“มาร์ค” ทำนิ่งหลังสภาล้มเจบีซี อ้างไม่ผิดคาดรู้อยู่แล้วต้องรอผลศาลรัฐธรรมนูญ สั่งบัวแก้วเร่งแจงกัมพูชา-อินโดฯ ชี้ปัญหาแค่กระบวนการทางกฎหมายเท่านั้น ย้ำยึดกรอบเจรจาทวิภาคี งง! ทำไมถึงเพิ่งลังเลแผนหยิบยกแผนที่ระวางดงรักถกในสภาฯ สั่งเตรียมพร้อมสู้เขมรเต็มที่บนเวทีโลก เล่นลิ้นยุบสภาฯบอกไม่เกินต้นเดือน หลังสื่อจี้ถามกระแสข่าวชิงยุบปลายเมษาฯ
วันนี้ 29 มี.ค. 2554 เมื่อเวลา 17.20 น. ฮอลล์ 9 อิมแพค เมืองทองธานี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร มีมติสั่งเลื่อนการประชุมสภาพิจารณาบันทึกข้อตกลงของคณะกรรมาธิการปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา ไปเป็นวันอังคารที่ 5 เม.ย.เนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบว่า ไม่มีปัญหา เพราะตั้งแต่ก่อนเริ่มประชุมเป็นที่เข้าใจกันแล้วว่ากรอบเจบีซีจะรอผลของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งตนได้ให้กระทรวงการต่างประเทศเร่งไปทำความเข้าใจกับทางกัมพูชา และอินโดนีเซียเพื่อให้คุยกันว่าจะมีการปรับแผนกันอย่างไร ทั้งนี้ การประชุมสภาในวันอังคารที่ 5 เม.ย.นี้ ตนคงไม่ได้เข้าร่วมเนื่องจากต้องเดินทางไปประเทศอินเดีย และได้มีการลาประชุมสภากับวิปรัฐบาลไว้แล้ว ซึ่งอาจจะทำให้ขาดไปเสียงไปได้ 1-2 เสียง
เมื่อถามว่า ที่นายกฯ พูดในสภาฯ ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะต้องเลื่อนการประชุมเจบีซีออกไปก่อน เพื่อให้กลไกภายในเรียบร้อยก่อน นายอภิสิทธิ์กล่าวย้ำว่า ไม่ จะให้กระทรวงการต่างประเทศไปทำความเข้าใจก่อนว่าสถานะของมันเป็นอะไร และตนได้พยายามให้กระทรวงต่างประเทศไปทำความเข้าใจด้วยว่า จริงๆ แล้วการเจรจาน่าจะเดินต่อไปได้ เพราะยังอยู่ในกรอบที่เคยขอสภาฯ ไว้ ยังไม่มีออกที่ออกนอกกรอบที่สภาฯให้ไว้เมื่อเดือนตุลาคม 51 เพียงแต่ต้องให้กัมพูชาเข้าใจว่า เรายังมีความตั้งใจที่จะเดินหน้าในการเจรจาทวิภาคี
“ผมคิดว่าสิ่งสำคัญคือ เมื่อเลื่อนเวลาไปทั้งในเรื่องรายงานของกรรมาธิการฯ และการรอผลศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเข้าใจว่า ไม่น่าจะนานมาก เพราะเอกสารได้ขอทางสภาฯไปหมดแล้ว ซึ่งผมได้สอบถามจากประธานสภาฯ ก็จะได้เป็นเวลาที่ทำความเข้าใจเพิ่มเติมในประเทศก็ไม่เป็นปัญหา ผมคิดว่าเวลานี้ก็สับสนกันมาก อย่างวันนี้ที่เป็นข้อสังเกตของกรรมิการฯมันเป็นโอกาสดีอย่างมาก จะเป็นครั้งแรกที่ฝ่ายนิติบัญญัติจะสามารถลงมติได้ว่า เราไม่รับแผนที่ ว่าเราจะสามารถดำเนินการอะไรได้หลายอย่าง แต่ด้วยความที่บางฝ่ายยังสับสน และไปติดยึดอยู่คือ พอไปเห็นชื่อปั๊บก็กลัวอย่างเดียว ก็เลยทำให้เสียโอกาสนี้ไป” นายอภิสิทธิ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นการสับสน หรือจริงๆ แล้วถูกหยิบมาเป็นประเด็นการเมือง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนเองก็งงๆ อยู่ เพราะข้อเสนอของคณะกรรมาธิการฯ เป็นสิ่งที่เขาได้รับความห่วงใย ข้อกังวลมาจากผู้ที่เคลื่อนไหวเรื่องนี้อย่างค่อยข้างชัดเจน และจะเป็นโอกาสที่ทำให้เขาสบายใจด้วยซ้ำว่า สภาฯจะมีมติส่งให้รัฐบาล และรัฐบาลจะดำเนินการตามข้อสังเกตต่างๆ แต่กลับกลายเป็นว่าลังเลที่จะทำเรื่องนี้ ตนเห็นเรียกร้องมากที่สุด กลัวมากที่สุดก็คือแผนที่ระวางดงรัก ก็เป็นครั้งแรกที่จะมีมติว่าไม่รับกลับกลายเป็นลังเล ก็แปลกใจว่าจะสับสนกันไปใหญ่หรือเปล่า
เมื่อถามว่า กระบวนการภายในถ้ายังไม่แล้วเสร็จ คิดว่าอินโดนีเซียและกัมพูชาจะเข้าใจหรือไม่ นายกฯ กล่าวย้ำว่า เป็นหน้าที่ที่รัฐบาล และกระทรวงการต่างประเทศต้องไปทำ ซึ่งเราจะต้องเตรียมรับมือกับความเป็นไปได้ที่จะไปสู่เวทีอื่นมากขึ้น และดูความเคลื่อนไหวของกัมพูชาในเรื่องของศาลโลก ก็ต้องเตรียมความพร้อมเต็มที่ เมื่อถามว่าเจบีซีเดินไม่ได้จะทำให้การเจรจาสะดุดหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ก็ได้พยายามให้กระทรวงการต่างประเทศไปทำความเข้าใจกับกัมพูชา และอินโดนีเซียก่อน เมื่อถามต่อว่าจากการเลื่อนประชุมของรัฐสภาออกไป จะส่งผลถึงวันเลื่อนการประชุมเจบีซีในวันที่ 7-8 เม.ย.หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า จะเลื่อนหรือเปล่าทางกระทรวงจะไปดูว่า สามารถที่จะให้ความมั่นใจว่า มันเดินต่อได้หรือไม่อย่างไร แต่ถ้าเลื่อนอย่างไรก็ตามก็คงไม่นาน เพราะเราต้องการที่จะให้เรื่องนี้ สามารถเดินหน้าไปได้อย่างชัดเจน เพื่อไม่ให้ฝ่ายอื่นๆ หวั่นไหวว่าประเทศไทยตกลงยังทำเรื่องทวิภาคีหรือไม่ ก็ยืนยันว่าเราทำเต็มที่ แต่เมื่อมีกระบวนการภายใน มีข้อยุ่งยากซับซ้อนเรื่องกฎหมาย เราก็พยายามทำความเข้าใจกับเขามาโดยตลอด
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางกัมพูชาอาจจะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา อ้างว่าเราพยายามเตะถ่วง นายกฯ กล่าวว่า ขอยืนยันว่าเราไม่ได้เตะถ่วง เราพยายามทำอย่างเต็มที่ แต่มีกระบวนการภายในของเรา ซึ่งเขาก็ควรจะต้องทำความเข้าใจ แต่ได้มากน้อยแค่ไหนต้องขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายด้วย เพราะจริงๆ แล้วสิ่งที่รัฐบาลทำทั้งหมดเพื่อที่จะแก้ปัญหา และรักษาผลประโยชน์ของประเทศ บางทีการไม่ทำอะไรเลยในขณะนี้กลับกลายเป็นว่าจะยิ่งเป็นผลเสียเพราะจะถูกรุกอีกหลายด้าน
เมื่อถามว่า ในวันอังคารที่ 5 เม.ย.ที่จะมีการประชุมรัฐสภา คิดว่าจะได้ข้อสรุปหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า หวังว่าอย่างนั้น แต่ตนเองเข้าใจโดยธรรมชาติ การประชุมในวันอังคารหรือวันศุกร์ เรื่ององค์ประชุมมักจะเป็นปัญหา เพราะส่วนใหญ่สมาชิกจะนัดหมายโดยสมมุติฐานของเขาจะอยู่พื้นที่เป็นส่วนใหญ่ จะมีวันพุธ-พฤหัสบดีเท่านั้น ที่เขาเตรียมไว้ชัดเจน แต่ทางประธานสภาฯ ได้พยายามและบอกว่าจะนัดล่วงหน้าไปจนถึงสิ้นเดือน เม.ย. ก็หวังว่าสมาชิกจะปรับกำหนดการต่างๆ ในพื้นที่ได้มากขึ้น อย่างวันนี้มีหลายท่านที่ปรับกำหนดการไม่ทัน อย่างงานของตนที่เมืองทองธานี ก็ต้องยกเลิกช่วงแรกให้รัฐมนตรีมาแทน ในสภาฯ ก็หายไป 1 เสียง ซึ่งเป็นเรื่องที่เราพยายามแก้ไขปัญหากันอยู่
ผู้สื่อข่าวถามว่า เจบีซีสะดุดบ่อยๆ จะมีผลเรื่องของการยุบสภาหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่มี ยุบสภาก็ส่วนของการยุบสภาไม่เกี่ยวกัน เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยบอกว่า รัฐบาลอาจจะยึดโหรศาสตร์ยุบสภาในวันที่ 27 เม.ย.นี้ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เขาไปดูมาให้เลยหรือ เมื่อถามว่า มีกระแสข่าวว่า นายกฯอาจจะยุบสภาก่อนที่นายกฯเคยระบุไว้ว่าจะยุบสภาไม่เกินสัปดาห์แรกของเดือนพ.ค. นายกฯ กล่าวว่า ตนบอกว่าไม่เกินต้นเดือน เมื่อถามว่าสิ้นเดือน เม.ย.นี้มีความเป็นไปได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวย้ำว่า ไม่เกินต้นเดือน ภาษาไทยชัดเจนอยู่แล้ว เมื่อถามอีกว่าไม่เกินคือเดือน พ.ค.นี้ใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวย้ำอีกว่า ไม่เกินก็คือไม่เกิน
เมื่อถามต่อว่า กรณีเอ็มโอยูมีการขยายผล ล่าสุดบอกว่าจะยื่นยุบพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ความเห็นจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ มันต้องอยู่กับความเป็นจริง เอ็มโอยูเป็นข้อตกลงที่เป็นเพียงเครื่องมือ ไม่อาจมีผลอะไรได้เลย เป็นเพียงเครื่องมือในการใช้เจรจาก็เท่านั้นเอง อย่างที่ตนบอกเป็นเรื่องแปลก รัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลชุดแรกที่มีการประกาศแจ้งทางยังกัมพูชา เดินอย่างเป็นระบบที่บอกว่า แผนที่ระวางดงรัก ไม่ใช่แผนที่ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ในเอ็มโอยูแทนที่จะมาช่วยกันทำตรงนี้ให้สำเร็จ กลับกลายเป็นว่า ทำให้เกิดความไม่แน่นอนขึ้นมาอีก ฉะนั้นพยายามจะเดินทุกอย่าง ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องมีความรับผิดชอบในขณะนี้ เพราะเวลานี้โอกาสที่จะต้องไปต่อสู้ในเวทีอื่นก็มีมากขึ้น รัฐบาลจะทำเต็มที่ เพราะเรามีความตั้งใจอย่างเดียว จะรักษาผลประโยชน์ของประเทศ ก็จะพยายามทำความเข้าใจ
เมื่อถามว่า คิดว่ามีเวทีไหนที่ทางกัมพูชาอาจจะเข้าไปเล่นเวทีนั้นแทนทวิภาคี นายกฯ กล่าวว่า คิดว่าตอนนี้ชัดเจนที่สุดคือ ศาลโลก ซึ่งเราได้สั่งการ และให้วิเคราะห์ประเด็นทั้งหมดเตรียมไว้แล้ว แต่เรายังอยากให้เรื่องแบบนี้อยู่ในวิสัยที่จะมาเจรจาในกรอบทวิภาคีจะดีกว่า เมื่อถามต่อว่า หากต้องขึ้นศาลโลกอีกครั้ง ความได้เปรียบเสียเปรียบของไทยจะเป็นอย่างไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ก็ต้องสู้เต็มที่