"ปานเทพ" ยื่นหนังสือเอาผิด นายกฯ และคณะ ต่อสำนักงาน ป.ป.ช. ข้อหาไม่ปฏิบัติหน้าที่และเพิกเฉยต่อกรณีทำไทยเสียดินแดน
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ให้สัมภาษณ์
วันนี้ (22 มี.ค.) ที่สำนักงาน ป.ป.ช. สนามบินน้ำ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เดินทางมายื่นหนังสือต่อนายนิยม ธนะชัย ตัวแทนเลขาสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้ดำเนินคดีอาญากับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐบาล ในข้อหางดเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีนำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความเข้าใจการจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ.2543 (MOU2543) มาใช้ทั้งที่ MOU2543 ฉบับนี้ขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 224 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 และเมื่อทราบแล้วไม่ดำเนินการยกเลิก MOU2543 และไม่ผลักดันกัมพูชาออกนอกพื้นที่
รายละเอียดหนังสือพันธมิตรฯ ยื่นต่อ ป.ป.ช.
วันที่ 22 มีนาคม 2554
เรื่อง ขอให้ดำเนินคดีอาญากับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะนายกรัฐมนตรีกับพวก ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรืองดเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 119,120, 157 กรณีนำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความเข้าใจการจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ.2543 (MOU2543) มาใช้ทั้งที่ MOU2543 ฉบับนี้ขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 224 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 เมื่อทราบแล้วไม่ดำเนินการยกเลิก บันทึกความเข้าใจฯ 2543 หรือ MOU2543 ไม่ถอนตัวจากภาคีอนุสัญญามรดกโลก ไม่ผลักดันกองกำลังทหารของกัมพูชาและประชาชนชาวกัมพูชาออกไปจากบริเวณพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหารอันเป็นการทำให้ประเทศชาติต้องสูญเสียอธิปไตยและเสียดินแดนรอบปราสาทพระวิหารและพื้นที่อื่นๆ ตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา
เรียนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ
สิ่งที่ส่งมาด้วย1. บันทึกความเข้าใจฯ 2543 หรือ MOU 2543
2. หนังสือถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลงวันที่ 7 มีนาคม 2554
3. หนังสือ ที่ กต.0603/1574 ลงวันที่ 9 มิถุนายน 2543
4.บันทึกข้อความด่วนที่สุด ลงวันที่ 12 มิถุนายน 2543
5. ถ้อยแถลงของกัมพูชา
6. ถ้อยแถลงของกัมพูชาต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
7.แถลงการณ์ของกัมพูชา
8. คำแถลงของนายกษิต ภิรมย์
9. หนังสือ 33 ประเด็นถาม – ตอบ
10. บทความของนางยินดี ต่อสุวรรณ
11.เอกสารประกอบการบรรยายปัญหาชายแดนไทย- กัมพูชา
12. ปัญหาเขาพระวิหารโดยคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อการศึกษาฯ
ระหว่างปี พ.ศ.2543 ขณะนั้นพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลมีนายชวน หลีกภัยเป็นนายกรัฐมนตรี มี ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มีนายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในสมัยนั้นรัฐบาลได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ.2543 เรียกย่อว่า “ บันทึกความเข้าใจฯ2543 หรือ MOU2543 ” มีสาระสำคัญปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วยอันดับ 1 ซึ่งบันทึกความเข้าใจฯ2543 หรือ MOU2543 นี้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตในทางที่ไม่เป็นคุณต่อประเทศไทย และทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียเขตอำนาจแห่งรัฐ และสูญเสียอธิปไตยเหนือดินแดนหลายพื้นที่ในทางปฏิบัติ แต่บันทึกความเข้าใจฯ2543 หรือ MOU2543 กลับไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาแต่ประการใด จึงเป็นกระทำการที่ขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 224 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 นอกจากนี้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ให้นายสุวิทย์ คุณกิตติ ตัวแทนรัฐบาลไทยไปลงนามร่างประนีประนอมการขึ้นทะเบียนมรดกโลกปราสาทพระวิหารเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2553 ซึ่งร่างประนีประนอมดังกล่าวมีการอ้างอิงมติคณะกรรมการมรดกโลกย้อนหลัง อันไม่เป็นคุณต่อประเทศไทยเพราะจะมีการนำแผ่นดินไทยไปเป็นส่วนหนึ่งของแผนบริหารจัดการมรดกโลกของกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว อีกทั้งในทางปฏิบัติแล้วกองกำลังทหารกัมพูชาและชุมชนกัมพูชาได้เข้ามายึดครองแผ่นดินไทยหลายพื้นที่ เช่น พื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร วัดแก้วสิขาคีรีสะวารา ภูมะเขือ ปราสาทตาควาย ปราสาทตาเมือนธม บ้านหนองจาน ฯลฯ อีกทั้งยังปล่อยให้กัมพูชาสร้างถนนเพื่อลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์เข้ามาในดินแดนไทยจนสามารถยิงอาวุธสงครามทำร้ายราษฎรไทยได้
เมื่อข้าพเจ้าได้ยื่นหนังสือเตือนแจ้งให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้รับทราบถึงปัญหาดังกล่าวและให้ปฎิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎหมาย และรักษาอธิปไตยของประเทศไทยให้ได้ผลในทางปฏิบัติ ถึง 3 ครั้ง ได้แก่ เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2552 ,วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553 และวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ.2554 รายละเอียดปรากฏตามหนังสือที่ส่งมาด้วยอันดับ 2 โดยข้าฯได้ยื่นข้อเรียกร้อง 3 ประการดังนี้
1.เรียกร้องให้รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยยกเลิก บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา พ.ศ. 2543 หรือ MOU 2543 เพื่อยุติความเสียเปรียบทั้งปวงที่กัมพูชาได้เป็นฝ่ายละเมิดและรุกรานดินแดนไทยมาโดยตลอด
2.เรียกร้องให้รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยถอนตัวออกจากภาคีอนุสัญญามรดกโลก เพื่อเป็นการประท้วงและไม่ยอมรับ การดำเนินการตามคำร้องขอของประเทศกัมพูชาในคณะกรรมการมรดกโลกที่ว่าเสียงส่วนน้อยที่ต้องยอมรับเสียงส่วนใหญ่ในเวทีคณะกรรมการมรดกโลกที่ได้ดำเนินการละเมิดอธิปไตยของประเทศไทยมาหลายครั้ง ในการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารและนำพื้นที่โดยรอบตัวปราสาทซึ่งเป็นดินแดนไทยให้เป็นมรดกโลกของกัมพูชา
3.เรียกร้องให้รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยดำเนินการผลักดันทหารและชุมชนกัมพูชาที่รุกล้ำและยึดครองดินแดนไทย เพื่อทวงคืนดินแดนไทยที่ได้สูญเสียอำนาจอธิปไตยในทางปฏิบัติไปให้กับกัมพูชาเป็นเวลาเกือบ 11 ปี นับตั้งแต่ที่รัฐบาลไทยได้ลงนามใน บันทึกความเข้าใจฯ 2543 หรือ MOU 2543 เป็นต้นมา
แต่เมื่อนายอภิสิทธิ์ ฯ กับพวกได้รับข้อเรียกร้องดังกล่าวแล้วกลับเพิกเฉยโดยปล่อยให้กองกำลังทหารกัมพูชาและชุมชนชาวกัมพูชายึดครองแผ่นดินไทยต่อไป และยังเชื้อเชิญประเทศที่ 3 (อินโดนีเซีย ในนามอาเซียน) ให้มาเป็นสักขีพยานมิให้ใช้กำลังทหารไทยผลักดันทหารกัมพูชาออกจากแผ่นดินไทย การกระทำดังกล่าวของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ฯ ล้วนเป็นผลมาจาก บันทึกความเข้าใจฯ 2543 หรือ MOU 2543 โดยมีข้อเท็จจริงและรายละเอียดดังต่อไปนี้
ข้อ 1. ตามที่รัฐบาลกัมพูชาได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมาธิการร่วม (Joint Commission on Demarcation for Land Boundary หรือ Joint Boundary Commission : JBC) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 2 ณ กรุงพนมเปญ ระหว่างวันที่ 5-7 มิถุนายน พ.ศ. 2543 ต่อมาเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2543 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร) ได้ทำหนังสือด่วนที่สุด ถึงนายกรัฐมนตรี (นายชวน หลีกภัย) เลขที่ กต 0603/1574 เรื่องผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 2 ปรากฏข้อความบางตอนว่า
“2. สาระสำคัญของการประชุม
ที่ประชุมสามารถตกลงกันได้ในเรื่องต่างๆ ดังนี้
2.1 บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก (Memorandum of Understanding between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Kingdom of Cambodia on the Survey and Demarcation of Land Boundary)
ที่ประชุมสามารถลงนามย่อ (ad referendum) บันทึกความเข้าใจฯ (ภาคผนวก 6 ) ซึ่งมีสาระสรุปได้ดังนี้
-พื้นฐานทางกฎหมาย การสำรวจและจัดทำ (ปัก) หลักเขตแดนทางบก จะดำเนินการโดยใช้บรรดาเอกสารหลักฐานที่ผูกพันไทยกับกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศ คือ อนุสัญญาฉบับลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1904 สนธิสัญญาฉบับลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 กับพิธีสารแนบท้าย และแผนที่แสดงเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชามาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งจัดทำขึ้นตามผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน และเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้ (application) อนุสัญญาและสนธิสัญญาดังกล่าว (ข้อ 1) รายละเอียดปรากฏตามเอกสารสิ่งที่ส่งมาด้วยอันดับ 2
ต่อมาวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2543 นายวรากรณ์ สามโกเศศ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ทำบันทึกข้อความถึง นายกรัฐมนตรี (นายชวน หลีกภัย) เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2543 รายงานผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 2 ที่มีข้อความเดียวกัน และได้ขออนุมัติว่า
“4.1) ขออนุมัติให้ รมช.กต. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (ฝ่ายไทย) ลงนามบันทึกความเข้าใจดังกล่าวที่กรุงพนมเปญ ระหว่างการเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการของ นรม. (ระหว่างวันที่ 14- 16 มิถุนายน พ.ศ. 2543)
5) ข้อเสนอ สลน. เห็นควรอนุมัติข้อเสนอของ กต. และนำเรื่องเสนอเข้า ครม.เพื่อทราบต่อไป
โดยนายกรัฐมนตรี (นายชวน หลีกภัย) ได้ลงนามเขียนด้วยลายมือ “อนุมัติ” ในบันทึกข้อความดังกล่าวเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2543 รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วยอันดับ 3
ต่อมาเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2543 รัฐบาลไทยโดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร) ได้ลงนามร่วมกับรัฐบาลกัมพูชา โดย ที่ปรึกษารัฐบาลผู้รับผิดชอบกิจการชายแดนแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ในเอกสารบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกเป็น 3 ภาษาได้แก่ ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย และภาษากัมพูชา โดยมีปรากฏข้อความบางตอนดังนี้
“ข้อ 1จะร่วมกันดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชาให้เป็นไปตามเอกสารดังต่อไปนี้
(ก) อนุสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสแก้ไขเพิ่มเติมข้อบทแห่งสัญญาฉบับลงวันที่ 3 ตุลาคม รัตนโกสินทรศก 112 (ปี ค.ศ. 1893) ว่าด้วยดินแดนกับข้อตกลงอื่นๆ ฉบับลงนาม ณ กรุงปารีส เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทรศก 122 (ปี ค.ศ. 1904)
(ข) สนธิสัญญาระหว่างสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยามกับประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส ฉบับลงนาม ณ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 23 มีนาคม รัตนโกสินทรศก 125 (ค.ศ. 1907) พิธีสารว่าด้วยการปักปันเขตแดนแนบท้ายสนธิสัญญา ฉบับลงวันที่ 23 มีนาคม รัตนโกสินทรศก 125 (ค.ศ.1907) และ
(ค) แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการ ปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีนซึ่งจัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1907 กับเอกสารอื่น”
ข้อตกลงดังกล่าวมีผลดังนี้
เอกสารบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. 2543 ตามข้อ 1(ค) และเอกสารผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเขตแดนไทย-กัมพูชาครั้งที่ 2 แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไทยได้ทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงอาณาเขต โดยการยอมรับแผนที่ มาตราส่วน 1 : 200,000 ซึ่งอ้างว่ามีผลผูกพันประเทศไทยกับกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศ อ้างว่าเป็นแผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีนซึ่งเป็นความเท็จทั้งสิ้น เพราะแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 นั้นได้จัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียวโดยที่ฝ่ายไทยไม่เคยลงนามยอมรับนับถือแผนที่ดังกล่าว และมิได้เป็นแผนที่ซึ่งจัดทำขึ้นตามผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนแต่ประการใด อีกทั้งแผนที่ดังกล่าวยังมีข้อขัดแย้งกับสนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศส เป็นแผนที่ซึ่งไม่มีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงไม่เป็นไปตามภูมิศาสตร์ อีกทั้งการลากเส้นในแผนที่ยังรุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทยอีกจำนวนมาก
ซึ่งการจัดทำแผนที่ระหว่างประเทศนั้นหากผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศจะต้องผ่านกระบวนการ 3 ขั้นตอนตามลำดับดังนี้
ขั้นตอนที่ 1นิยาม (Definition) ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ระบุเอาไว้ในสนธิสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรในการกำหนดเส้นเขตแดนระหว่างประเทศ
ขั้นตอนที่ 2สำรวจและแบ่งเขตแดน หรือปักปันเขตแดน (Delimitation) อันเป็นขั้นตอนการสำรวจในพื้นที่จริง โดยส่วนใหญ่จะใช้ธรรมชาติซึ่งได้ระบุตามคำนิยามเป็นเส้นเขตแดน แต่ก็สามารถตกลงเจรจาเพื่อหาปักปันข้อสรุปเส้นเขตแดนตามสภาพจริงได้เช่นกัน
และหากการปักปันเขตแดนมีพื้นที่ซึ่งไม่มีความชัดเจนในเรื่องเขตแดนตามธรรมชาติที่ชัดเจน คณะกรรมการปักปันเขตแดนอาจดำเนินการในขั้นตอนที่ 3 คือ การจัดทำหลักเขตแดน (Demarcation) หมายถึงขั้นตอนที่จัดทำสัญลักษณ์ในการเป็นจุดสังเกตเพื่อแบ่งเขตแดน “เฉพาะในกรณีที่พื้นที่ดังกล่าวที่ไม่มีเขตแดนตามธรรมชาติที่ชัดเจน” โดยในช่วงแรก สยามกับฝรั่งเศสได้จัดทำหลักเขตเป็นไม้ ต่อมาภายหลังได้เปลี่ยนมาเป็นหลักเขตคอนกรีต
เมื่อได้ปฏิบัติตามในขั้นตอนที่ 1 ขั้นตอนที่ 2 และ ขั้นตอนที่ 3 (ถ้ามี) ตามลำดับแล้ว จึงไปจัดทำแผนที่ โดยที่ทั้งสองฝ่ายต้องลงนามยอมรับความถูกต้องของแผนที่ดังกล่าว แต่แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งจัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียวมิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามขั้นตอนที่กล่าวมาแต่ประการใด ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
สยาม กับ ฝรั่งเศส ได้ทำอนุสัญญาปี ค.ศ.1904 วันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447) โดยสยามได้เสียดินแดนในส่วนของ หลวงพระบาง มโนไพร และจำปาศักดิ์ บนฝั่งขวาแม่น้ำโขงให้กับฝรั่งเศส สนธิสัญญาดังกล่าวได้กำหนดให้มีคณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศส เพื่อสำรวจและปักปันเขตแดนตามสนธิสัญญาดังกล่าว และคณะกรรมการผสม-สยามฝรั่งเศสได้สำรวจและปักปันเขตแดนเสร็จสิ้นทั้งหมดเมื่อวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) ผลการสำรวจและปักปันเขตแดนของคณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศส ได้รวมถึงเขาพระวิหารซึ่งอยู่บนทิวเขาดงรักด้วย และมีผลสรุปการปักปันว่าเส้นเขตแดนบริเวณทิวเขาดงรักจากช่องเกน (ช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษในปัจจุบัน)ไปทางทิศตะวันออกนั้นให้ใช้สันปันน้ำเป็นเส้นเขตแดนเพราะเป็นสันปันน้ำที่มีลักษณะเป็นหน้าผามีความชัดเจนมากและไม่ต้องมีการจัดทำหลักเขตแดนใดๆทั้งสิ้น ทั้งนี้เส้นเขตแดนโดยใช้หน้าผาเป็นสันปันน้ำอย่างเดียวโดยไม่ต้องจัดทำหลักเขตแดนจากการสำรวจและปักปันของคณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศสชุดแรกนี้ ได้กลายเป็นเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาในปัจจุบัน จากช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ ไปทางทิศตะวันออก จนถึงช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี รวมทั้งสิ้น 195 กิโลเมตร โดยปรากฏหลักฐานอยู่ในคำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ และคำพิพากษาแย้งและคำติงของฝ่ายไทยในคดีปราสาทพระวิหารเมื่อ พ.ศ. 2505 ที่เป็นลายลักษณ์อักษร โดยปราศจากการโต้แย้งในประเด็นนี้ในคำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศดังนี้
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447) สยามกับฝรั่งเศสได้ทำอนุสัญญาแบ่งเขตแดนปรากฏข้อความในอนุสัญญาว่า
“ข้อ 1 เขตแดนระหว่างประเทศสยามกับประเทศกัมพูชา เริ่มต้นบนฝั่งซ้ายของทะเลสาปจากปากแม่น้ำสะตุง โรลูโอส และเป็นไปตามเส้นขนานจากจุดนั้นในทางทิศตะวันออกจนกระทั่งถึงแม่น้ำ แปรก กำปง เทียม แล้วเลี้ยวไปทางด้านทิศเหนือไปพบกับเส้นตั้งฉากจากจุดบรรจบนั้นจนกระทั่งถึงทิวเขาดงรักจากที่นั่นเส้นเขตแดนคือสันปันน้ำ ระหว่างลุ่มน้ำของแม่น้ำเสนและแม่น้ำโขงด้านหนึ่ง กับแม่น้ำมูลอีกด้านหนึ่ง และสมทบกับทิวเขาภูผาด่าง โดยถือทวนน้ำขึ้นไปให้ถือแม่น้ำโขงเป็นเขตแดนของอาณาจักรสยามตามข้อ 1 แห่งสนธิสัญญาฉบับวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 1893”
จากสนธิสัญญาปี ค.ศ. 1904 ข้อ 1 แสดงตัวอย่างให้เห็นว่า “ทิวเขาดงรัก” ซึ่งเป็นที่ตั้งของ”ปราสาทพระวิหาร” ระบุเส้นเขตแดนอย่างชัดเจนว่าให้ใช้ “สันปันน้ำ”
มกราคม ค.ศ. 1905 (พ.ศ. 2448) คณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศส ได้มีการประชุมเป็นครั้งแรก แต่ก็ไม่ได้ปฏิบัติงานสำรวจและกำหนดเขตแดนทางทิศตะวันออกของทิวเขาดงรักซึ่งเป็นทิวเขาที่ตั้งของปราสาทพระวิหาร
2 ธันวาคม ค.ศ. 1906 (พ.ศ. 2449) มีการประชุมกันตกลงกันว่าคณะกรรมการผสมจะขึ้นไปบนเขาดงรักจากที่ราบต่ำของกัมพูชา โดยผ่านขึ้นทางช่องเกน (ช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ)ในปัจจุบัน ซึ่งตั้งอยู่ด้านตะวันตกของพระวิหารและเดินทางไปทิศตะวันออกตามทิวเขาโดยอาศัยเส้นทางที่ ร้อยเอก ทิกซีเอ กรรมการคนหนึ่งของฝรั่งเศสได้ตระเวนสำรวจเอาไว้เมื่อปี ค.ศ. 1905 (พ.ศ. 2448)
18 มกราคม ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) เป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของคณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศสชุดแรกเพราะปฏิบัติงานเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำกรุงเทพฯ ได้รายงานต่อรัฐมนตรีต่างประเทศในกรุงปารีสว่า ได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการจากประธานฝ่ายฝรั่งเศสในคณะกรรมการผสมว่า
“การปักปันทั้งหมดได้เสร็จสิ้นลงแล้ว โดยไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้น และว่าได้มีการกำหนดเส้นเขตแดนขึ้นเป็นที่แน่นอนแล้วนอกจากในอาณาบริเวณเสียมราฐ” แสดงให้เห็นว่า การสำรวจและปักปันครบหมดแล้วย่อมแสดงว่าได้รวมถึงทิวเขาดงรักบริเวณปราสาทพระวิหารด้วย
20 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1907 (พ.ศ. 2450) ประธานได้ส่งรายงานไปให้รัฐบาลของตนระบุเอาไว้ว่า
“ตลอดแนวเขาดงรักจนถึงแม่น้ำโขงการกำหนดเขตแดนไม่ได้ประสบความยุ่งยากใดๆ เลย”
ต่อมา สยามกับฝรั่งเศส ได้ทำสนธิสัญญาแลกแผ่นดิน ค.ศ. 1907 เมื่อ วันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) โดยฝ่ายสยามได้ยกพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณของสยามให้กับฝรั่งเศส เพื่อแลก กับ เมืองด่านซ้าย ตราด และเกาะทั้งหลายไปจนถึงเกาะกูดให้กลับมาเป็นของสยาม จึงต้องมีการตั้งคณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศสชุดที่ 2 เพื่อสำรวจและปักปันเขตแดนใหม่ โดยคณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศส ชุดที่ 2 ก็ได้ยืนยันผลงานของคณะกรรมการชุดแรกที่ใช้สันปันน้ำเป็นเส้นเขตแดนจากช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษไปทางทิศตะวันออกไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากหลักสันปันน้ำเดิม จึงไม่ต้องมีการจัดทำหลักเขตแดนใดๆเพิ่มเติมอีก จากนั้นจึงเริ่มต้นสำรวจเพื่อปักปันและจัดทำหลักเขตแดนจากช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ อันเป็นหลักเขตแดนที่ 1 ไปทางทิศตะวันตกแล้วลงมาทางใต้ที่ จ.ตราด เป็นจำนวน 73 หลัก โดยจัดทำเสร็จสิ้นเมื่อ ปี ค.ศ. 1909 (พ.ศ.2452) โดยในช่วงแรกได้จัดทำเป็นหลักเขตแดนไม้ ต่อมาหลังจากนั้นในปี ค.ศ. 1919 (พ.ศ. 2462) ได้มีการสำรวจและทำหลักเขตแดนทางบกใหม่อีกครั้งให้เป็นหลักเขตคอนกรีต จึงย่อมเท่ากับว่าเขตแดนไทย-กัมพูชา ได้แบ่งโดยบางส่วนได้ใช้แนวสันปันน้ำโดยไม่ต้องมีหลักเขตแดน บางส่วนได้แบ่งเขตแดนโดยใช้การลากเส้นตรงจากหลักเขตแดนที่จัดทำขึ้น บางส่วนได้ใช้ลำน้ำ ย่อมแสดงว่าการปักปันและการกำหนดเส้นเขตแดนทั้งหมดระหว่างไทย-กัมพูชาได้จัดทำเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว
นอกจากนี้ยังปรากฏหลักฐานว่าคณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศส ชุดที่ 2 ซึ่งถูกจัดตั้งตามสนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงหรือปรากฏเป็นหลักฐานในรายงานการประชุมว่าได้มีการไปจัดทำหลักเขตแดนทางบกที่ 1 ไปทางตะวันออกเพื่อเปลี่ยนแปลงผลงานแนวสันปันน้ำซึ่งคณะกรรมการผสมสยามกับฝรั่งเศสชุดที่ 1 ซึ่งได้จัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญา ปี ค.ศ. 1904 ซึ่งได้สำรวจและปักปันไปเสร็จสิ้นแล้ว ดังนี้
พันเอกแบร์นารด์ ประธานฝ่ายฝรั่งเศสของคณะกรรมการผสม ซึ่งมีส่วนสำคัญในการยกร่างแสดงพรมแดนใหม่ในสนธิสัญญาปี ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) โดยพรมแดนด้านตะวันตกที่ตกลงกันใหม่บรรจบกับดงรักพิธีสารได้บันทึกว่า:
“จากจุดที่กล่าวถึงข้างบนซึ่งตั้งอยู่บนสันเขาดงรัก เขตแดนทอดไปตามสันปันน้ำระหว่างลุ่มทะเลสาบใหญ่และแม่น้ำโขงทางหนึ่งและตามลุ่มแม่น้ำมูลอีกทางหนึ่ง และไปจดแม่น้ำโขงใต้ปักมูลที่ปากน้ำห้วยเดื่อ (ห้วยดอน) อันเป็นไปตามเส้นลากซึ่งคณะกรรมการปักปันคณะก่อนได้จัดทำขึ้นเมื่อวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450)
อาศัยความบทแห่งสนธิสัญญานี้ ข้าฯ เห็นว่าไม่อาจมองไปได้ว่าข้อตกลงของคณะกรรมการผสมภายใต้ สนธิสัญญา ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447)อาจจะผิดแผกจากเส้นสันปันน้ำไปได้แต่ประการใด”
ข้อความดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าแม้จะมีการลงนามในการแลกแผ่นดินตามสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) แล้วก็ตาม แต่การยึดหลักสันปันน้ำบริเวณสันเขาดงรักไม่เปลี่ยนแปลงตามสนธิสัญญา ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447) และไม่เปลี่ยนแปลงตามคณะกรรมการผสมชุดแรกได้ดำเนินการสำรวจไปก่อนหน้านี้
20 ธันวาคม ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) พันเอกแบร์นารด์ประธานฝ่ายฝรั่งเศสของคณะกรรมการผสมฯ ได้ทิ้งพยานหลักฐานเป็นคำบรรยายซึ่งได้แสดงเอาไว้ในกรุงปารีสโดยได้บรรยายถึงงานปักปันเขตแดน 3 ครั้ง จาก ค.ศ. 1905 ถึง ค.ศ. 1907 ความตอนหนึ่งซึ่งมีความชัดเจนว่า:
“แทบทุกหนทุกแห่งสันปันน้ำประกอบเป็นพรมแดนและจะมีปัญหาโต้เถียงกันได้ก็แต่เพียงที่เกี่ยวกับจุดปลายสุดของทั้งสองด้านเท่านั้น”
แสดงว่าทิวเขาดงรักบริเวณรอบปราสาทพระวิหารซึ่งไม่ได้อยู่จุดปลายสุดทั้งสองด้านของสันปันน้ำเป็นเส้นเขตแดนที่มีความชัดเจน ด้วยเหตุผลนี้จึงสามารถสรุปได้ว่าคณะกรรมการสำรวจและปักปันเขตแดนผสมสยาม-ฝรั่งเศส ทั้ง 2 ชุด ได้แบ่งเขตแดนบริเวณปราสาทพระวิหารทิวเขาดงรักเสร็จสิ้นแล้ว โดยยึดหลักสันปันน้ำตามสนธิสัญญาทุกประการ โดยไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องไปไปปักปันหรือจัดทำหลักเขตแดนใดๆเพิ่มเติมทั้งสิ้น
รายงานของพันเอก มองกิเอร์ ประธานกรรมการฝ่ายฝรั่งเศสในคณะกรรมการ 1907 ก็ได้กล่าวไว้เป็นอย่างเดียวกัน ถึงเส้นเขตแดนที่ภูเขาดงรักดังต่อไปนี้
“จากจุดบนยอดเขาดงรักดังกล่าว เส้นเขตแดนเดินไปตามสันปันน้ำระหว่างลุ่มน้ำทะเลสาปกับแม่น้ำโขงทางหนึ่ง กับลุ่มน้ำมูลทางหนึ่ง ไปบรรจบแม่น้ำโขงปากมูลที่ปากห้วยเดื่อ ตามเส้นที่กรรมการชุดก่อนได้กำหนดไว้เมื่อวันที่ 18 มกราคม 1907 สำหรับเส้นเขตปักปันที่ 5 น่าจะตกลงกำหนดเขตแดนกันได้ที่อันลองเว็งโดยไม่มีปัญหา เพราะเส้นเขตแดนเดินไปตามเส้นสันปันน้ำซึ่งอยู่ที่หน้าผาเห็นได้จากตีนภูเขาดงรัก” ข้อความนี้อธิบายตัวเองอีกเหมือนกัน เพราะเป็นข้อความชัดแจ้งแสดงว่า ตามที่นายพันเอก มองกิเอร์ไปเห็นมา เส้นสันปันน้ำเดินไปตามหน้าผาซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ด้วยเหตุนี้พื้นที่บริเวณเขาพระวิหารจึงไม่เคยมีและไม่ต้องมีการทำหลักเขตแดนโดยการวางหลักศิลาใดๆ ทั้งสิ้น
ในระหว่างที่คณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศสชุดที่ 2 (ตามสนธิสัญญา ค.ศ. 1907) ยังสำรวจ ปักปัน และจัดทำหลักเขตแดนไม่แล้วเสร็จ ปรากฏว่าคณะกรรมการฝ่ายฝรั่งเศสได้ไปจัดทำแผนที่ขึ้นเองฝ่ายเดียว โดยจัดทำขึ้นและจำหน่ายโดยบริษัทพิมพ์แผนที่ที่มีชื่อว่า อาช บาร์แรร์ ซึ่งจัดทำเสร็จขึ้นในปลายฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) พร้อมกัน 11 ฉบับ 11 ตอน จึงถือว่าเป็นการทำแผนที่ล่วงหน้าก่อนคณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศสชุดที่ 2 จะทำการสำรวจและปักปันเขตแดนแล้วเสร็จ ในขณะที่คณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งชุดแรก (ตามอนุสัญญา ค.ศ. 1904) ก็ไม่เคยมีการประชุมให้ความเห็นชอบกับแผนที่ดังกล่าวเพราะได้ยุติบทบาทหลังจากได้ทำการสำรวจและปักปันเขตแดนเสร็จสิ้นแล้วเช่นกัน
ดังนั้นแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 จึงย่อมไม่ใช่ แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีนซึ่งจัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1907 อีกทั้งแผนที่ดังกล่าวยังได้ทำผิดไม่อยู่บนข้อเท็จจริงหลายจุดและได้มีการรุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทยจำนวนมากขัดแย้งกับอนุสัญญาและสนธิสัญญาซึ่งสยามได้ทำเอาไว้กับฝรั่งเศส ซึ่งย่อมไม่เป็นคุณต่อประเทศไทย
แม้ว่าในเวลาต่อมาประเทศกัมพูชาและประเทศไทยจะได้ยื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเพื่อพิจารณาคดีปราสาทพระวิหาร และศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะได้พิพากษาเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2505 ว่าปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา แต่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศก็มิเคยได้พิพากษาแผนที่ตอนเขาดงรัก หรือเส้นเขตแดนตามแผนที่ตอนเขาดงรักตามที่กัมพูชาได้ร้องขอ ดังนั้นคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจึงจำกัดเฉพาะในกรอบคำร้องที่กัมพูชายื่นฟ้องโดยไม่อาจขยายพื้นที่นอกเหนือจากบริเวณที่ตั้งของปราสาทพระวิหารได้ โดยปรากฎข้อความอย่างชัดเจนในคำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเกี่ยวกับแผนที่และเส้นเขตแดนตามแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ว่า
“ในประการสุดท้าย เมื่อพิจารณาถึงคำแถลงสรุปที่คู่ความได้ยื่นต่อศาลเมื่อตอนจบกระบวนพิจารณาภาควาจา ศาลมีความเห็นดังเหตุผลที่ได้บ่งไว้ในตอนต้นของคำพิพากษานี้ ว่าคำแถลงสรุปข้อหนึ่งและข้อที่สองของกัมพูชาที่ขอให้ศาลพิพากษาชี้ขาดในเรื่องสภาพทางกฎหมายของแผนที่ภาคผนวก 1 และในเรื่องเส้นเขตแดนในอาณาบริเวณที่พิพาท จะรับฟังได้ก็แต่เพียงในฐานที่เป็นการแสดงเหตุผล และมิใช่เป็นข้อเรียกร้องที่จะต้องกล่าวถึงในบทปฏิบัติการของคำพิพากษา”
แม้ที่ตั้งของปราสาทพระวิหารตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ รัฐบาลไทยก็ได้ยื่นคำคัดค้านและสงวนสิทธิ์ต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเอาไว้แล้วตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2505 เช่นกัน ดังนั้นการที่รัฐบาลไทยได้ไปยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ทั้งหมดซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียวว่าเป็นผลงานของคณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศสทั้ง 2 ชุด และไม่ตั้งเงื่อนไขในกรณีที่แผนที่มีความขัดแย้งกับอนุสัญญาหรือสนธิสัญญา อีกทั้งยังสรุปผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชาครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ. 2543 ว่าเป็นแผนที่และเส้นเขตแดนตามแผนที่ผูกพันระหว่างไทย-กัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศนั้น จึงเป็นข้อความอันเป็นเท็จและเกินขอบเขตของคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เมื่อปี พ.ศ. 2505 อันอาจส่งผลกระทบก่อให้เกิดผลเสียหายต่อดินแดนและอธิปไตยของไทยตามมา
หลังจากคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีปราสาทพระวิหาร ในปี พ.ศ. 2505 ในปีเดียวนั้นเองฝ่ายไทยได้ทำการล้อมรั้วรอบตัวปราสาทพระวิหารเป็นแนวปฏิบัติการเพื่อให้ทหารออกนอกพื้นที่ประมาณ 150 ไร่ โดยที่ทางขึ้นยังคงอยู่ในดินแดนไทย และฝ่ายกัมพูชาไม่เคยปรากฏว่าได้เรียกร้องเพื่อให้ใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียวเป็นเวลาถึง 38 ปีนับตั้งแต่มีคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ย่อมแสดงว่ากัมพูชาได้ยอมรับสภาพดังกล่าวและไม่ใช้แผนที่หรือเส้นเขตแดนตามแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ก่อนที่จะมีการอ้างอิงแผนที่ดังกล่าวอีกครั้งในข้อ 1 (ค) ในกระบวนการทำบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ.2543
การระบุข้อความในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทย-กัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. 2543 ในข้อ 1 (ค) โดยใช้คำว่า “และ” นำหน้าโดยอ้างว่าแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 เป็นแผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีนซึ่งจัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1907 กับเอกสารอื่นนั้น ย่อมทำให้ประเทศกัมพูชาหรือนานาประเทศเข้าใจว่าแผนที่ดังกล่าวเป็นผลต่อเนื่องทั้งจากขั้นตอนนิยาม (Definition) ตามสนธิสัญญา เป็นผลต่อเนื่องจากขั้นตอนผลงานจากการสำรวจและปักปันของคณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศส (Delimitation) และเป็นผลงานต่อเนื่องมาจากการจัดทำหลักเขตแดนทางบก (Demarcation) ของคณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศส ทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงหรืออาจมีปัญหาข้อกฎหมายเมื่อฝ่ายกัมพูชาหรือชาติอื่นๆยกขึ้นกล่าวอ้างหรือใช้ประโยชน์ในทางที่ไม่เป็นคุณต่อประเทศว่าคณะรัฐมนตรีของฝ่ายไทยได้ยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียวเป็นแผนที่สุดท้ายที่ได้มาจากผลงานและขั้นตอนที่ถูกต้อง โดยยึดถือเป็นแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 เป็นแผนที่หลักเป็นแผนที่ประเภทเดียวที่ใช้ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก
แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งจัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียวระหว่างไทย-กัมพูชานั้นมีการแบ่งเป็นตอนๆ ดังนี้
ตอนที่ 1 อยู่ใน จังหวัด ตราด เคยมีการจัดทำหลักเขตแดนทางบก หลักเขตที่ 71 ถึง 73
ตอนที่ 2 อยู่ใน จังหวัด ตราด เคยมีการจัดทำหลักเขตแดนทางบก หลักเขตที่ 66 ถึง 71
ตอนที่ 3 อยู่ใน จังหวัด จันทบุรี เคยมีการจัดทำหลักเขตแดนทางบกหลักเขตที่ 49 ถึง 66
ตอนที่ 4 อยู่ใน จังหวัด บุรีรัมย์ ถึง จังหวัดสระแก้ว เคยมีการจัดทำหลักเขตแดนทางบก หลักเขตที่ 23 ถึง 49
ตอนที่ 5 อยู่ใน จังหวัด ศรีสะเกษ ถึง จังหวัดสุรินทร์ เคยมีการจัดทำหลักเขตแดนทางบกหลักเขตที่ 1 ถึง 23
ตอนที่ 6 (ดงรัก) หลักเขตแดนทางบกที่ 1 ช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ ไปทางทิศตะวันออกถึง เขาสัตตะโสม รวมถึงบริเวณปราสาทพระวิหาร ไม่มีหลักเขตแดนและใช้สันปันน้ำเป็นเขตแดนเพียงอย่างเดียวเพราะเป็นหน้าผาที่มีความเด่นชัด
ตอนที่ 7 อยู่ในจังหวัด อุบลราชธานี จาก สัตตะโสม ถึง ช่องบก ไม่มีหลักเขตแดนและใช้สันปันน้ำเป็นเขตแดนเพียงอย่างเดียวเพราะเป็นหน้าผาที่มีความเด่นชัด
สรุปแล้วเส้นเขตแดนของประเทศไทยและกัมพูชานั้นได้จัดทำเสร็จสิ้นทั้งหมดไปเรียบร้อยกว่า 100 ปีแล้ว ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีเส้นเขตแดน 2 ประเภท คือ
ประเภทแรก ใช้ขอบหน้าผาซึ่งเป็นเส้นเขตแดนตามธรรมชาติ สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าโดยไม่ต้องทำหลักเขตแดนใดๆ ทั้งสิ้น บริเวณดังกล่าวนี้เริ่มตั้งแต่ช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษไปทางทิศตะวันออกจนสุดช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี เรียกพื้นที่นี้ว่า “ดงรัก” มีความยาวทั้งสิ้น 195 กิโลเมตร ซึ่งรวมบริเวณเขาพระวิหารไปด้วย ดังนั้นเส้นเขตแดนบริเวณดังกล่าวจึงไม่ต้องจัดทำหลักเขตแดนแล้วทั้งสิ้น เพราะสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หากมีการทำหลักเขตแดนเมื่อไรย่อมเท่ากับเป็นการสละผลงานที่ทำเสร็จสิ้นนับร้อยปีแล้วให้กลับมาทำใหม่ระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งย่อมก่อให้เกิดความสุ่มเสี่ยงต่อการเสียดินแดนหรือการพิพาทกันโดยไม่จำเป็น
ประเภทที่สอง คือเส้นเขตแดนที่มีความไม่ชัดเจนหรือไม่สามารถตัดสินได้ด้วยการมองเห็นด้วยตาเปล่า และจำเป็นต้องทำสัญลักษณ์โดยมนุษย์ทำขึ้นเพื่อแบ่งเขตแดนให้ชัดเจน ทั้งนี้สยามกับฝรั่งเศสได้ตกลงทำหลักเขตแดนทางบกขึ้น โดยในครั้งแรกได้ทำเป็นหลักเขตไม้ในปี ค.ศ.1909 (พ.ศ. 2452) แต่หลักไม้ดังกล่าวได้สูญหายไป จึงมีการจัดทำอีกครั้งในปี ค.ศ.1909 (พ.ศ.2462) เป็นการจัดทำหลักเขตคอนกรีตโดยเริ่มต้นทำหลักเขตแดนที่ช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นหลักเขตหมายเลข 1 ไปทางทิศตะวันตกเรื่อยไป จนสุดที่บ้านหาดเล็ก จังหวัดตราด เป็นหลักเขตที่ 73 ความยาวทั้งสิ้น 603 กิโลเมตร ทั้งนี้หลักเขตดังกล่าวมีโอกาสสูญหาย ถูกเคลื่อนย้าย ถูกทำลาย ดังนั้นหากจะมีการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนก็ควรจำกัดขอบเขตเฉพาะการหาตำแหน่งหลักเขตแดนเดิมหรือซ่อมสร้างในสิ่งที่สูญหายหรือถูกทำลายไปเท่านั้น ไม่ควรจะไปยุ่งเกี่ยวในเส้นเขตแดนที่ตกลงกันไปแล้วว่าให้ใช้หน้าผาเป็นเส้นเขตแดนและไม่เคยจัดทำหลักเขตแดนมาก่อน
ดังนั้น บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทย-กัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. 2543 ซึ่งได้กำหนดให้มีการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกตามเอกสาร ในข้อ 1 (ค) ซึ่งเป็นแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่จัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว ย่อมอาจทำให้การสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไม่ได้จำกัดขอบเขตเฉพาะในการหาหลักเขตเดิม 73 หลัก ซึ่งจัดทำเมื่อปี ค.ศ. 1905 (2448) และ ค.ศ. 1915 (2458) หรือจัดทำหลักเขตแดนทางบกใหม่เพื่อทดแทนหลักเขตเดิมที่สูญหาย ถูกทำลาย หรือถูกเคลื่อนย้ายเท่านั้น แต่ยังอาจทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงในการกล่าวอ้างหรือใช้ประโยชน์จากแผนที่มาตราส่วน 1: 200,00 ซึ่งจัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว เพื่อขยายการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกใหม่เพิ่มขึ้น จากช่องสะงำ จ. ศรีสะเกษ ไปทางทิศตะวันออก (ตอนที่ 6 และตอนที่ 7) ซึ่งอนุสัญญา ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447) และคณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศสทั้ง 2 ชุด ต่างได้กำหนดเส้นเขตแดนเสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อปี ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) ว่าจากเดิมให้ใช้ขอบหน้าผาเป็นสันปันน้ำและเป็นเส้นเขตแดนเพราะมีความชัดเจนตามธรรมชาติและสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จึงไม่เคยและไม่ต้องจัดทำหลักเขตแดนใดๆ ให้เปลี่ยนกลายมาเป็นพื้นที่ซึ่งต้องมาตกลงและปักปันและจัดทำหลักเขตแดนกันใหม่ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชา เป็นผลทำให้เกิดการกล่าวอ้างดินแดนหลังขอบหน้าผาและสันปันน้ำซึ่งรัฐบาลไทยเคยยึดถือมาว่าเป็นเส้นเขตแดนแต่เพียงอย่างเดียวมาโดยตลอดนั้นได้กลายเป็นพื้นที่พิพาทและไม่ชัดเจนว่าเส้นเขตแดนอยู่ที่ใด หรืออาจทำให้กัมพูชากล่าวอ้างหรือใช้ประโยชน์ในทางที่ไม่เป็นคุณแก่ประเทศไทยว่าการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก จากช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ ไปทางทิศตะวันออก ต้องตกลงและจัดทำขึ้นใหม่โดยยึดแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น และหากมีการแบ่งเขตแดนหรือจัดทำหลักเขตแดนทางบกโดยยึดแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียวแล้ว ก็จะทำให้การลากเส้นและการจัดทำหลักเขตแดนทางบกล้ำเข้ามาในดินแดนไทยบริเวณเขาพระวิหารเป็นจำนวน 4.6 ตารางกิโลเมตร (2,875 ไร่) และล้ำเข้ามาในดินแดนไทย จากช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ ไปทางทิศตะวันออกจนถึงช่องบก จ.อุบลราชธานี รวมประมาณ 130 – 140 ตารางกิโลเมตร (81,250 ไร่ – 87,500 ไร่) ซึ่งไม่เป็นคุณแก่ประเทศไทย
จากเหตุผลดังกล่าวหากไม่มี บันทึกความเข้าใจฯ 2543 หรือ MOU 2543 แล้ว กัมพูชาจะไม่สามารถนำแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 มาใช้ได้เลย ไม่ว่ากับประเทศไทยก็ดี กับศาลยุติธรรมระหว่างประเทศก็ดีหรือกับนานาชาติก็ดี ด้วยเหตุผล 4 ประการดังต่อไปนี้
1.ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารเท่านั้น ไม่พิพากษาเส้นเขตแดนและแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ในบทปฎิบัติการ และเมื่อเวลาผ่านไปเกิน 10 ปี ก็ไม่ปรากฎว่ากัมพูชาร้องขอให้พิพากษาเพิ่มเติมแต่ประการใด แผนที่ดังกล่าวจึงไม่อาจนำมาใช้ได้อีกในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือนำมาใช้อ้างอิงในเวทีนานาชาติอื่นใด
2.ประเทศไทยได้ตั้งข้อสงวนสิทธิที่จะทวงคืนปราสาทพระวิหารกับองค์การสหประชาชาติเอาไว้แล้วโดยไม่กำหนดระยะเวลาพร้อมกับแสดงคำคัดค้านอย่างชัดเจนในคำพิพากษาดังกล่าว ดังนั้นการตั้งข้อสงวนดังกล่าวนี้เองจึงเป็นการยืนยันว่า ฝ่ายไทยไม่ยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 และยังคงยึดเส้นเขตแดนตามขอบหน้าผาเหมือนเดิม
3.ประเทศไทยไม่ต่ออายุคำประกาศยอมรับการบังคับของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งหมดอายุลงระหว่างการพิจารณาคดีปราสาทพระวิหาร จึงเป็นคดีสุดท้ายที่ประเทศไทยยอมรับการบังคับอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศและจนถึงปัจจุบันประเทศไทยก็ยังไม่ต่ออายุคำประกาศดังกล่าว กัมพูชาจึงไม่มีสิทธิขึ้นศาลโลกแต่เพียงฝ่ายเดียวเพื่อขยายผลแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ได้อีกเพราะถือเป็นคดีใหม่และประเทศไทยก็มีสิทธิที่จะไม่ขึ้นศาลยุติธรรมระหว่างประเทศอีกเช่นกัน
4.ในทางปฎิบัติประเทศไทยมีแสนยานุภาพทางทหารมากกว่ากัมพูชา กัมพูชาจึงไม่มีโอกาสรุกล้ำเข้ามาเกินรั้วลวดหนามที่ไทยจัดไว้ให้หากไทยไม่ยินยอม กัมพูชาจึงไม่มีศักยภาพที่จะรุกรานไทยตามแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ได้เลย
ดังนั้นการลงนามใน บันทึกความเข้าใจฯ 2543 หรือ MOU 2543 จึงทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เพราะทำให้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 นั้นได้กลายเป็นข้อผูกพันระหว่างไทยและกัมพูชาเป็นครั้งแรก และมีผลสภาพบังคับให้ฝ่ายไทยต้องพิจารณาแผนที่มาตราส่วน1:200,000 ทำให้ไทยต้องสละผลงานการปักปันระหว่างสยาม-ฝรั่งเศสเมื่อ 100 กว่าปีที่แล้ว ทำให้ฝ่ายไทยไม่สามารถใช้กำลังทหารผลักดันกัมพูชาออกจากแผ่นดินไทยหรือดินแดนที่กัมพูชารุกรานเพิ่มเติมทั้งในปัจจุบันและอนาคต และเท่ากับสละข้อสงวนสิทธิ์ของรัฐบาลไทยที่มีต่อองค์การสหประชาชาติว่าจะขอทวงคืนปราสาทพระวิหารในอนาคต และทำให้นานาประเทศเข้าใจผิดว่าฝ่ายไทยยึดแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 แทนการยึดขอบหน้าผาเป็นเส้นเขตแดนและจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดไปด้วยว่าไทยเป็นฝ่ายรุกรานกัมพูชาตามแผนที่มาตราส่วน 1:200,000
แม้ว่ารัฐบาลไทยจะอ้างว่ามิได้ยอมรับแผนที่มาตราส่วน1:200,000 ในระวางดงรัก นั้น ก็เป็นเพียงข้ออ้างที่เป็นการอธิบายขึ้นในภายหลัง และขัดแย้งกับรายงานเอกสารของกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ พ.ศ. 2547 กรณีที่เกิดขึ้นเรื่องเขตแดนไทย-ลาวว่า แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 นั้นได้ใช้งานรวมระวางดงรัก และมีสถานภาพเหนือกว่าสนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศส อีกทั้งเมื่อกัมพูชาได้โอกาสอธิบายความแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 กับนานาชาติในการอ้างอิงบรรยายมูลเหตุในการที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้ตัดสินตัวปราสาทพระวิหารให้เป็นของกัมพูชาแล้ว เมื่อมาใช้อธิบายความหมายใน บันทึกความเข้าใจฯ 2543 หรือ MOU 2543 ที่ทำให้ฝ่ายไทยเสียเปรียบในเวทีนานาชาติ ว่าประเทศไทยได้สละผลงานการปักปันระหว่างสยาม-ฝรั่งเศส เมื่อ 103 ปีที่แล้วว่าให้ยึดตามขอบหน้าผาเป็นเส้นเขตแดนโดยไม่ต้องทำหลักเขตแดนใดๆทั้งสิ้นเพราะสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และประเทศไทยกับกัมพูชาได้มาตกลงกันใหม่ที่จะสำรวจจัดทำหลักเขตแดนซึ่งย่อมทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าฝ่ายไทยและกัมพูชาได้ยึดแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 แต่เพียงอย่างเดียว
การมีบันทึกความเข้าใจฯ 2543 หรือ MOU 2543 ที่มีผลผูกพันและสภาพบังคับให้ประเทศไทยต้องพิจารณาแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ย่อมทำให้เกิดแรงจูงใจจากฝ่ายกัมพูชาที่จะหาหนทางที่จะรุกรานและยึดครองแผ่นดินไทยตามแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ให้ได้ ทั้งการสร้างถนนรุกรานแผ่นดินไทย ย้ายชุมชน สร้างวัด เคลื่อนกำลังทหาร ย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์เข้ามาในดินแดนไทย และสำแดงอำนาจอธิปไตยโดยการเชิญธงชาติกัมพูชาเหนือดินแดนไทย ประกาศพระราชกฤษฎีกาใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ในบริเวณเขาพระวิหาร ดำเนินการยื่นขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารและนำพื้นที่โดยรอบซึ่งเป็นดินแดนไทยให้เป็นมรดกโลกของกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว สำแดงอำนาจอธิปไตยทางศาลเหนือดินแดนไทย และเมื่อรัฐบาลไทยได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขใน บันทึกความเข้าใจฯ 2543 หรือ MOU 2543 อย่างเคร่งครัด ฝ่ายไทยจึงไม่สามารถใช้กำลังทหารผลักดันทหารและชุมชนกัมพูชาออกจากดินแดนไทยได้ และทำให้กัมพูชารุกคืบในการรุกรานประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง แผ่นดินไทยที่ถูกยึดครองอยู่แล้วก็ไม่สามารถผลักดันออกไปได้ และแผ่นดินไทยที่ถูกรุกรานมากขึ้นก็ไม่สามารถขัดขวางได้ นอกจากการทำหนังสือประท้วง 121 ครั้ง ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่กัมพูชาได้รุกรานดินแดนไทยได้แต่ประการใด
นอกจากนี้กัมพูชายังได้ส่งรายงานไปยังคณะกรรมการมรดกโลก และองค์การยูเนสโก เพื่อยืนยันเส้นเขตแดนของกัมพูชาตามแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 แล้วกล่าวให้ร้ายประเทศไทยว่า ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 เป็นต้นมา ทหารไทยได้เป็นฝ่ายรุกรานกัมพูชาตามแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 และเมื่อไม่ได้มีการคัดค้านจากฝ่ายไทย ปี 2552 องค์การยูเนสโกจึงได้ให้เงินสนับสนุนกัมพูชาเพื่อซ่อมสร้างตลาดกัมพูชาในดินแดนไทย สะท้อนให้เห็นว่าองค์กรนานาชาติก็เข้าใจว่าไทยกับกัมพูชากำลังเดินหน้าตามแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 และฝ่ายไทยกำลังรุกรานกัมพูชา
ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 34 เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 ฝ่ายไทยได้ส่งนายสุวิทย์ คุณกิตติ เป็นตัวแทนรัฐบาลไทย ไปลงนามยอมรับมติการประนีประนอมในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ซึ่งมีเนื้อหาสาระในการอ้างอิงถึงมติการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกในกรณีปราสาทพระวิหารย้อนหลังทั้งหมด ซึ่งมีการละเมิดอธิปไตยประเทศไทย ทั้งการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารและการนำพื้นที่โดยรอบตัวปราสาทพระวิหารให้เป็นของกัมพูชา รวมถึงการให้ร้ายประเทศไทยว่าเป็นฝ่ายรุกรานกัมพูชาตามแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งการลงนามดังกล่าวย่อมทำให้ประเทศไทยต้องเสียเปรียบกัมพูชามากยิ่งขึ้นในเวทีนานาชาติ
ดังนั้นหากเปรียบเทียบความหมายที่กัมพูชา เอกสารของกระทรวงการต่างประเทศของประเทศไทย ซึ่งมีความเข้าใจว่า บันทึกความเข้าใจฯ 2543 หรือ MOU 2543 นั้นหมายถึงแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 แต่เพียงอย่างเดียว ย่อมเป็นภาพที่มีความสอดคล้องกับที่กัมพูชาได้ยื่นอ้างอิงแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ในเวทีคณะกรรมการมรดกโลก และการให้ความช่วยเหลือกัมพูชาโดยองค์การยูเนสโกทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้นหากเปรียบเทียบภาพก่อนที่จะมีการลงนามใน บันทึกความเข้าใจฯ 2543 หรือ MOU 2543 และหลังลงนามใน บันทึกความเข้าใจฯ 2543 หรือ MOU 2543 ปรากฏว่าพื้นที่บริเวณเขาพระวิหารมีการปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก มีการสร้างถนน สร้างวัด สร้างตลาด รุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทยอย่างต่อเนื่อง จนมีผลทำให้นักท่องเที่ยวและชาวกัมพูชาสามารถขึ้นตัวปราสาทพระวิหารได้จากถนนที่สร้างจากบ้านโกมุย ซึ่งอยู่ตีนหน้าผาในฝั่งกัมพูชา รุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทยจนขึ้นถึงตัวปราสาทพระวิหารได้ โดยที่คนไทยทั่วไปไม่สามารถขึ้นได้แต่ประการใด
บันทึกความเข้าใจฯ 2543 หรือ MOU 2543 ในข้อ 1 ค) ระบุว่า ให้ไทยและกัมพูชาสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกตามแผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีนซึ่งจัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1904 และ สนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1907 กับเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้อนุสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1904 และ สนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1907 ระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ก่อนข้อความดังกล่าวปรากฏคำว่า “และ” นั้นหมายความว่าแผนที่ดังกล่าวนั้นมีสภาพบังคับให้ต้องพิจารณาและไม่ได้ให้เลือก และด้วยชื่อเรียกของแผนที่ฉบับนี้ ย่อมทำให้นานาชาติเข้าใจว่า แผนที่ดังกล่าวนี้เป็นผลงานท้ายสุดและมีความถูกต้องหลังจากได้ลงนามในสนธิสัญญาแล้ว และเป็นผลงานอันเป็นที่ยอมรับกันหลังจากได้มีการเดินสำรวจและปักปันระหว่างสยามกับฝรั่งเศสแล้ว จึงย่อมเกิดความสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งในเวทีนานาชาติว่าประเทศไทยและกัมพูชาจะต้องยึดถือแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 เป็นหลักสำคัญอีกด้วย
นอกจากนี้ใน บันทึกความเข้าใจฯ 2543 หรือ MOU 2543 ข้อ 5 ระบุว่า “เพื่ออำนวยความสะดวกในการสำรวจตลอดแนวเขตแดนทางบกร่วมกันเป็นไปอย่างประสิทธิผล หน่วยงานของรัฐบาลกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานเหล่านั้นจะงดเว้นการดำเนนการใดๆที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน เว้นแต่จะเป็นการดำเนินการของคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วมเพื่อประโยชน์ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน” ข้อความดังกล่าวนั้นในทางปฏิบัติพบว่าประเทศไทยได้เป็นที่พักอาศัยชาวกัมพูชาที่อพยพมาอยู่ในดินแดนไทยเพราะหนีสงครามภายในประเทศกัมพูชาเอง ส่งผลทำให้กัมพูชาซึ่งยึดครองดินแดนไทยอยู่มากกว่านั้นสามารถยึดครองดินแดนไทยต่อไปได้ โดยไม่มีกำหนดระยะเวลาจนกว่าผลการเจรจาเรื่องเขตแดนจะเป็นที่พอใจของฝ่ายกัมพูชาเท่านั้น และหากกัมพูชาไม่พอใจในผลการเจรจา กัมพูชาก็จะสามารถใช้สิทธิในข้อ 5 ของ บันทึกความเข้าใจฯ 2543 หรือ MOU 2543 ที่จะยึดครองดินแดนไทยในบริเวณที่ยึดครองแล้วได้ไม่มีกำหนดระยะเวลา
กรณีตัวอย่างในการที่ทำให้ประเทศไทยต้องเสียเปรียบใน ข้อ 5 ของ บันทึกความเข้าใจฯ 2543 หรือ MOU 2543ได้แก่
กรณีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2553 ได้มี 7 คนไทยได้ถูกจับบริเวณอดีตค่ายอพยพหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ซึ่งอยู่ในช่วง หลักเขตที่ 46-47 ซึ่งไทยและกัมพูชายังตกลงกันไม่ได้ว่าหลักเขตเดิมอยู่ในบริเวณใด ทั้งๆที่พื้นที่ดังกล่าวนั้นได้ปรากฏว่าเคยเป็นพื้นที่ซึ่งชาวกัมพูชาเคยอพยพหนีภัยสงครามมาอาศัยอยู่ตั้งแต่ พ.ศ. 2522 และยึดที่ดินทำกินของราษฎรไทย ที่มีเอกสารที่ดินทำกิน ส.ค.1 และมีพยานเป็นจำนวนมากที่เป็นอดีตทหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กาชาดสากลนั้นต่างยืนยันว่าบริเวณที่ 7 คนไทยถูกจับนั้นอยู่ในผืนแผ่นดินไทย แต่รัฐบาลไทยกลับยินยอมให้ศาลกัมพูชาได้พิพากษา 7 คนไทย ซึ่งเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยทางศาลบนดินแดนไทย
นอกจากนี้บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. 2543 ยังกำหนดในข้อ 8 ว่า
“ให้ระงับข้อพิพาทใดๆ ที่เกิดจากการตีความหรือการบังคับใช้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้โดยสันติวิธีด้วยการปรึกษาหารือและเจรจา”
ผลต่อเนื่องตามมาจากข้อตกลงดังกล่าวยังทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงที่อาจทำให้การรุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทย โดยฝ่ายกัมพูชาซึ่งได้ยึดถือแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งฝรั่งเศสจัดทำขึ้นแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยที่ฝ่ายไทยไม่สามารถใช้วิธีอื่นใดได้นอกจากการปรึกษาและเจรจาเท่านั้น ซึ่งอาจไม่ใช่เป็นหนทางในการรักษาอธิปไตยหรือดินแดนจากการถูกรุกล้ำหรือยึดครองดินแดนไทยโดยฝ่ายกัมพูชาได้เช่นกัน
บริเวณเขาพระวิหารเป็นเวลาหลายปีที่กัมพูชาได้สร้างถนนเพื่อรุกล้ำเข้ามาในดินแดนประเทศไทยเป็นผลสำเร็จส่งผลทำให้ทหารกัมพูชาซึ่งเดิมอยู่ตีนหน้าผาของฝั่งกัมพูชา ซึ่งอดีตทำให้กัมพูชาไม่สามารถโจมตีด้วยอาวุธสงครามทำร้ายทหารและราษฎรไทยได้ เพราะประเทศไทยมีหน้าผาสูงชัน 600 ถึง 800 เมตร เป็นแนวกั้นและเส้นเขตแดนซึ่งมีอยู่ตามแนวธรรมชาติ กัมพูชากลับสามารถขนกองกำลังทหารและขนอาวุธยุทโธปกรณ์ขึ้นมาบนยอดหน้าผาของฝั่งไทย เช่น บริเวณรอบปราสาทพระวิหาร วัดแก้วสิขะคีรีสะวะรา ภูมะเขือ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นจุดสูงข่ม ที่ทำให้กัมพูชาสามารถยิงทำร้ายราษฎรไทยได้อย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน เพื่อหวังผลให้นานาชาติเข้ามาแทรกแซงและสนับสนุนกัมพูชาในการใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000
ตามคำแถลงการณ์และถ้อยแถลงของกัมพูชาทั้งสองครั้งในปี พ.ศ. 2550 รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วยอันดับ 5 และ อันดับ 6 พบว่ากัมพูชาได้ยืนยันเส้นเขตแดนของตัวเองในแถลงการณ์ทั้งสองฉบับว่าเส้นเขตแดนของกัมพูชายึดตามแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 โดยอ้าง บันทึกความเข้าใจฯ 2543 หรือ MOU 2543 และการพรรณาและการบรรยายคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2505 โดยที่ฝ่ายไทยไม่ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้กลับเอกสารอันดับ 6 ได้แต่ประการใด หลังจากนั้นได้เกิดกรณีพิพาทและปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชา บริเวณชายแดนในช่วงวันที่ 4 ถึง 6 กุมภาพันธ์ 2554 กัมพูชาได้ยื่นร้องเรียนต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ไทย-กัมพูชาได้เข้าชี้แจงต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2554 ผลปรากฎว่า นายฮอร์ นัม ฮง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา ได้ออกถ้อยแถลงยืนยันเส้นเขตแดนของตัวเองตามแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่กัมพูชาได้ออกแถลงการณ์ตามอันดับ 6 ทุกประการ รายละเอียดปรากฎตามข่าวที่ส่งมาด้วยอันดับ 7
ในขณะที่นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกลับยื่นถ้อยแถลงต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติไม่ยืนยันในเส้นเขตแดนของตัวเองว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายรุกรานยึดครองดินแดนประเทศไทยอยู่ หรือกัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิด บันทึกความเข้าใจฯ 2543 หรือ MOU 2543 มาโดยตลอด รายละเอียดปรากฎตามข่าวที่ส่งมาด้วยอันดับที่ 8 ผลลัพธ์ทำให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติหลงผิดจึงออกข้อเรียกร้องให้ฝ่ายไทยและกัมพูชาทำข้อตกลงหยุดยิงถาวร โดยไม่ได้กล่าวถึงการที่ประเทศไทยถูกกัมพูชารุกรานยึดครอง หรือเป็นฝ่ายถูกละเมิด บันทึกความเข้าใจฯ 2543 หรือ MOU 2543 ซึ่งข้อตกลงหยุดยิงถาวรโดยไม่กล่าวถึงการรุกรานและยึดครองดินแดนไทยโดยฝ่ายกัมพูชานั้น ถือเป็นความเสียเปรียบของประเทศไทยที่อาจไม่มีโอกาสทวงคืนแผ่นดินได้ในโอกาสต่อไป นอกจากนี้ยังมีการที่ประเทศไทยได้เชิญกลุ่มประเทศอาเซียนส่งตัวแทนอาเซียน คือ อินโดนีเซียมาเป็นสักขีพยานพร้อมกับส่งทหารเข้ามาสังเกตการณ์เพื่อมิให้มีการปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชาอีก ทำให้กัมพูชาสามารถยึดครองดินแดนประเทศไทยต่อไปได้ จนกว่ากัมพูชาจะเป็นฝ่ายพอใจในผลลัพธ์ของการเจรจาเท่านั้น อีกทั้งหากมีข้อตกลงหยุดยิงกันจริงและมีนานาชาติเข้ามาเป็นสักขีพยาน ก็จะทำให้เงื่อนไขมรดกโลกอันตรายในบริเวณปราสาทพระวิหารก็จะหมดลงไปเป็นผลทำให้กัมพูชาสามารถเดินหน้าแผนบริหารจัดการมรดกโลกปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบได้ต่อไป เพราะถือว่าได้กลับมาเป็นพื้นที่สันติภาพถาวรแล้ว
ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้ข้าฯ และพวกได้ยื่นหนังสือเสนอให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาด้วยการเรียกร้องต่อรัฐบาลให้ปกป้องอธิปไตยของชาติ ตามข้อเรียกร้อง 3 ข้อข้างต้น ทั้งนี้ได้มีผู้เชี่ยวชาญหลายคนซึ่งเป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศได้เห็นด้วยกับแนวทางและวัตถุประสงค์ของพันธมิตรฯ เช่น ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายระหว่างประเทศเป็นคณบดี คณะนิติศาตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นอดีตทนายผู้ประสานงานคณะทนายฝ่ายไทยในคดีปราสาทพระวิหาร เป็นอดีตรองประธานด้านกฎหมายระหว่างประเทศขององค์การสหประชาชาติ นักกฎหมายคนไทยคนแรกและคนเดียวที่ได้ไปบรรยายที่สถาบันเฮก กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ซึ่งเป็นสถาบันที่ฝึกอบรมด้านกฎหมายระหว่างประเทศที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ก็เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อของข้าฯ กับพวก, ศ.ดร.อดุล วิเชียรเจริญ อดีตประธานและคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกเป็นเวลาติดต่อกัน 23 ปี และเป็นอดีตคณะกรรมการมรดกโลกชุดใหญ่ 21 ประเทศและเป็นอดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็เห็นด้วยกับการให้ยกเลิก บันทึกความเข้าใจฯ 2543 หรือ MOU 2543 และถอนตัวออกจากภาคีอนุสัญญามรดกโลก ,ร.ศ.ศรีศักร วัลลิโภดม นักวิชาการ นักโบราณคดี นักมานุษยวิทยา เจ้าของรางวัลวัฒนธรรมเอเซียฟูกูโอกะ ประจำปี 2550 เป็นผู้ศึกษาค้นคว้าและเรียบเรียงงานวิชาการ ที่เป็นประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้าทางประวัติศาสตร์โบราณคดีและมานุษยวิทยาไว้อย่างมากมาย และยังเป็นเมธีวิจัยอาวุโสสำนักงานสนับสนุนการวิจัย ก็ความเห็นเรื่องเขตแดนไทย- กัมพูชาว่าไทยควรถอนตัวออกจากการเป็นภาคีอนุสัญญามรดกโลก ที่ผ่านมารัฐบาลไม่สามารถใช้ประโยชน์ในการที่กัมพูชาละเมิด บันทึกความเข้าใจฯ 2543 หรือ MOU 2543 ได้ปล่อยให้มีการรุกล้ำและยึดครองดินแดนไทย ไม่มีแผนงานชัดเจนทั้งเรื่องการละเมิดอธิปไตยและในเวทีมรดกโลก จึงเห็นด้วยให้ยกเลิก บันทึกความเข้าใจฯ 2543 หรือ MOU 2543 , นายนาม ยิ้มแย้ม อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา มีความเห็นว่า ได้ชั่งน้ำหนักทั้งสองฝ่ายในฐานะคนกลางแล้วเห็นว่า เหตุผลของพันธมิตรฯ และภาคประชาชนเรื่อง บันทึกความเข้าใจฯ 2543 หรือ MOU 2543 นั้นมีน้ำหนักมากกว่าฝ่ายรัฐบาล บันทึกความเข้าใจฯ 2543 หรือ MOU 2543 นอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้วยังจะทำให้ไทยต้องเสียประโยชน์จากการเสียดินแดนด้วย ดังนั้น จึงเห็นด้วยให้ยกเลิก บันทึกความเข้าใจฯ 2543 หรือ MOU 2543 และให้ทหารทำหน้าที่ปกป้องและรักษาอธิปไตยของชาติ ,นายสุเทพ กิจสวัสดิ์ อดีตผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางและอดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา มีความเห็นว่า บันทึกความเข้าใจฯ 2543 หรือ MOU 2543 ทำให้แนวเขตแดนสันปันน้ำและหน้าผาซึ่งเป็นเส้นแบ่งเขตถาวรมีน้ำหนักน้อยลงกัมพูชา จึงถือว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เป็นดินแดนของกัมพูชาและถือว่ากัมพูชามีอธิปไตยเหนือ 4.6 ตารางกิโลเมตร กัมพูชาจึงเข้าไปยึดครอง โดยส่งคนเขมรไปตั้งภูมิลำเนา สร้างวัด สร้างตลาดและสร้างถนน โดยมีทหารเขมรติดอาวุธเข้าไปคุ้มครองพื้นที่ ไทยจึงน่าจะเสียดินแดนแล้วและจะเสียมากกว่านั้น รายละเอียดปรากฎตามหนังสือ 33 ประเด็น ที่ส่งมาด้วยอันดับที่ 9
นางยินดี วัชรพงศ์ ต่อสุวรรณ อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ก็เห็นว่า บันทึกความเข้าใจฯ 2543 หรือ MOU 2543 ผิดกฎหมายหลายประการ เช่น ขัดต่อพระราชกฤษฎีกาอุทธยานแห่งชาติ พ.ศ. 2541 ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 224 และขัดต่อคำพิพากษาศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2552 และคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2553 รายละเอียดปรากฎตามบทความที่ส่งมาด้วยอันดับที่ 10
ผลต่อเนื่องและผลกระทบจากบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. 2543 ทำให้ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ซึ่งได้จัดตั้งขึ้นตามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. 2543 ได้ให้ความเห็นชอบข้อกำหนดและแผนแม่บทสำหรับการสำรวจและการจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วมระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา (Terms of Reference and Master Plan for the Joint Survey and Demarcation of Land Boundary between the Kingdom of Thailand and the Kingdom of Cambodia) หรือ “TOR” เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2546 โดยข้อกำหนดและแผนแม่บทดังกล่าวมีการระบุในข้อ 1.1.3 ให้ใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 เป็นเอกสารที่ใช้ในการกำหนดเขตแดนทางบกระหว่างไทยกัมพูชา อีกทั้งยังมีการกำหนดขอบเขตในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก และยังปรากฏในข้อ 3 ว่าให้กำหนดขอบเขตในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกขยายไปแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ในทุกตอน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนที่ 6 (ดงรัก) จากช่องสัตตะโสมถึงหลักเขตที่ 1 และตอนที่ 7 จากสัตตะโสม ถึงช่องบก ซึ่งบริเวณดังกล่าวคณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศสได้เคยสำรวจและแบ่งเขตแดนไปแล้วโดยใช้สันปันน้ำอย่างเดียวโดยไม่ต้องมีการจัดทำหลักเขตแดนใดๆทั้งสิ้นอีกด้วย
ผลจากข้อกำหนดและแผนแม่บทดังกล่าวทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดินแดนหลังสันปันน้ำซึ่งรัฐบาลไทยเคยยึดถือมาว่าเป็นเส้นเขตแดนมาโดยตลอดนับตั้งแต่การทำอนุสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447) และผลงานการสำรวจและปักปันแบ่งเขตแดนของคณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศสชุดแรกซึ่งได้แบ่งเขตแดนเสร็จสิ้นโดยระบุให้ใช้สันปันน้ำเป็นเส้นเขตแดนเมื่อปี ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450)ได้กลายเป็นพื้นที่พิพาทและไม่ชัดเจนว่าเส้นเขตแดนอยู่ที่ใด หรืออาจทำให้กัมพูชากล่าวอ้างว่าการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก จากช่องสะงำ จังหวัด ศรีสะเกษ ไปทางทิศตะวันออกไปจนถึงช่องบก จังหวัด อุบลราชธานี ต้องตกลงและจัดทำขึ้นใหม่โดยยึดแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น ซึ่งไม่เป็นคุณแก่ประเทศไทย
ปรากฏข้อเท็จจริงว่ากระบวนการและการดำเนินการในการจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย กับ รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. 2543 และ ข้อกำหนดและแผนแม่บทสำหรับการสำรวจและการจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วมระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา พ.ศ. 2546 มิได้กระทำไปตามขั้นตอน ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 หมวด 7 คณะรัฐมนตรี
มาตรา 224 ที่บัญญัติว่า “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการทำหนังสือสัญญาสันติภาพ สัญญาสงบศึก และสัญญาอื่น กับนานาประเทศหรือกับองค์การระหว่างประเทศ
หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือเขตอำนาจแห่งรัฐ หรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามสัญญา ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา”
ซึ่งเมื่อพิจารณารายละเอียดกระบวนการและการดำเนินการในการจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย กับ รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. 2543 และ ข้อกำหนดและแผนแม่บทสำหรับการสำรวจและการจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วมระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา พ.ศ. 2546 จะเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่าคำแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวมีลักษณะเป็นหนังสือสัญญา ซึ่งต้องอยู่ภายใต้บังคับตามมาตรา 224 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 โดยพิจารณาจากหลักดังนี้
1)กระทำเป็นลายลักษณ์อักษร
2)สัญญาดังกล่าวอยู่ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ
3)คู่สัญญาเป็นรัฐหรือรัฐบาล
4)มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทยหรือเขตพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจสังคมอย่างกว้างขวาง มีผลผูกพันทางการค้า การลงทุน และงบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
เมื่อนำหลักข้างต้นมาพิจารณาประกอบข้อตกลงตามคำแถลงการณ์ร่วม ฯ ดังกล่าวแต่ละข้อจะเห็นได้ดังนี้
1)กระบวนการและการทำบันทึกความเข้าใจฯ พ.ศ. 2543 และ ข้อกำหนดและแผนแม่บทฯ พ.ศ. 2546 ดังกล่าวได้กระทำเป็นลายลักษณ์อักษร
2)กระบวนการและการทำบันทึกความเข้าใจฯ พ.ศ. 2543 และ ข้อกำหนดและแผนแม่บทฯ พ.ศ. 2546 ดังกล่าวอยู่ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ
3)กระบวนการและการทำบันทึกความเข้าใจฯ พ.ศ. 2543 ดังกล่าวลงนามโดย ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทย และนายวาร์ คิมฮง ที่ปรึกษาแห่งราชอาณาจักรผู้รับผิดชอบกิจการชายแดน ในขณะที่ข้อกำหนดและแผนแม่บทฯ พ.ศ. 2546 นั้นได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากการทำบันทึกความเข้าใจฯ พ.ศ. 2543
4)กระบวนการและการทำบันทึกความเข้าใจฯ พ.ศ. 2543 และ ข้อกำหนดแผนและแม่บทฯ พ.ศ. 2546 ดังกล่าว มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทยหรือเขตพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจสังคมอย่างกว้างขวาง มีผลผูกพันทางการค้า การลงทุน และงบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
โดยปรากฏผลต่อเนื่องดังนี้
1)รัฐบาลกัมพูชาได้ประกาศพระราชกฤษฎีกาใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000
ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียวบริเวณพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารเลยสันปันน้ำกินลึกเข้ามาในดินแดนไทย 4.6 ตารางกิโลเมตร (2,875 ไร่)
2)รัฐบาลกัมพูชาได้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียวในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 32 เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 ฝ่ายกัมพูชาได้ยื่นเอกสารแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียวในการอ้างอิงเพื่อขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยคณะกรรมการมรดกโลกได้รับแผนผัง RGPP ซึ่งมีพื้นที่กันชนหรือพื้นที่รอบตัวปราสาทพระวิหารกระทบต่อดินแดนไทย
นอกจากนี้ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 33 (วันที่ 22-30 มิถุนายน พ.ศ. 2552) ได้มีการรายงานโดยอ้างอิงแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียวว่า เมื่อปี พ.ศ. 2551 ฝ่ายไทยได้โจมตีและรุกล้ำในดินแดนกัมพูชาตามส่วนขยายของแผนที่ มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ฝ่ายกัมพูชา เป็นผลทำให้คณะกรรมการมรดกโลกได้ให้เงินช่วยเหลือกัมพูชาซ่อมแซมและสร้างตลาดกัมพูชาตามแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 เป็นจำนวนเงิน 50,000 เหรียญสหรัฐ ทั้งๆที่ในความจริงแล้วพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในดินแดนไทยตามอนุสัญญาระหว่างสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447) และตามผลงานการสำรวจและปักปันของคณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศส ซึ่งได้แบ่งเขตแดนดังกล่าวเสร็จสิ้นโดยยึดหลักสันปันน้ำเมื่อปี ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450)
3)กัมพูชาได้ทำการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมรุกล้ำและยึดครองดินแดนไทยอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงปี พ.ศ. 2547- พ.ศ. 2548 มีการขยายตัวของชุมชนตลาดกัมพูชา มีการก่อสร้างอาคารถาวรเพื่อเป็นที่ทำการของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของกัมพูชา มีการสร้างวัด และมีการสร้างถนนจากบ้านโกมุยของกัมพูชาขึ้นมายังเขาพระวิหาร ซึ่งได้สร้างเสร็จสิ้นในปี พ.ศ. 2552 ตลอดจนมีการตั้งกองกำลังทหารอีกเป็นจำนวนมาก และได้สร้างถนนตามแนวสันปันน้ำเพิ่มขึ้นอีก 1 เส้นในช่วงปี พ.ศ. 2552 – พ.ศ. 2553 ทำให้สามารถขึ้นตัวปราสาทพระวิหารได้จากฝั่งกัมพูชา โดยในปัจจุบันนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศและชาวกัมพูชาสามารถขึ้นไปพื้นที่เขาพระวิหารได้ ในขณะที่ประชาชนชาวไทยไม่สามารถขึ้นไปยังพื้นที่บริเวณดังกล่าวได้ และทหารไทยจะต้องปลดอาวุธเมื่อเข้าพื้นที่บริเวณดังกล่าวและต้องขออนุญาตจากฝ่ายกัมพูชาก่อน อีกทั้งในบริเวณดังกล่าวกลับมีแต่ธงชาติของกัมพูชาเท่านั้นโดยไม่มีธงชาติไทย กองกำลังทหารกัมพูชาและชุมชนกัมพูชาได้เข้ามายึดครองดินแดนไทยหลายจุด เช่น รอบปราสาทพระวิหาร วัดแก้วสิขาคีรีสะวารา ภูมะเขือ ปราสาทตาควาย ปราสาทตาเมือนธม บ้านหนองจาน ฯลฯ
ฝ่ายรัฐบาลไทยโดยกระทรวงการต่างประเทศได้ทำหนังสือประท้วงไปแล้วไม่ต่ำกว่า 123 ครั้งว่าฝ่ายกัมพูชาได้ละเมิดข้อ 5 ตามบันทึกความเข้าใจฯพ.ศ. 2543 ว่าฝ่ายกัมพูชาได้เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน ในระหว่างการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างไทย-กัมพูชา แต่ก็ไม่สามารถผลักดันชาวกัมพูชาที่ขยายตัวรุกล้ำและยึดครองดินแดนไทยได้นอกจากการใช้สันติวิธีด้วยการเจรจาและปรึกษาหารือกันตามข้อ 8 ของบันทึกความเข้าใจ พ.ศ. 2543 เท่านั้น อันเป็นผลทำให้ชุมชนชาวกัมพูชาขยายตัวในดินแดนไทยอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเชื้อเชิญและยินยอมให้ประเทศที่สามเข้ามาเป็นสักขีพยานในการหยุดยิงถาวรเพื่อมิให้ทหารไทยผลักดันทหารกัมพูชาออกจากแผ่นดินไทย
4)เนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 190 บัญญัติว่า หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาก่อนดำเนินการเพื่อทำหนังสือสัญญาดังกล่าว คณะรัฐมนตรีต้องให้ข้อมูลและจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและต้องชี้แจงต่อรัฐสภาเกี่ยวกับหนังสือสัญญานั้น รวมทั้งให้คณะรัฐมนตรีเสนอกรอบการเจรจาต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบด้วย ดังนั้น คณะรัฐมนตรีในสมัยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีจึงได้เสนอขอให้รัฐสภาเห็นชอบ “กรอบการเจรจาสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชาตลอดแนว ในกรอบของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชาตลอดแนว ในกรอบของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชาและกลไกอื่นๆภายใต้กรอบนี้” ซึ่งรัฐสภาเสียงข้างมากได้ให้ความเห็นชอบในการประชุมลับเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2551 โดยได้มีการกำหนดกรอบการเจรจาในความหมายเดียวกับข้อความในข้อ 1 ของบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตทางบก พ.ศ. 2543 กล่าวคือกำหนดให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา เจรจากับฝ่ายกัมพูชาเพื่อดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชาให้เป็นไปตามเอกสารต่อไปนี้
(1) อนุสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส แก้ไขข้อบทเพิ่มเติมข้อบทแห่งสนธิสัญญาฉบับลงวันที่ 3 ตุลาคม ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2437) ว่าด้วยดินแดนกับข้อตกลงอื่นๆ ฉบับลงนาม ณ กรุงปรารีส เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ร.ศ.112 (พ.ศ. 2447)
(2) สนธิสัญญาระหว่างพระเจ้าแผ่นดินสยามกับประธานาธิบดีสาธารณรัฐฝรั่งเศส ฉบับลงนาม ณ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ร.ศ. 125 (พ.ศ. 2450) กับพิธีสารว่าด้วยการปักปันเขตแดนแนบท้ายสนธิสัญญา ฉบับลงวันที่ 23 มีนาคม ร.ศ. 125 (พ.ศ. 2450)
(3) แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีนที่จัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1907 กับเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้อนุสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1907 ระหว่างสยามกับฝรั่งเศส
กรอบการเจรจาดังกล่าวทำให้ประเทศไทยมีความสุ่มเสี่ยง และไม่เป็นคุณต่อประเทศไทย และเป็นการขยายผลต่อเนื่องจากบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา พ.ศ.2543 ให้เป็นผลจริงในกรอบการการเจรจาของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา
5) คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้เสนอบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา รวม 3 ฉบับ เพื่อขอความเห็นชอบจากรัฐสภา โดยนายกรัฐมนตรีได้ส่งหนังสือที่ นร 0503/11564 ลงวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 กราบเรียนประธานรัฐสภาเพื่อดำเนินการในเรื่องดังกล่าว โดยบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชามีดังนี้
(1) บันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา สมัยสามัญ ณ เมือง เสียมราฐ วันที่ 10-12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
(2) บันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 4 ณ กรุงเทพมหานคร วันที่ 3 - 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
(3) บันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ณ กรุงพนมเปญ วันที่ 6 – 7 เมษายน พ.ศ. 2552
โดยการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ทั้ง 3 ครั้งดังกล่าวนั้น ฝ่ายไทยและกัมพูชาได้หารือเกี่ยวกับร่างข้อตกลงชั่วคราวเกี่ยวกับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาบริเวณปราสาทพระวิหาร และสามารถตกลงกันได้เป็นส่วนใหญ่ เหลือประเด็นที่ยังตกลงกันไม่ได้คือการเรียกชื่อปราสาทพระวิหาร โดยฝ่ายไทยเสนอให้ “ปราสาท” ในขณะที่ฝ่ายกัมพูชาเสนอให้เรียกว่า “ปราสาทเปรียะวิเฮียร์” (พระวิหารในภาษาไทย)”
จากผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชาทั้ง 3 ครั้ง มีผลทำให้ดินแดนไทยซึ่งเคยยึดหลักขอบหน้าผาเป็นสันปันน้ำซึ่งเป็นเส้นเขตแดนเพียงอย่างเดียวในบริเวณปราสาทพระวิหาร อันเป็นตามบทบัญญัติในอนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสเมื่อ ปี ค.ศ. 1904 ( พ.ศ. 2447) และเป็นไปตามผลการสำรวจและปักปันเขตแดนของคณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศสซึ่งได้เสร็จสิ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) และคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2505 ซึ่งไม่เคยพิพากษาสถานะของแผนที่หรือเส้นเขตแดนมาตราส่วน 1: 200,000 ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียวตามที่กัมพูชาร้องขอ อีกทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาได้ยอมรับสถานภาพในการล้อมรั้วบริเวณตัวปราสาทพระวิหารเพื่อขึ้นจากฝั่งไทยมาเป็นเวลานานนับตั้งแต่คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ พ.ศ. 2505 ได้กลายมาเป็นพื้นที่ซึ่งต้องมาสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนใหม่ ซึ่งทำให้ดินแดนหลังแนวขอบหน้าผาหรือสันปันน้ำซึ่งเคยเป็นดินแดนไทยและอยู่บนอธิปไตยของไทยฝ่ายเดียว กลายเป็นพื้นที่พิพาทที่ไม่แน่ชัดว่าเส้นเขตแดนอยู่ที่ใด และต้องมาตกลงกันใหม่โดยคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ถือเป็นการสุ่มเสี่ยงที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตและอำนาจอธิปไตยของไทยหรืออาจทำให้ฝ่ายกัมพูชานำไปกล่าวอ้างหรือใช้ประโยชน์ในทางที่ไม่เป็นคุณแก่ประเทศไทย โดยในปัจจุบันกระทรวงการต่างประเทศกำลังดำเนินการเพื่อขอความเห็นชอบของรัฐสภาในการประชุมของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา
6) คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ได้จัดทำร่างข้อตกลงชั่วคราวระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยปัญหาชายแดนในพื้นที่ (ไทย-ปราสาท) (กัมพูชา- ปราสาทเปรียะวิเฮียร์) (พระวิหารในภาษาไทย) โดยข้อตกลงชั่วคราวดังกล่าวปรากฏมีข้อความดังต่อไปนี้
“ยืนยันอีกครั้งถึงสิทธิและพันธกรณีภายใต้บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ลงนาม ณ กรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2543 (ค.ศ. 2000) (ต่อไปนี้เรียกว่า “บันทึกความเข้าใจฯ ค.ศ. 2000”) รวมถึงแผนแม่บทและข้อกำหนดอำนาจหน้าที่ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วม ปี 2546 (ค.ศ. 2003) ซึ่งกล่าวถึงในนั้น”
ข้อความดังกล่าวมีผลตอกย้ำทำให้ข้อผูกพันที่ก่อให้เกิดความสุ่มเสี่ยงต่อประเทศไทยให้ประเทศอื่นได้นำไปใช้ในทางที่ทำให้เกิดความเสียหายโดยเตรียมให้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา และยังปรากฏข้อความต่อมาว่า:
“ข้อ 1 คู่ภาคีจะไม่คงกำลังทหารของแต่ละฝ่ายในวัด “แก้วสิขาคีรีสะวารา” (ต่อไปนี้จะเรียกว่า “วัด”) พื้นที่รอบวัดและพื้นที่ (ไทย-ปราสาท) (กัมพูชา – ปราสาทเปรียะวิเฮียร์) (พระวิหารในภาษาไทย) แม่ทัพภาคที่สองของกองทัพบกไทยและผู้บัญชาการกองทัพภาคที่ 4 ของกองทัพกัมพูชาจะกำหนดมาตรการที่เหมาะสมร่วมกันเพื่อปฏิบัติให้ข้อบทนี้มีผล โดยผ่านชุดทหารติดตามสถานการณ์ชั่วคราวของแต่ละฝ่าย”
ข้อความดังกล่าวย่อมเท่ากับว่าพื้นที่ซึ่งเป็นของประเทศไทยต้องกลับกลายเป็นพื้นที่ซึ่งมีการพิพาท และทหารทั้งสองฝ่ายต้องถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่รอบวัดแก้วสิขาคีรีสะวารา และพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร ในขณะที่ข้อเท็จจริงได้มีชุมชนชาวกัมพูชาและสิ่งปลูกสร้างได้เคลื่อนย้ายเข้ามาโดยมีเจตนาเพื่อรุกล้ำเพื่อเข้ามายึดครองดินแดนไทย แต่ข้อตกลงดังกล่าวกลับไม่ได้กล่าวถึงชุมชนชาวกัมพูชาดังกล่าว การตกลงดังกล่าวจึงย่อมจะเป็นประโยชน์ต่อกัมพูชาในการขยายชุมชนชาวกัมพูชาในดินแดนไทยและไม่เป็นคุณต่อประเทศไทย นอกจากนี้การตกลงดังกล่าวย่อมเป็นประโยชน์ต่อกัมพูชาในการดำเนินการทำให้ปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกให้มีความสมบูรณ์ และไม่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายไทยในการคัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบเป็นมรดกโลก รายละเอียดปรากฎตามเอกสารประกอบการบรรยายปัญหาชายแดนไทย – กัมพูชา สิ่งที่ส่งมาด้วยอันดับ 11
นอกจากนี้ในร่างข้อตกลงดังกล่าวยังได้มีการระบุให้มีการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนเฉพาะการแก้ไขปัญหาในบริเวณปราสาทพระวิหาร ทั้งๆที่บริเวณดังกล่าวได้ทำการสำรวจและแบ่งเขตแดนเสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อปี ค.ศ.1907 (พ.ศ.2450)
บันทึกร่างข้อตกลงดังกล่าว ย่อมทำให้ฝ่ายประเทศไทยตกอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบ เพราะหากมีการยอมรับให้มีการจัดทำหลักเขตแดนดังกล่าว แสดงว่าประเทศได้สละผลงานการสำรวจและปักปันตามคณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศสที่ได้แบ่งเขตแดนโดยใช้สันปันน้ำในบริเวณดังกล่าวเสร็จสิ้นเมื่อปี ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) ทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงกลายเป็นพื้นที่พิพาทที่ต้องมาตกลงกันใหม่ระหว่างไทย-กัมพูชา หรือทำให้กัมพูชานำไปใช้กับเวทีระหว่างประเทศเพื่อทำให้ประเทศไทยเสียประโยชน์ว่าไทยและกัมพูชาได้เปลี่ยนมาใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียวในพื้นที่ดังกล่าวซึ่งฝ่ายไทยเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ หากประเทศไทยและกัมพูชาตกลงจัดทำหลักเขตแดนไม่ได้ชุมชุนชาวกัมพูชาก็สามารถที่จะขยายตัวและยึดครองดินแดนไทยนานมากขึ้นโดยไม่มีจำกัดระยะเวลา ในขณะที่เมื่อเกิดกรณีพิพาทหรือการละเมิดข้อตกลงประเทศไทยก็จะตกอยู่ในเงื่อนไขในข้อ 5 ในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. 2543 ที่จะต้องใช้หลักสันติวิธีและการเจรจาในการแก้ไขเท่านั้นตามข้อ 8 ซึ่งเวลาได้ผ่านมาหลายปีประเทศไทยก็ได้ใช้วิธีการประท้วงนับสิบครั้งแต่ก็ไม่สามารถยับยั้งการสร้างสิ่งปลูกสร้าง ถนน ตลาด หรือการขยายชุมชนในดินแดนประเทศไทยในบริเวณดังกล่าวได้ ข้อตกลงดังกล่าวจึงย่อมมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตและทำให้ประเทศไทยอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบในการถูกยึดครองดินแดนไทยได้โดยไม่มีจำกัดระยะเวลา
ดังนั้นเมื่อพิจารณาตามถ้อยคำ เนื้อหาสาระดังที่ปรากฏตามที่สรุปบันทึกผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วม (Joint Commission on Demarcation for Land Boundary หรือ Joint Boundary Commission : JBC) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 2 ในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชาอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ลงวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2543 ข้อกำหนดและแผนแม่บทสำหรับการสำรวจและการจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วมระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา ลงวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2546 ตามที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีลักษณะเป็นหนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทยหรือเขตอำนาจแห่งรัฐไทย กระทบต่อเขตพื้นที่ของอาณาเขตซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา หรือมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง หรือมีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ การดำเนินการดังกล่าวจึงต้องอยู่ภายใต้บังคับมาตรา 224 ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ถึงแม้ว่าข้อตกลงดังกล่าวจะใช้คำว่า “บันทึกผลการประชุม” “บันทึกความเข้าใจ” หรือ “ข้อกำหนดและแผนแม่บท” เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ใช้คำว่า “หนังสือสัญญา” ก็ตาม
บันทึกผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วม (Joint Commission on Demarcation for Land Boundary หรือ Joint Boundary Commission : JBC) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 2 ในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชาอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ลงวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2543 ข้อกำหนดและแผนแม่บทสำหรับการสำรวจและการจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วมระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา ลงวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2546 มติรัฐสภาที่เห็นชอบ “กรอบการเจรจาสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชาตลอดแนว ในกรอบของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชาตลอดแนว ในกรอบของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชาและกลไกอื่นๆภายใต้กรอบนี้” วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2551 บันทึกผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา รวม 3 ฉบับ เพื่อขอความเห็นชอบจากรัฐสภา (บันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา สมัยสามัญ วันที่ 10-12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ครั้งที่ 4 วันที่ 3 - 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 และ สมัยวิสามัญ ณ กรุงพนมเปญ วันที่ 6 – 7 เมษายน พ.ศ. 2552) และร่างข้อตกลงชั่วคราวระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยปัญหาชายแดนในพื้นที่ (ไทย-ปราสาท) (กัมพูชา- ปราสาทเปรียะวิเฮียร์) (พระวิหารในภาษาไทย) ที่จัดทำขึ้นเมื่อประมาณเดือนเมษายน พ.ศ. 2552 ที่กำลังรอขอความเห็นชอบจากรัฐสภา ได้ก่อให้เกิดความสุ่มเสี่ยงต่อประเทศไทยและไม่เป็นคุณต่อประเทศ ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้บังคับบัญชาในกระทรวงการต่างประเทศซึ่งมีฐานะเป็นนิติบุคคลมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับราชการต่างประเทศ และราชการอื่นตามที่ได้มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศหรือส่วนราชการที่สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ การนำเสนอร่างข้อผูกพันทั้งปวงต่อคณะรัฐมนตรี และสมาชิกรัฐสภา นั้น เป็นการกระทำการโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 แต่เนื่องจากการกระทำดังกล่าวได้กระทำไปโดยปกปิด บิดเบือนข้อมูล ข้อเท็จจริง ไม่แสดงสถานะของข้อผูกพันดังกล่าว ที่แท้จริงอันจะมีผลต่อกระบวนการขั้นตอนที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ทั้งไม่แสดงผลความผูกพัน ความเสียหาย อันจะเกิดแก่ประเทศไทยอย่างชัดแจ้ง โดยเจตนาไม่สุจริต จึงถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญ สร้างภาระให้เกิดแก่ประเทศชาติ แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งหมดและปวงชนชาวไทยทุกคน
การที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ) ได้แจ้งการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก วันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2543 เพื่อให้คณะรัฐมนตรีเพื่อทราบทั้งๆที่เป็นวาระที่ควรจะต้องพิจารณาเพื่อขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเพื่อไปขอความเห็นชอบจากรัฐสภา จึงเป็นการมีมติคณะรัฐมนตรีที่ไม่ตรวจสอบพิจารณาข้อมูลข้อเท็จจริงอย่างละเอียดรอบคอบ ใช้ดุลยพินิจไม่เหมาะสม ไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรี อำนาจ หน้าที่แห่งตน มิได้ยึดถือว่าตนเองเป็นรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ถือปฏิบัติในอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 โดยไม่สุจริต กระทำการขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา ไม่ส่งเสริมคุ้มครองสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารการมีส่วนร่วม ไม่รับฟังความคิดเห็นของประชาชน ส่งผลกระทบสร้างความเสียหายต่อประเทศชาติ มติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวจึงเป็นมติคณะรัฐมนตรีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อการกระทำของ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (ฝ่ายไทย) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศไม่ชอบด้วยกฎหมายมาแต่ต้น ในการจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2543 ดังนั้นการดำเนินการต่อมาตามเงื่อนไขและข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นสิ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต้องถือว่าข้อกำหนดและแผนแม่บทสำหรับการสำรวจและการจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วมระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา ลงวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2546 มติรัฐสภาที่เห็นชอบ “กรอบการเจรจาสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชาตลอดแนว ในกรอบของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชาตลอดแนว ในกรอบของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชาและกลไกอื่นๆภายใต้กรอบนี้” วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2551 บันทึกผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา รวม 3 ฉบับ เพื่อขอความเห็นชอบจากรัฐสภา (บันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา สมัยสามัญ วันที่ 10-12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ครั้งที่ 4 วันที่ 3 - 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 และ สมัยวิสามัญ ณ กรุงพนมเปญ วันที่ 6 – 7 เมษายน พ.ศ. 2552) และร่างข้อตกลงชั่วคราวระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยปัญหาชายแดนในพื้นที่ (ไทย-ปราสาท) (กัมพูชา- ปราสาทเปรียะวิเฮียร์) (พระวิหารในภาษาไทย) ที่จัดทำขึ้นเมื่อประมาณเดือนเมษายน พ.ศ. 2552 ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามไปด้วย
ดังนั้นการใช้อำนาจของ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตามพระราชบัญญัติบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ตามพระราชบัญญัติบริหารราชการแผ่นดิน โดยการรับทราบตามมติคณะรัฐมนตรีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงมีผลให้การลงนามและการอนุมัติของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ตามข้อกำหนดและแผนแม่บทสำหรับการสำรวจและการจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วมระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา ลงวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2546 มติรัฐสภาที่เห็นชอบ “กรอบการเจรจาสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชาตลอดแนว ในกรอบของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชาตลอดแนว ในกรอบของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชาและกลไกอื่นๆภายใต้กรอบนี้” วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2551 บันทึกผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา รวม 3 ฉบับ เพื่อขอความเห็นชอบจากรัฐสภา (บันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา สมัยสามัญ วันที่ 10-12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ครั้งที่ 4 วันที่ 3 - 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 และ สมัยวิสามัญ ณ กรุงพนมเปญ วันที่ 6 – 7 เมษายน พ.ศ. 2552) และร่างข้อตกลงชั่วคราวระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยปัญหาชายแดนในพื้นที่ (ไทย-ปราสาท) (กัมพูชา- ปราสาทเปรียะวิเฮียร์) (พระวิหารในภาษาไทย) ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีผลผูกพันต่อประเทศไทย
การที่นายอภิสิทธิ์ฯ กับพวกใช้อำนาจบริหารราชการในกระทรวงการต่างประเทศ เสนอเรื่องบันทึกผลการประชุมของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย – กัมพูชา (JBC) ทั้ง 3 ครั้ง เข้าสู่ที่ประชุมของสมาชิกรัฐสภาโดยเปิดให้มีการอภิปราย เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2553 ทั้งๆ ที่ทราบถึงความไม่ชอบด้วยกฎหมายและขั้นตอนดังกล่าวแล้วจากการที่ประชาชนชาวไทยได้โต้แย้งคัดค้านมาโดยตลอด ทั้งเมื่ออภิปราบเสร็จที่ประชุมได้กำหนดวาระที่จะลงมติในการประชุมสมาชิกรัฐสภาในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2553 ต่อมาสมาชิกรัฐสภาจึงมีการตั้งกรรมาธิการเพื่อศึกษาและจะนำวาระดังกล่าวและจะนำผลบันทึกการประชุมของ JBC ทั้ง 3 ฉบับมาขอความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภาประมาณวันที่ 29 มีนาคม 2554 เป็นต้นไป ซึ่งหากปล่อยให้มีการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวต่อไป ซึ่งจะก่อให้เกิดผลเสียหายต่อประเทศชาติ 4 ประการคือ
1. หากรัฐสภาไทยลงมติให้ความเห็นชอบกับบันทึกผลการประชุม JBC ทั้ง 3 ฉบับ ย่อมเท่ากับเป็นการสละผลงานการปักปันระหว่างสยาม-ฝรั่งเศส ซึ่งได้ทำเสร็จสิ้นเมื่อ 103 ปีที่แล้ว ว่าให้ใช้ขอบหน้าผาเป็นสันปันน้ำและเป็นเส้นเขตแดนตามธรรมชาติสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าโดยไม่ต้องทำหลักเขตแดนใดๆ ทั้งสิ้นในบริเวณเขาพระวิหาร ซึ่งอยู่บริเวณทิวเขาดงรักให้กลายเป็นว่าต้องมาตกลงกันใหม่ระหว่างไทย-กัมพูชาและจัดทำหลักเขตแดนกันใหม่ ซึ่งทำให้นานาชาติเข้าใจผิดว่าไทยกำลังทำหลักเขตแดนตามแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งปรากฎข้อความอยู่ใน บันทึกความเข้าใจฯ 2543 หรือ MOU 2543
2. ปรากฏคำปราศรัยของวาร์ คิม ฮง ประธาน JBC ของกัมพูชากล่าวร้ายประเทศไทยว่าเป็นฝ่ายรุกรานกัมพูชาตามแผนที่มาตราส่วน1:200,000 โดยที่ฝ่ายไทยไม่ได้โต้แย้งใดๆ หากรัฐสภาไทยให้ความเห็นชอบก็จะทำให้กัมพูชานำไปอ้างได้ว่ารัฐสภาไทยยอมรับคำปราศรัยดังกล่าว โดยไม่โต้แย้งและนิ่งเฉย
3. ปรากฏร่างข้อตกลงชั่วคราวระหว่างไทย-กัมพูชา ในการยืนยันที่ไทย-กัมพูชาจะปฏิบัติตาม บันทึกความเข้าใจฯ 2543 หรือ MOU 2543 และ แผนแม่บทและข้อกำหนด พ.ศ.2546 ( TOR 2546 ) ซึ่งสร้างความเสียหายและไม่เป็นคุณต่อประเทศไทยตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้นหากรัฐสภาไทยให้ความเห็นชอบบันทึกผลการประชุม JBC ทั้ง 3 ฉบับ
4.ปรากฏในร่างข้อตกลงชั่วคราวระหว่างไทย-กัมพูชา ว่าให้ทหารไทยและทหารกัมพูชาถอนออกจากวัดแก้วสิขาคีรีสะวารา ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นดินแดนประเทศไทย หากรัฐสภาไทยให้ความเห็นชอบบันทึกผลการประชุม JBC ทั้ง 3 ฉบับ ทหารไทยจะต้องถอนออกจากดินแดนไทยบริเวณดังกล่าว ซึ่งจะเป็นผลทำให้กัมพูชาสามารถนำพื้นที่ของไทยดังกล่าวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของแผนบริหารจัดการมรดกโลกเป็นของกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว
5. ได้ปรากฏข้อมูลว่าบันทึกผลการประชุม JBC ทั้ง 3 ฉบับยังดำเนินการไม่ถูกต้องก่อนที่จะมีการนำเสนอเพื่อขอความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภา เช่น ยังไม่มีการลงนามจากคณะกรรมการสำรวจฝ่ายไทย ยังไม่มีการผ่านความเห็นชอบจากกรมแผนที่ทหารบริเวณหลักเขตที่ 23 ถึง 51 หากรัฐสภาไทยให้ความเห็นชอบก็จะถือว่าเป็นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบและผิดขั้นตอน
6.ได้ปรากฏรายงานของคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อศึกษาเกี่ยวกับกรณีปัญหาเขาพระวิหาร สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพบว่า การให้ข้อมูลและรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่กระทรวงการต่างประเทศได้จัดขึ้นนั้น พบว่าเป็นการให้ข้อมูลจากมุมมองด้านเดียว ไม่มีการให้ข้อมูลของฝ่ายที่เห็นแย้ง และการจัดในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2551 ไม่มีการแจ้งให้ประชาชนผู้เข้าร่วมทราบอย่างชัดเจนว่าเป็นการดำเนินการตามมาตรา 190 วรรค 3 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 อีกทั้งการจัดวันที่ 11 สิงหาคม 2552 มีประชาชนและนักวิชาการจำนวนมากได้แสดงความเห็นคัดค้านเกี่ยวกับการเจรจาข้อตกลงชั่วคราวไทย-กัมพูชา แต่ภายหลังพบว่ากระทรวงการต่างประเทศได้ยกเลิกการจัดงานในวันดังกล่าวไป ซึ่งเหตุการณ์นี้ยังปรากฏอีกในทำนองเดียวกันที่จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อปี พ.ศ. 2553 นอกจากนี้การจัดอีกหลายครั้งยังจัดในจังหวัดที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขตแดนระหว่างไทย – กัมพูชา เช่น จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และจังหวัดเชียงใหม่เป็นต้น ซึ่งหากรัฐสภาไทยให้ความเห็นชอบก็จะก่อให้เกิดการรับรองในขั้นตอนที่ไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 190 วรรค 3 เช่นกัน รายละเอียดปรากฏตามรายงานเรื่องเขาพระวิหารและทางออกสิ่งที่ส่งมาด้วยอันดับ 12
นอกจากนี้บันทึกผลการประชุม JBC ทั้ง 3 ฉบับ ถือเป็นการแสดงเจตนายืนยันอย่างชัดแจ้งถึงการยอมรับในแผนที่กำหนดแนวเขตตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตทางบกระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา ลงวันที่ 14 มิถุนายน 2543 (MOU43) อันจะส่งผลให้เป็นสนธิสัญญาที่มีผลบังคับระหว่างทั้งสองฝ่าย เป็นการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตอย่างชัดเจน และกระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งสิทธิเสรีภาพของข้าฯกับพวกและปวงชนชาวไทยทุกคนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย อย่างร้ายแรงจนไม่อาจแก้ไขเยียวยาในภายหลังได้
โดยประการสำคัญกรณีการเกิดปัญหา การพิสูจน์ทราบเขตแดนโดยคู่กรณียึดถือ พยานหลักฐานต่างกันระหว่างสันปันน้ำกับแผนที่ที่จัดทำขึ้น ตามมาตราส่วน 1:200,000 โดยมีปัญหาสันปันน้ำในภูมิประเทศจริง ไม่สอดคล้องกับแผนที่กระทรวงการต่างประเทศเคยมีความเห็นให้ยึดถือแผนที่และอ้างอิงเทียบเคียงคดี ของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีปราสาทพระวิหารกรณีเช่นนี้ หากให้มีการดำเนินการอันมีผลให้ บันทึกความเข้าใจฯ 2543 หรือ MOU 2543 มีผลบังคับใช้ย่อมเป็นไปได้อย่างชัดแจ้ง ว่ากระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินการในลักษณะที่ยอมรับแผนที่ อันมีผลทำให้ประเทศไทยต้องเสียดินแดน
อาศัยเหตุผลตามที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้อย่างชัดแจ้งถึงการร่วมกันกระทำการของนายอภิสิทธิ์ฯ กับพวกที่เจตนากระทำความผิดโดยไม่ยึดถือปฏิบัติตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 และบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มีผลเสียหายต่ออาณาเขตดินแดนของประเทศไทย กระทบกระเทือนต่อพระราชอำนาจขององค์พระมหากษัตริย์และกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทยทุกคน โดยข้าฯ กับพวกมีเจตนาที่จะปกป้องอาณาเขตดินแดน อำนาจอธิปไตยของประเทศไทย ปกป้องพระราชอำนาจขององค์พระมหากษัตริย์ เป็นไปเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะของปวงชนชาวไทยทุกคน
จึงเรียนมาเพื่อขอให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
ดำเนินการสืบสวนและสอบสวนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีกับพวกในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรืองดเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 119,120 ,157 กรณีนำบันทึกความเข้าใจว่าการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ.2543 (MOU2543) มาใช้ทั้งที่ บันทึกความเข้าใจฯ2543 หรือ MOU2543 ฉบับนี้ขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 224 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 เมื่อทราบแล้วไม่ดำเนินการยกเลิก บันทึกความเข้าใจฯ2543 หรือ MOU2543 ไม่ถอนตัวจากภาคีอนุสัญญามรดกโลก ไม่ผลักดันกองกำลังทหารของกัมพูชาและประชาชนชาวกัมพูชาออกไปจากบริเวณพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหารอันเป็นการทำให้ประเทศชาติต้องสูญเสียอธิปไตยและเสียดินแดนรอบปราสาทพระวิหารและพื้นที่อื่นๆ ตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา
เนื่องจากบันทึกความเข้าใจฯ2543 หรือ MOU2543 นี้ได้กระทำขึ้นโดยมิได้มีความเห็นชอบจากรัฐสภา จึงมีลักษณะเป็นสัญญาอื่นๆ อันรัฐบาลไทยได้กระทำขึ้นกับรัฐบาลกัมพูชาและมิได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาตามมาตรา 224 ดังนั้นในคำร้องนี้หากบันทึกความเข้าใจฯ2543 หรือ MOU2543 จะได้วินิจฉัยเป็นประการใด ผู้ร้องใคร่ขอให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติได้โปรดส่งกรณีบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. 2543 (MOU2543) ว่าขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 224 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 หรือไม่ไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นนี้เสียก่อนเมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยแล้วได้ผลเป็นประการใด ก็ขอได้โปรดให้คณะกรรมการ ปปช.วินิจฉัยในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ปปช.ต่อไป
ขอแสดงความนับถือ
(นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์)
ผู้ร้อง