xs
xsm
sm
md
lg

ภัยพิบัติเรื่องรอง สำหรับ “มาร์ค” เจบีซีขายชาติต้องมาก่อน !!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

อาจเป็นเพราะหลายสาเหตุที่ทำให้การประชุมรัฐสภาเมื่อวันอังคารที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมาเพื่อพิจารณาบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมชายแดนไทย-กัมพูชา(เจบีซี) จำนวน 3 ฉบับ ต้อง “ล่ม” ลงอีกรอบ หลังจากเป็นแบบนี้แล้วครั้งหนึ่งเมื่อวันศุกร์ที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา ล่าสุดมีการนัดประชุมใหม่ในวันที่ อังคารที่ 5 เมษายน

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้มองเห็นภาพหลายด้านที่ซ่อนอยู่ข้างใน แต่รับรองว่า “ไม่เป็นผลดี” กับ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์อย่างแน่นอน

ต้องยอมรับกันก่อนว่าบันทึกเจบีซีดังกล่าว ได้รับการผลักดันอย่างเต็มกำลังจากนายกรัฐมนตรี อยู่ตลอดเวลา ทางหนึ่งเพื่อทำตามความต้องการของ “ฮุนเซน” ผู้นำกัมพูชาที่ประกาศเอาไว้ล่วงหน้าว่าหากบันทึกเจบีซีทั้ง 3 ฉบับไม่ผ่านการรับรองจากรัฐสภาไทยฝ่ายกัมพูชาจะไม่เข้าร่วมการประชุม เจบีซี ครั้งต่อไปอย่างเด็ดขาด ซึ่งก่อนหน้านี้มีการกำหนดสถานที่การประชุมเอาไว้แล้วว่าเป็นที่บาหลี อินโดนีเซียวันที่ 7-8 เมษายน

อย่างไรก็ดีก่อนไปไกลก็ต้องย้อนกลับมาพิจารณาถึงสาเหตุที่สมาชิกรัฐสภาพร้อมใจกัน “โดดประชุม” จนทำให้ “องค์ประชุมล่ม” จนโหวตบันทึกทั้ง 3 ฉบับไม่ได้ต่อเนื่องมาสองสัปดาห์ติดต่อกัน

สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ บรรดาสมาชิกรัฐสภาเหล่านี้ส่วนหนึ่งมีความหวั่นเกรงว่าจะทำผิดกฏหมายรัฐธรรมนูญ เพราะหมิ่นเหม่ต่อการสูญเสียอธิปไตย เกรงว่าจะตัวเองจะติดร่างแหตามไปด้วย เพราะหากศาลรัฐธรรมนูญตีความในภายหลังว่า บันทึกข้อตกลงดังกล่าวเป็นหนังสือสัญญาที่เปลี่ยนแปลงสภาพอาณาเขตตามมาตรา 190 หากตัวเองโหวตรับรองมันก็อาจ “ซวย” ในภายหลัง ดังนั้นจึงต้องตี “ลูกชิ่ง” ออกไปเรื่อยๆ เพราะรู้อยู่แล้วว่าทางกลุ่มคนไทยในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ส่งหนังสือเตือนมาแล้วถึง 3 ครั้งว่า “เจอดี” แน่

แม้ว่าสมาชิกรัฐสภาจะไม่ยอมให้ความร่วมมือด้วย โดยไม่ยอมเข้าร่วมประชุมจนทำให้องค์ประชุมล่มต้องเลื่อนออกไปซ้ำซาก แต่สำหรับ นายกฯ อภิสิทธิ์ ก็ยังเดินหน้าที่จะให้มีการโหวตรับรองกันต่อไปไม่ยอมถอย โดยอ้างว่าผ่านสภาไม่ผ่านก็จะทำให้ฝ่ายกัมพูชาใช้เป็นข้ออ้างในการดึงเอาประเทศอื่นเข้ามาแทรกแซงในลักษณะพหุภาคี ว่ากันไปเรื่อย

ทั้งที่หากพิจารณากันอย่างละเอียดแล้วสาเหตุที่ นายกฯอภิสิทธิ์ มีความปราถนาก็คือหากบันทึกเจบีซี 3 ฉบับดังกล่าวผ่านไปได้ ก็จะส่งผลให้การประชุมเจบีซีเรื่องปัญหาชายแดนครั้งต่อไปที่กำหนดเอาไว้ในวันที่ 7-8 เมษายนที่อินโดฯ หรือหากพูดให้ตรงๆก็คือ เป็นการประชุมแก้ปัญหาความขัดแย้ง โดยมีประเทศที่ 3 คืออินโดฯเป็น “พี่เลี้ยง” เหมือนกับไทยและกัมพูชาเป็นเด็กๆ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของระดับ “ขาใหญ่” ทั้งที่โดยศักยภาพแล้วเหตุการณ์แบบนี้ไม่น่าเกิดขึ้นกับประเทศไทย แต่ในยุคที่มี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้เกิดขึ้น ศักดิ์ศรีของชาติไม่เหลืออีกต่อไปแล้ว

ที่สำคัญเป็นการเจรจาเพื่อสร้างความชอบธรรม หรือปกป้องความผิดพลาดของบันทึกความเข้าใจเรื่องปักปันเขตแดนทางบกระหว่างไทย-กัมพูชาปี 2543 (เอ็มโอยู43) ที่ตัวเองและพรรคประชาธิปัตย์ถูกโจมตีว่า “ขายชาติ” ทำสัญญาเสียเปรียบทำให้ไทยต้องเสียอธิปไตยให้กับกัมพูชา

นั่นคือภาพรวมๆของที่มาที่ไปของบันทึกเจบีซี 3 ฉบับที่เปรียบเหมือน “ของร้อน” ที่สมาชิกรัฐสภาไม่กล้าเข้ามาเสี่ยงไปกับ นายกฯอภิสิทธิ์

นั่นคือความ “เสียเวลา” ของนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และเป็นคำตอบว่าทำไมต้องรอให้ถึงวันที่ 30 มีนาคมเสียก่อนถึงจะลงไปดูสถานการณ์ภัยพิบัติน้ำท่วมในภาคใต้ เพราะต้องผลักดันให้บันทึกเจบีซี 3 ฉบับที่ถูกระบุว่าเป็นเครื่องมือที่ทำให้เสียต้องเสียดินแดน เสียอธิปไตย ดังนั้นมันก็ช่วยไม่ได้ที่ชาวบ้านและคนทั่วไปจะเข้าใจว่าเขาให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวมากกว่าความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในภาคใต้ใช่หรือไม่

เพราะแทนที่เกิดเหตุชาวบ้านเดือดร้อนตั้งแต่วันแรกๆ เมื่อราววันอาทิตย์ต่อเนื่องถึงวันจันทร์ มาจนถึงวันอังคารที่หนักหนาสาหัสแล้ว แต่นายกฯคนนี้ก็ยัง “บ้าน้ำลาย” ใช้เวทีสภาถ่ายทอดสดโชว์ลีลา “นักพูดขั้นเทพ” อ้างเหตุผลสารพัดเพื่อผลักดันบันทึกทั้ง 3 ฉบับให้ผ่านให้ได้ แต่สุดท้ายก็หน้าแตกซ้ำอีก เพราะพวกสมาชิกรัฐสภาเขาไม่เอาด้วย ที่สำคัญพวกเขาไม่เชื่อ “น้ำยา” ของนายกรัฐมนตรีคนนี้อีกต่อไปแล้ว

การลงพื้นที่ของนายกฯอภิสิทธิ์ เมื่อวานนี้( 30 มีนาคม) แม้ว่าเป็นความพยายามในการลดทอนเสียงวิจารณ์ ก็ตาม แต่มันก็แสดงให้เห็นว่าแม้ภัยพิบัติจะหนักหนาสาหัสเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าไม่ใช่เป็นความต้องการของตัวเองก็ต้องรอทีหลัง หรือว่าคำพูดที่บอกว่า “ประชาชนต้องมาก่อน” แค่คิดขึ้นมาให้สวยหรูดูดีเท่านั้น เพราะนาทีนี้ประชาชนกำลังจะ “ตายก่อน” !!
กำลังโหลดความคิดเห็น