนไว้เลยนะครับ ผมเนี่ยจะลาออกจากพรรคการเมืองใหม่ทันที ถ้าพรรคนี้มันไปลงสมัครรับเลือกตั้ง และจริงๆ ผมอยากจะลาออกตั้งนานแล้ว แต่ไว้หน้าและให้เกียรติเพื่อนฝูงที่ยังหลงเหลืออยู่ในพรรค แต่ถ้าคุณไม่ฟังเสียงประชาชนผมก็ต้องลาออกจากพรรคการเมืองใหม่ และผมต้องมารณรงค์อยู่กับพี่น้องประชาชนครับ บอกไว้เลยครับ

ทีนี้ผลประโยชน์อันเกิดจากการชุมนุมต่อสู้ครั้งนี้ครับ มันทำให้เกิดกระแสรณรงค์โหวตโนเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง อันนี้มันคือชัยชนะอันยิ่งใหญ่และพลังอันยิ่งใหญ่ของพี่น้องประชาชนครับ เป็นผลพวงมาจากการต่อสู้ของพวกเราโดยแท้ ทำไมเราไม่เดินไปด้วยกัน ถามว่าอยากไปเลือกตั้ง ปัดโธ่เอ๊ย เลือกตั้งน่ะผมผ่านมาแล้ว และเห็นมาแล้ว เลือกตั้งถ้าไม่โกง ชาตินี้ไม่มีวันชนะ

ที่ผมลงเลือกตั้งผมไม่เคยซื้อเสียงแม้แต่บาทเดียว สตางค์แดงเดียว ที่ผมได้คะแนน 9 หมื่นคะแนน ไม่เคยซื้อเสียงแม้แต่สลึงแดงเดียว แต่ถ้าอยากเป็นผู้แทน ก็ไม่ยาก ก็โกง ก็ซื้อเสียง ร่วมทำชั่วกับเขามันก็ได้เป็น เท่านั้นเอง ไม่ยากอะไรเลยเป็นผู้แทน แต่เพราะผมไม่โกง และผมพูดได้เต็มที่ ผมไม่เคยซื้อเสียง อยากเลือกก็เลือก ถ้าไม่อยากเลือกก็อย่าเลือกครับ เพราะผมไม่ได้มารับจ้างใคร ไม่ได้มาโกงมากิน ถ้าเห็นว่าผมจะทำประโยชน์ให้ชาติบ้านเมืองก็เลือก ถ้าเห็นว่าผมไม่มีความรู้ไม่มีความสามารถ ก็อย่าเลือก

ทำไมล่ะ เขตเลือกตั้งที่ยากที่สุด บางกะปิ มีนบุรี หนองจอก เดินกัน 3 วัน 3 คืนยังไปไม่ทั่วเลยครับ ไอ้พวกประชาธิปัตย์แม้แต่หัวหน้าพรรคมันยังไม่กล้าไปลงเลยครับ แต่ผมไปลง แล้วสู้กับคนที่แข็งที่สุดของเขา ยังเกือบจะเอาชนะเขาได้โดยผมไม่ได้ซื้อแม้แต่บาทเดียว สตางค์แดงเดียว

พี่น้องครับ ที่พูดกับพี่น้องของเราแบบตรงไปตรงมานี่เพราะเวลานี้มันไม่มีเวลาที่จะมาลูบๆ คลำๆ มาพูดจากันแบบเกรงอกเกรงใจ ลูบหน้าปะจมูก อะไรจริงก็จริง อะไรดีก็ดี อะไรชั่วก็ชั่ว อะไรก็คือผิด อย่ามาแทงกั๊ก อย่ามาอ้ำๆ อึ้งๆ อย่ามายืนแบบถ่างขา ใช่มั้ยครับ จะยืนอยู่ตรงไหนก็ยืนให้มันถูกที่ถูกทาง

ทีนี้ขอพูดในประเด็นสุดท้ายว่า การต่อสู้ของพวกเรานี้มันจะมีทางลง ทางจบ ทางออกอะไรได้บ้าง ผมว่าพี่น้องหลายคนอยากฟัง พี่น้องครับ ก่อนที่จะพูดตรงนี้ผมขอสรุปให้ฟังก่อนว่าการชุมนุมของพวกเราครั้งนี้เป็นการชุมนุมที่สุดยอดที่สุด เป็นการชุมนุมที่ใช้คนไม่ต้องมากแต่มีคุณภาพมากที่สุดครับ และเป็นการชุมนุมแบบรู้งาน ถ้าต้องการคนมากไม่ต้องบอกเดี๋ยวก็มาเอง เขาเรียกว่ามีบทเรียนแล้ว

อันที่ 2 ก็คือว่าเราได้สร้างคุณูปการอันยิ่งใหญ่ให้กับการเมืองของประเทศ ได้จุดกระแสกดดันเรียกร้องเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทย สังคมไทย และการเมืองไทย ด้วยพลังการชุมนุมของพวกเราอยู่ที่นี่ครับ ที่นี่เป็นที่ๆ จุดประเด็น จุดประกาย ให้เกิดกระแสเรียกร้องให้ทุกฝ่ายมาเปลี่ยนแปลงและคิดหาทางออกให้กับชาติบ้านเมือง

นอกจากนั้น พวกเรายังเป็นพวกที่ได้สร้างวัฒนธรรมใหม่ วัฒนธรรมที่รักชาติ วัฒนธรรมที่ปกป้องหวงแหนแผ่นดิน วัฒนธรรมที่เกลียดนักการเมืองชั่ว นักการเมืองโกง วัฒนธรรมแห่งความกล้าหาญ ความเสียสละ ความสามัคคี วัฒนธรรมใหม่ทางการเมืองเกิดขึ้นด้วยพลังของพี่น้องประชาชนครับ

แล้วถ้าบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไป พวกเราจะเป็นพลังที่เป็นแบบอย่างของคนในสังคมและคนรุ่นต่อๆ ไป เป็นแบบอย่างที่ดีงามของพลเมืองที่มีคุณภาพและพัฒนาแล้ว นี่คือสิ่งที่เราได้สร้างเอาไว้

นอกจากนั้น สังคมที่เราเรียกร้อง สังคมที่ดีงาม การเมืองใหม่ที่เราต้องการ กำลังจะเกิดขึ้น ด้วยแรงกดดันจากพวกเรา ด้วยความเรียกร้องของพี่น้องประชาชน พี่น้องเห็นหรือยังครับว่าเราชุมนุมอยู่ตรงนี้ ทหารก็ขยับแล้ว อยู่ๆ ออกมาแถลงทำไม พี่น้องพันธมิตรฯ ไม่ได้เชิญให้มาแถลงเสียหน่อย มาแต่งเครื่องแบบแถลงทำไม ไม่รู้ อยู่ๆ มาแถลงทำไม แต่ปรากฏว่าวันนี้ที่นี่กลายเป็นที่กดดันทหารและเหล่าทัพทั้งหลาย และทำให้นายทหารผู้ใหญ่พวกนี้อยู่ไม่เป็นสุข เพราะอะไร เพราะบรรดา ผบ.สูงสุด ผบ.เหล่าทัพ พวกนี้ทุกวันนี้ไม่ค่อยกล้าออกไปรบ ไม่กล้าสู้กับเขมร เพราะอะไรครับ เป็นห่วงลูก เป็นห่วงเมีย เพราะลูกเมียวันๆ หนึ่งโชว์เพชร โชว์แหวนเพชร โชว์แหวนอัญมณี โชว์กระเป๋าหลุยส์วิตตอง โชว์ชาแนล โชว์ว่าจะไปเที่ยวช็อปปิ้งที่ไหน จะไปกินอะไรอร่อย ถ้าตัวเองจะไปลำบากเกิดตายขึ้นมา กลัวไม่ได้ใช้เงินครับ

ทหารเหล่านี้ ผมจึงไม่ค่อยเชื่อ ถ้าอยากจะให้ประชาชนเชื่อต้องออกไปรบ ไปแสดงแสนยานุภาพและผลงานให้ประชาชนเห็นเสียก่อน เพราะคนเหล่านี้กำลังถูกกดดันจากทหารในเบื้องล่าง มาบอกว่าต้องเชื่อผมๆ ทหารนี่นะครับถ้ามาบอกให้ประชาชนเชื่อ แสดงว่าคุณไม่มีเครดิตน่าเชื่อใช่มั้ยครับ

ถ้าคุณอยากจะให้ประชาชนเชื่อ คุณแทบไม่ต้องพูดเลย เขาจะเชื่อคุณเอง ถ้าคุณได้ปฏิบัติและทำให้ประชาชนเห็น เขาจะเชื่อคุณเอง เพราะฉะนั้นวันนี้อย่ามาแถลงอย่างเดียว ไปแสดงผลงานให้ประชาชนเห็นเสียก่อน ว่าแท้จริงแล้วคุณเองก็ยังกอดรัฐบาลนี้อยู่ อยากจะแสดงปกป้องเขาว่าทหารไม่ปฏิวัติ รัฐบาลอยู่ต่อไปเลย พวกผมจะค้ำบัลลังก์คุณเอง พูดอย่างนี้ใครเขาก็รู้ว่าที่คุณมาแถลงคุณต้องการค้ำบัลลังก์รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ทั้งๆ ที่ประชาชนเห็นว่าอภิสิทธิ์เลว และควรจะไปตั้งนานแล้ว

แทนที่จะเรียกร้องให้รัฐบาลทำหน้าที่ตามหน้าที่ของตัวเอง ตามรัฐธรรมนูญ ไม่เลย มาแถลงว่าไม่ปฏิวัติ พรรคไหนมา รัฐบาลไหนมา เราก็อยู่ได้ ก็สมแล้วที่ถูก พล.อ.ปรีชา ด่าเสียหมาไปเลยครับ

ปัญหาว่าจุดสุดท้ายของการต่อสู้ พี่น้องคงจะรอว่าเอ๊ะ ชุมนุมไปเราจะมีทางลง ทางออก ทางจบยังไง แล้วไอ้พวกที่มันรอดูพวกเราอยู่ มันคงรอดูว่าถ้าพวกเราเลิกชุมนุมคงหมายความว่าเราแพ้ใช่มั้ย มันคงคิดว่าเราแพ้ ความจริงแล้วไอ้คู่ต่อสู้เราตาปิด สะบักสะบอม ปากบวม ฟันหลุดไปแล้ว มันยังไม่รู้อีก ใช่มั้ยครับ เพราะฉะนั้นวันนี้ผมพูดตรงๆ นะ เราจะเลิกเมื่อไรเราก็เลิกอย่างผู้ชนะครับ

เพราะเราได้ทำสงครามการเมืองสั่งสอนรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์แบบไม่เคยได้รับบทเรียนอันเจ็บแสบแบบนี้มาก่อนเลย นายเจิมศักดิ์จะมาบอกว่า เห็นมั้ยผู้ชุมนุมสลายไปแล้ว แสดงว่ารัฐบาลชนะ พอไปยกมืออภิสิทธิ์ อภิสิทธิ์ร่องแร่ง ตาปิด ปากแหว่ง ฟันหลุดไปแล้วครับ โดนพวกเราถลุงเสียยับเยิน หรือไม่ก็ตูดบานไปแล้ว

พี่น้องครับ เวลานี้เราชุมนุมอยู่ที่นี่ ผมอยากให้พวกนั้นมาประเมินว่า ตกลงคุณจะประเมินว่าระหว่างรัฐบาลกับพวกเราใครแพ้ ใครชนะ มองในรูปไหนรัฐบาลก็ไม่มีทางชนะพี่น้องประชาชนเลย นั่งอยู่ตรงนี้ ด่าทุกวันมีแต่กำไร ไม่มีขาดทุน

ส่วนไอ้หมอนั่นคะแนนตกเอาๆๆ แล้วคุณจะมาประเมินว่าคุณชนะพวกเราได้อย่างไร ฉะนั้น 1. อาจจะมีการยุบสภา ถ้ายุบสภาเราก็เปลี่ยนกระบวนท่าของเราจากการชุมนุมเวทีก็รณรงค์ไม่เลือกใคร เราไม่เห็นต้องเดือดร้อน แล้วถ้าเราทำให้พรรคประชาธิปัตย์มันไม่สามารถกลับมาเป็นรัฐบาลได้ ยิ่งชนะขาดลอยเลยครับ ยิ่งทำให้นายอภิสิทธิ์ไม่สามารถมาเป็นนายกฯ ได้ ยิ่งชนะขาดลอยเลยครับ อยากให้เจิมศักดิ์ช่วยเขียนหนังสืออีกสัก 10 เล่ม ช่วยเชียร์อภิสิทธิ์หน่อย จะมีใครเลือกมันไหมครับ แล้วคอยดูว่ากรุงเทพฯ มันจะได้สักกี่คน

ตราบใดที่พวกเรายืนหยัดอยู่อย่างนี้ แล้วขบวนคาราวานของเราก็จะไปจัดคอนเสิร์ต จัดรณรงค์จังหวัดโน้น จังหวัดนี้ โหวตโนๆ ลงคะแนนไม่เลือกใคร ลงคะแนนไม่เลือกพรรคใด คนใดเลย สนุกสนาน โหวตโน กาช่องไม่ลงคะแนนให้ใคร เท่จะตายครับ มันเท่ตรงไหน มันเท่ตรงที่มือของกูไม่เกลือกกลั้วอัปรีย์จัญไรเลย คะแนนของข้าไม่ยอมให้อัปรีย์จัญไรเอาไปอ้างได้เลย ใช่มั้ยครับ

แล้วพวกเราโหวตโนแล้ว ดี/ไม่ดี พวกเราจะมาบอกว่า ใครโหวตโน ให้โทรมารายงานที่เบอร์นี้ แล้วเราจะได้ประกาศทำเกียรติบัตรให้คนละใบๆๆ มอบโดยลุงจำลองเลย

2. อาจจะยุบสภาแล้วมีเลือกตั้ง เราก็เปลี่ยนแผนอย่างที่ว่านั้น ถ้าไม่มีเลือกตั้งก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ครับ ไม่มีเลือกตั้งเราก็ร่วมปฏิรูปประเทศไทย เปลี่ยนแปลงสังคมไทย ไปกับรัฐบาลใหม่ที่มา แต่ถ้ามาแบบหน่อมแน้ม มาแบบ พล.อ.สุรยุทธ์ ก็ไปไกลๆ เลยใช่มั้ยครับ

และที่สำคัญ การรณรงค์ของเรามันจะเป็นการสร้างการเมืองใหม่ วันนี้ถ้าผมมาพูดแบบนี้ พวกนั้นพูดเฮ้ยปราศรัยวันนี้เตรียมหาทางลงแล้ว ไม่ใช่ พวกเราเตรียมฉลองชัยชนะต่างหากครับ เราเตรียมฉลองชัยชนะว่าถ้าพวกลื้อยุบสภาหนีพวกเรา เราก็จะตามล้างตามเช็ดด้วยการรณรงค์โหวตโนไงครับ เอาสิ เอากับพวกเราสิ แล้วอยากจะให้พี่น้อง จริงๆ แล้วยุทธการในการโหวตโนลงคะแนนไม่เลือกใคร พรรคใด นี่นะ ถ้าพรรคการเมืองใหม่เขาดวงตาเห็นธรรมนะ เขามาจังหวะสองนะ คะแนนถล่มทลายเลย แต่ถ้ามาจังหวะแรก หายไปกับสายลม ก้อนเมฆเลยครับ

เพราะฉะนั้นถ้าเชื่อผมนะ อดเปรี้ยวไว้กินหวานดีกว่า พรรคประชาธิปัตย์มันยังไม่เคยลงเลือกตั้งเลย มันยังบอยคอตไม่ลงเลือกตั้ง พอมันมารอบสองมันชนะได้เป็นรัฐบาลเลย เห็นมั้ยครับ เพราะฉะนั้นคุณต้องเล่นเป็น การเมืองมันมีหลายแนวรบ มันมีหลายมิติ อย่าไปเล่นตามเกมที่เขาบังคับให้คุณเดิน

เราต้องเล่นในเกมที่เราเป็นต่อ และที่อยากจะสรุปให้พี่น้องฟังปิดท้ายก็คือ วันนี้พลังพันธมิตรฯ เป็นพลังที่ใครก็กลัว ใครก็มองข้ามเราไม่ได้ เพราะอะไรครับ ทักษิณน่ะกลัวขี้อ่อนขี้แก่ล่ะครับ ไม่ต้องห่วงเลย เพราะทักษิณเคยเจอกับพวกเราเต็มๆ 193 วัน ทั้งภาค 1 ภาค 2 แม้ว่าคราวนี้หลายคนบอกว่าไม่เลือกเราเขามาแน่ มาเลยๆ เพื่อไทย เพราะมวยมันรู้ทางกัน สู้กันไม่ยาก ไม่กลัวเลย และคนที่เขาจะกลัวเรา คือทางนู้น ไม่ใช่พวกเราใช่มั้ยครับ เพราะเคยโดนมาแล้วจนหาแผ่นดินอยู่ไม่ได้

สอง พรรคประชาธิปัตย์ก็กลัวเรา ตอนนี้ ตอนแรกไม่กลัว แต่ตอนนี้ได้รับบทเรียนอันเจ็บปวดแล้ว ตอนนี้เข็ดขี้อ่อนขี้แก่เหมือนกัน เราจึงเป็นกลุ่มประชาชนที่ทรงอำนาจที่สุดในการเมือง ณ ขณะนี้ เราต้องกุมดุลอำนาจและอำนาจต่อรองนี้ไว้ให้มั่นครับ จงรักษาความสามัคคี ผนึกกำลังพันธมิตรฯ ให้เหนียวแน่นเหมือนเดิม เราจะเป็นพลังที่เปลี่ยนแปลงสังคม และกดดันให้การเมืองทุกฝ่ายต้องหันไปสู่การเปลี่ยนแปลง สู่การเมืองใหม่ที่เป็นจริงให้จงได้

ส่วนทหารน่ะ เขาก็กลัวเรา ถ้าไม่กลัวจะ 200 นัดใส่สนธิเหรอ ใช่มั้ย เพราะเขากลัวพันธมิตรฯ จึงพยายามจะเก็บสนธิ แต่แล้วฟ้าดินก็มีตา เก็บสนธิไม่ได้ นั่นแสดงให้เห็นถึงความขี้ขลาดของทหาร ทหารการเมืองนะ ทหารที่มาหากินหาแดกกับนักการเมือง มันกลัวพวกเรา แต่ทหารที่รักชาติ รักประชาธิปไตย เขาจะไม่กลัว เพราะฉะนั้นพี่น้องครับ จงรักษาพลังของพวกเราเอาไว้และเดินหน้าต่อไป อยู่ตรงนี้ อยู่ที่นี่ สู้จนกว่าจะได้ชัยชนะครับ และเราก็ได้ชัยชนะอยู่ทุกวันอยู่แล้ว แต่เราจะได้ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ ขอบคุณครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น