xs
xsm
sm
md
lg

ปรองดองสูตร “มาร์ค” ซูฮกเสื้อแดงขย่มเหลือง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

ในขณะที่รัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชชีวะ” พยายามชูธงปรองดองเดินหน้าสมานฉันท์กับทางซีก “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ” (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง แต่อีกด้านกลับเดินหน้าเล่นงาน “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” หรือกลุ่มคนเสื้อเหลือง อย่างไม่หยุดไม่หย่อนและไร้ความชอบธรรม

เห็นได้จากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา “พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี” ผบ.ตร.มีความเห็นสั่งฟ้องคดีบุกยึดท่าอากาศยานดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ซึ่งเหตุเกิดปี 2551 หรือเมื่อครั้งการชุมนุม 193 วันขับไล่ “นอมินี” ของ “ระบอบทักษิณ” นั่นเอง

โดยสั่งฟ้องข้อหา “ก่อการร้าย” รวม 15 คน และสั่งฟ้องข้อหากระทำผิดตาม พ.ร.บ.การบินฯ อีก 104 คน รวมเบ็ดเสร็จมีผู้ที่ถูกฟ้องร้องรอบนี้ 114 คน

เพราะมีบางคนโดน “สองเด้ง” ซึ่งในข้อหา “ก่อการร้าย” นั้น จากเดิมพนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้องทั้งสิ้น 25 คน แต่ ผบ.ตร.กลับเห็นควรสั่งฟ้องข้อหานี้แก่ผู้ต้องหาเพียง 15 คน

ระดับแกนนำโดนกันถ้วนหน้าไม่เว้นตั้งแต่ “พล.ต.จำลอง ศรีเมือง-สนธิ ลิ้มทองกุล-พิภพ ธงไชย-สมศักดิ์ โกศัยสุข-สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์-สุริยะใส กตะศิลา” เป็นต้น

ขณะที่ผู้ต้องหาที่ถูกสั่งฟ้องบางคนอยู่ต่างประเทศในขณะที่เกิดเหตุการณ์ หรือคุณยายคนหนึ่งเคาะฝาหม้ออยู่หน้าเวทีก็โดยหางเลขไปด้วย พูดง่ายๆ คือ เล่นงานตั้งแต่ลูกเล็กเด็กแดงหญิงแก่คนชรา จนไปถึงแกนนำ สะท้อนถึงเจตนากลั่นแกล้งชัดเจน

ส่วนคนที่หลุดคดีก่อการร้ายไปอย่างน่าสนใจ ได้แก่ “กษิต ภิรมย์” และมาโดนคดีทำความผิด พ.ร.บ.การบินฯ ซึ่งแม้มีโทษสูงไม่ต่างกัน แต่อย่างน้อยก็สละสถานะผู้ก่อการร้ายของ รมว.ต่างประเทศไปได้ในที่สุด ท่ามกลางเสียงร่ำลือสะพัดวงการว่าเป็น “ใบสั่ง” จากฝ่ายการเมืองมาที่ พล.ต.อ.วิเชียร เพื่อยกเว้นไม่ฟ้องกษิตในข้อหานี้ เพราะแปดเปื้อนภาพลักษณ์ของรัฐบาลมานาน

น่าสนใจที่ว่า การตัดสินใจของฝ่ายสอบสวนในครั้งนี้มีตื้นลึกหนาบางอย่างไร เพราะหากพิจารณาจากข้อเท็จจริงนั้นมีข้อมูลที่ประจักษ์ชัดว่าการย้ายสถานที่จากทำเนียบรัฐบาลไปยังสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองนั้น มีเจตนาที่บริสุทธิ์ในการชุมนุมกดดันรัฐบาลในขณะนั้น มิได้ต้องการทำให้กระทบต่อการประกอบการใดของสายการบิน และท่าอากาศยาน

มีเพียงการยึดพื้นที่ทางรถวิ่งจอดรับ-ส่งผู้โดยสารด้านนอกเท่านั้น ไม่ได้มุ่งเข้าไปยึดหรือเกี่ยวข้องภายในตัวอาคารสนามบินแต่อย่างใดเลย และตลอดคืนวันแรกที่ปักหลักอยู่จนกระทั่งถึงเวลา 10 โมงของวันรุ่งขึ้น ก็ยังปรากฏว่าเครื่องบินเที่ยวบินต่างๆ ยังคงสามารถขึ้นลงได้ตามปกติ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ “เสรีรัตน์ ประสุตานนท์” ผอ.การท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ยอมรับภายหลังจากเหตุการณ์ว่า ได้เป็นผู้ตัดสินใจประกาศปิดให้บริการสนามบินสุวรรณภูมิ ในส่วนขาออกระหว่างประเทศเป็นการชั่วคราวด้วยตัวเอง

ก็ยิ่งทำให้ชัดเจนว่าการชุมนุมของพันธมิตรฯ ไม่ได้มีผลกระทบแต่อย่างใด หากแต่เป็นการตัดสินใจของเจ้าของพื้นที่เอง

ทั้งยังเป็นที่รับรู้กันอีกว่า ตลอด 193 วันของการชุมนุมในครั้งนั้น เวทีพันธมิตรฯปราศจากอาวุธ ไม่นิยมความรุนแรง แต่กลับถูกไล่ล่าทำร้ายอย่างต่อเนื่องจากอาวุธสงครามหรือเอ็ม 79 ที่จ้องปั่นป่วนการชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการย้ายที่ชุมนุมไปยังสนามบิน อีกทางหนึ่งก็เพื่อหนีเอาตัวรอดป้องกันตัวเอง เพื่อไปอยู่ในสถานที่ปลอดภัย มิได้มีการเจตนายึดพื้นที่สนามบินแต่อย่างใด

ข้อเท็จจริงต่างๆเหล่านี้ “อภิสิทธิ์”ก็รู้ดี และก็รู้ด้วยว่าเป็นการกลั่นแกล้ง เพราะขั้นตอนการ “ตั้งธง” เล่นงานพันธมิตรฯเริ่มมาตั้งแต่รัฐบาล “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” ซึ่งชัดเจนว่าต้องการปิดบัญชีล้างแค้น ฐานเป็นผู้ขับไล่ “ทักษิณ ชินวัตร” และรัฐบาล “สมัคร สุนทรเวช” เรียกว่าจงใจยัดข้อหาก็ไม่ผิดนัก โดยฝีมือของตำรวจในระบอบทักษิณ หรือ “ตำรวจมะเขือเทศ” นั่นเอง

ที่คดีเนิ่นนานมา 2 ปีกว่านั้น เหตุก็เพราะตำรวจไม่มั่นใจในหลักฐาน เกรงว่าจะ “หน้าแหก” หากศาลไม่รับฟ้อง จนมีความพยายามไม่ส่งฟ้องพันธมิตรฯ ทำให้ต้องเปลี่ยนพนักงานสอบสวนมาแล้วหลายชุด จุดนี้อภิสิทธิ์ก็รู้ดี แต่กลับปล่อยให้กระบวนการเลยเถิดมาถึงขั้นนี้

หวังเพื่อใช้เป็นเครื่องมือ “ขย่ม” พันธมิตรฯ ให้อยู่หมัด และต่อรองยุติการชุมนุมปกป้องดินแดนที่ดำเนินอยู่ในตอนนี้

จึงมีคำถามตามมาทันทีว่าเช่นนี้หรือ คือ “แนวทางปรองดอง” ในความหมายของรัฐบาลประชาธิปัตย์ เพราะขณะที่จ้องเล่นงานพันธมิตรฯทั้งเรื่องคดีความ และการสลายการชุมนุมที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ แต่อีกด้านกลับพยายามให้การช่วยเหลือกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู ทั้งการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม โดยออกเป็นมติคณะรัฐมนตรีเสนอให้ศาลอนุญาตให้การประกันตัวแกนนำและแนวร่วมคนเสื้อแดง

และเปิดทางให้คนในบังคับบัญชาไปร่วมวงเป็นพยานให้กับแกนนำและแนวร่วม นปช.ชุดแรก ทั้ง “พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์” รองนายกฯ “พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ” ผบก.น.1 “โสภณ ธิติธรรมพฤกษ์” ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพ รวมไปถึง “คณิต ณ นคร” ประธาน คอป.

ไม่เว้นแม้แต่คนใกล้ตัวนายกฯ “กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ” ที่ไปการันตีความดีงามของ “ วีระ มุสิกพงศ์” มาก่อนหน้านี้

ส่งผลให้บรรดาแกนนำที่ถูกหมายจับเป็นผู้ก่อการร้าย แล้วหนีหัวซุกหัวซุนพากันทยอยเข้ามอบตัว หลังหลบหนีกันไปเป็นแรมปีพร้อมได้รับการประกันตัวในทันที แถมตำรวจระบุว่า บุคคลเหล่านั้นไม่มีพฤติกรรมหลบหนี ทำให้สังคมพลางสงสัยแล้วที่หายหัวกันไป 9 เดือนนั้นเรียกว่าอะไร

และเมื่อคนเหล่านี้เป็นไทก็มีพฤติกรรมสนองบุญคุณรัฐบาล นัดหมายเคลื่อนไหวปั่นป่วนบ้านเมืองรายสัปดาห์ในทันที และมีทีท่าจะยกระดับขึ้นเรื่อยๆ จึงเกิดคำถามอีกว่า “ผู้ก่อการร้าย” และ “ผู้ก่อการดี” ในความหมายของรัฐบาลประชาธิปัตย์คืออะไรกันแน่

เพราะเห็นได้ชัดว่า “แนวทางปรองดอง” นั้นไม่ครอบคลุมทั้งสองฝ่าย กลายเป็นสองมาตรฐาน ที่ “เข้าทาง” คนเสื้อแดง แต่ “ผลักใส” คนเสื้อเหลือง ทั้งที่ในอดีตอภิสิทธิ์และประชาธิปัตย์เคยใช้พลังมวลชนพันธมิตรฯ เป็น “บันได” เปิดทางไปครองอำนาจฝ่ายบริหารอยู่จนทุกวันนี้

เมื่อหมดประโยชน์แล้วกลายมาเป็น “เสื้ยนหนาม” ของรัฐบาลประชาธิปัตย์ ทั้งๆที่เป็นการใช้สิทธตามรัฐธรรมนูญเปิดโปงความล้มเหลวในการบริหารบ้านเมือง อภิสิทธิ์จึงหาทางกำจัดทิ้งให้สิ้นซาก

จึงต้องขนานนามว่าเป็นแนวทางปรองดองฉบับ “ซูฮกแดง ขย่มเหลือง”

ซึ่งไม่ใช่แนวทางขจัดปัญหาของบ้านเมืองอย่างแน่นอน เพราะหากต้องการให้เกิดความปรองดองขึ้นจริง ต้องให้ความเป็นธรรมกับพันธมิตรฯเฉกเช่นเดียวกับที่ให้ความช่วยเหลือ นปช. มิใช่ทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับประชาชนผู้รักชาติรักแผ่นดิน ที่ออกมาเรียกร้องความถูกต้อง

ราคาของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ในวันนี้จึงไม่ต่างจากนักการเมืองไทยทั่วไป ที่เมื่อเสพย์ติดอำนาจจนหน้ามืด ก็หลงลืมสำนึกแห่งความถูกต้องชอบธรรมไปในที่สุด
กำลังโหลดความคิดเห็น