นายกฯกลืนไม่เข้าคายไม่ออก โบ้ยเป็นดุลพินิจของศาล หลังสั่งปล่อยชั่วคราว 7 แกนนำ นปช.อ้างไม่กล้าประเมิน นปช.นัดชุมนุมใหญ่ 12 มี.ค.นี้ ทำมึนเกมปรองดอง แต่เชื่อกระบวนการเลือกตั้งจะเดินหน้าต่อไปได้ ย้ำ ขยาย พ.ร.บ.มั่นคง ไม่ใช่ยาแรง แต่หวังดูแลประชาชนโดยรวม-เน้นการป้องกันเหตุเป็นหลัก
วันนี้ (22 ก.พ.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ศาลอาญาได้มีคำสั่งให้ปล่อยตัวชั่วคราวแกนนำ นปช.7 คน ว่า เป็นดุลพินิจของศาล และศาลก็คงดูแล้ว และเข้าใจว่า คงมีเงื่อนไขอยู่ในเรื่องของการที่บุคคลเหล่านี้ ต้องไม่มาทำอะไรที่ทำให้เกิดปัญหา เกิดการยั่วยุอีก ซึ่งก่อนหน้านี้ นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำเสื้อแดง ที่ได้รับการประกันตัวออกมา ซึ่งก็เป็นการดำเนินการ ซึ่งหลักจริงๆ ของคณะกรรมการของ นายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ซึ่งรัฐบาลได้ตั้งขึ้น และท่านก็มีความเห็น แล้วเสนอต่อศาล แต่ก็เป็นดุลพินิจของศาล ในส่วนของหน่วยงานรัฐ เราได้ใช้มาตรฐานเดิม คือ การค้านหรือไม่ค้าน
เมื่อถามว่า แต่ภาพที่ออกมาว่า หลังจากที่มีการนำคนไปชุมนุมหน้าศาลอาญา จึงทำให้มีการปล่อยตัวออกมา เลยทำให้มีการปล่อยตัวออกมา ซึ่งอาจจะส่งผลต่อกระบวนการยุติธรรม เป็นระยะยาว หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ศาลคงต้องเป็นผู้ชี้แจงรายละเอียด เพราะเป็นดุลพินิจของศาล เมื่อถามต่อว่า การค้านหรือไม่ค้านนั้น เรายึดหลักอะไร นายกฯ กล่าวว่า มันจบไปแล้วตอนนี้ จบไปแล้ว แต่ว่าส่วนใหญ่เราก็ใช้ข้อมูลเดิมที่เรามีอยู่
เมื่อถามว่า เรื่องนี้เป็นเงื่อนไขในข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดงในการนัดชุมนุมมาโดยตลอด เมื่อทางแกนนำได้รับการปล่อยมาแล้ว นายกฯ หวังหรือไม่ ว่า จะมีการยกเลิกการชุมนุมใหญ่ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 12 มีนาคม นี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนคงไม่กล้าไปพูดทางหนึ่งทางใดเกี่ยวกับการตัดสินใจของเขา แต่ว่าอยากจะย้ำอีกครั้ง ว่า เวลานี้เราน่าจะพยายามที่จะคลี่คลายสถานการณ์เพื่อเดินไปสู่การเลือกตั้ง ซึ่งค่อนข้างที่จะชัดเจนขึ้นว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอีกไม่ไกลแล้ว ฉะนั้น ถ้าหากเราทำให้ระบบการเมืองกลับไปสู่จุดนั้นได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดี
เมื่อถามว่า ทาง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นห่วงอะไรหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตนได้สอบถามความคืบหน้างานทางด้านต่างๆ ซึ่งก็มีความคืบหน้าไป เมื่อถามว่า ได้มีการพูดคุยกันในเรื่องการปล่อยตัวแกนนำเสื้อแดง หรือไม่ นายกฯ ไม่มีหรอกครับ ซึ่งท่านถือว่าได้ทำหน้าที่ของท่านแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะจัดการอย่างไรกับม็อบประชาชนไทยหัวใจรักชาติและพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่ชุมนุมอยู่บริเวณข้างทำเนียบ เนื่องจากมีการต่ออายุ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ในพื้นที่กรุงเทพฯ 7 เขตออกไปอีก 30 วัน จนถึงวันที่ 25 มี.ค.54 นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลมีหน้าที่ในการดูแลความสงบเรียบร้อย เราก็ออก พ.ร.บ.ความมั่นคง หรือประกาศออกมาเห็นได้ชัดว่าไม่ได้เจตนาที่จะไปทำร้ายใคร แต่ต้องการที่จะดูแลคนส่วนใหญ่ ที่ผ่านมา ทางตำรวจก็ทำหน้าที่ในการดูแลให้การทำงานที่รัฐสภาและทำเนียบ ดำเนินการไปได้ ก็มีความพยายามอย่างต่อเนื่องว่าจะทำอย่างไรที่จะให้พื้นที่บางส่วนคืนมา สำหรับประชาชนทั่วไป ทั้งนี้ ก็ดำเนินการไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
เมื่อถามว่า ถ้าการชุมนุมยังไม่ยุติ แสดงว่า ต้องมีการต่อ พ.ร.บ.ความมั่นคง กันไปจนหมดอายุของรัฐบาล นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พยายามที่จะค่อยๆ คลี่คลายสถานการณ์ไป ทางเจ้าหน้าที่ก็ชี้แจงชัดเจนว่า เป้าหมายสุดท้าย คือ การให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย ถ้าบางเรื่องเราไปเอาเป้าหมายเฉพาะหน้ามา แล้วบอกว่าทำไปแล้วมันสำเร็จแต่บ้านเมืองไม่ได้สงบเรียบร้อย แต่กลับเกิดความวุ่นวายมากขึ้น มันก็ไม่ตรงตามเจตนารมณ์ อย่างไรก็ตาม ไม่ได้ความว่าดูดาย ซึ่งวันนี้รัฐมนตรีบางท่านก็มีการซักถามกันค่อนข้างมากว่าการทำงานจะเห็น ความคืบหน้าในการกลับเข้าสู่ความเป็นปกติได้เร็วขึ้นไหม ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ก็รับและจะพยายามไปทำ
เมื่อถามต่อว่า การยกระดับการใช้การประกาศใช้พื้นที่ความมั่นคงตามกฎหมาย เหมือนกับว่าเป็นยาแรง แต่ว่าทำไปแล้ว การบังคับใช้นั้นมันยังไม่ได้ผล นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มันก็คงไปบอกว่าเป็นยาแรงมากไม่ได้ เพราะตัวกฎหมายจริงนั้นเป็นลักษณะของการป้องกัน ที่เราเคยทราบมาโดยตลอด ซึ่งมันก็มีผลบางส่วน บางทีส่วนที่มันได้ผลนั้นเราอาจไม่เห็น แต่ก็ช่วยไม่ให้มันปัญหาลุกลามไป
เมื่อถามว่า แต่ภาพที่เกิดขึ้นนั้น จะกลายเป็นว่าผู้ที่มาชุมนุมจะไม่กลัวการประกาศพื้นที่ความมั่นคง และไม่กลัว พ.ร.บ.ความมั่นคง แล้ว นายกฯ กล่าวว่า เวลานี้ก็มีการดำเนินการตามกฎหมายอยู่ อย่างวันนี้ก็มีการดำเนินการออกหมายเรียกอะไรต่างๆ ซึ่งตนไม่อยากเห็นใครมาชุมนุม เราก็พยายามหาความพอดี มีคนเขามาชุมนุม อยากจะใช้สิทธิของเขา ตนก็พยายามว่าทำยังไงว่าการใช้สิทธิของเขาจะไม่กระทบสิทธิของคนอื่นมากเกิน ไป ตนเองไม่ติดใจว่าเขาจะไม่ชุมนุมหรือไม่ชุมนุม ถ้าเขาอยากจะชุมนุม เพียงแต่ว่าถนนสองช่องจราจรมันน่าจะให้คืนกับประชาชนได้เท่านั้นเอง เพียงแต่แปลกใจว่าทำไมเท่านี้ไม่สามารถที่จะคืนให้ได้ เมื่อถามว่า จะมีมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้น หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ต้องเป็นดุลพินิจของคนทำงาน อยากที่ตนย้ำไปว่า ถ้าเราไปบอกว่าต้องทำอย่างนี้ ปรากฏว่า ทำแล้วแทนที่บ้านเมืองสงบ แต่บ้านเมืองกลับวุ่นวายมากขึ้น เจ้าหน้าที่ก็ต้องใช้ดุลพินิจตรงนี้