xs
xsm
sm
md
lg

“เทพไท” เชื่อ “เหลิม” ประกาศวางมือการเมือง แค่เกมวัดกำลังภายใน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เทพไท เสนพงศ์
โฆษกมาร์ค ชี้ “เป็ดเหลิม” ประกาศวางมือทางการเมือง แค่เกมวัดกำลังภายใน หลังนายใหญ่หันหลังหนุน “เจ๊มิ่ง” ขึ้นชิงเก้าอี้นายกฯ สอพลอ “ยิ่งลักษณ์” หวังปอกลอกตังค์ในกระเป๋า คิดเทียบ “มาร์ค” คนละชั้น เย้ย นปช.จัดเวทีให้ “แม้ว” โฟนอินระบายอารมณ์หลังแผนซักฟอกเหลว ดักคอ “ปุระชัย” อย่าคิดขโมยปลาบ่ออื่นไปขายป็นทางเลือกใหม่ให้สังคม

วันนี้ (20 มี.ค.) นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี ร.ต.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.เพื่อไทย ประกาศวางมือจากการเมืองถ้าหากนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยว่า เป็นการต่อรองวัดกำลังภายในพรรคเพื่อไทย เพื่อแย่งชิงความใกล้ชิดกับนายใหญ่ ซึ่งยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงได้ การที่ ร.ต.อ.เฉลิมประกาศจะเลิกล่นการเมืองเป็นเกมกดดันนายใหญ่มากกว่าที่ได้ให้ความสำคัญต่อนายมิ่งขวัญ ร.ต.อ.เฉลิมเลยหยิบชื่อของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นมาเป็นคู่แข่งภายในพรรค หลังจากตัวเองพ่ายแพ้นายมิ่งขวัญไปแล้ว อย่างไรก็ตาม การที่นายใหญ่ให้มาทำหน้าที่เป็นผู้นำการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็ได้แสดงวุฒิภาวะในฐานะแคนดิเดตนายกฯ ให้คนทั้งประเทศได้เห็นว่ามีความสามารถมากน้อยเพียงใด พรรคเพื่อไทยไม่ควรที่จะเปลี่ยนไปมาในเรื่องของหัวหน้าพรรค ซึ่งที่ผ่านมาการคิดเปลี่ยนหัวหน้าพรรค โดยจะให้ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีต รมว.มหาดไทยเข้ารับตำแหน่งก็ไม่ประสบความสำเร็จ

“ถ้าครั้งนี้มีการเปลี่ยนแปลงนายมิ่งขวัญอีก พรรคเพื่อไทยก็เหมือนไม้หลักปักขี้เลน เอาความแน่นอนไม่ได้ การหยิบยกชื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรค น่าจะเป็นเรื่องของขบวนการประจบสอพอของคนที่ผิดหวังและไม่ได้อยู่ในกลุ่มของนายมิ่งขวัญ โดยตั้งความหวังล้มๆ แล้งๆ คิดว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นมือใหม่หัดขับ หวังที่จะปอกลอกได้เต็มที่ แต่ก็เชื่อว่าเมื่อนายมิ่งขวัญยอมเปลืองตัวเป็นผู้นำอภิปรายและประกาศท้าแข่งกับนายอภสิทธิ์ในตำแหน่งนายกฯ กลางสภามาแล้วก็ไม่ควรที่จะยอมแพ้ต่อขบวนการขัดขวางตัวเอง และ ส.ส.ในกลุ่มของนายมิ่งขวัญก็คงจะออกมาต่อสู้ให้กับหัวหน้ากลุ่มของตัวเองให้คุ้มค่ากับเงินพิเศษรายเดือนที่นายมิ่งขวัญได้จ่ายให้มาแล้วทุกเดือน และอย่าให้สังคมต้องนินทาว่าเลี้ยง ส.ส.พวกนี้ไว้เปลืองข้าวสุกเปล่าๆ”

ส่วนที่ ร.ต.อ.เฉลิม ยก น.ส.ยิ่งลักษณ์ขึ้นมาเปรียบเทียบกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่า 1.เป็นนักเรียนนอกเหมือนกัน แต่ไม่ได้หมายความว่านักเรียนนอกจะเป็นคนเก่งทุกคน 2.น.ส.ยิ่งลักษณ์ประสบความสำเร็จในการบริหารธุรกิจ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะบริหารประเทศให้สำเร็จได้ นักธุรกิจการเมืองบางคนก็ทำให้ประเทศพังทลายมาแล้วอย่างที่เห็นอยู่ 3.บอกว่านายมิ่งขวัญเป็นผู้นำไม่ได้เพราะไม่เก่งเศรษฐกิจ เก่งแต่การตลาดนั้น ข้อเท็จจริงผู้นำประเทศจบทางด้านไหนก็ได้ ขอให้เป็นคนเก่ง คนดี มีความซื่อสัตย์สุจริต 4.บอกว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์มีเงินทุนไม่จำกัดจำนวน แสดงให้เห็นว่าคนในพรรคเพื่อไทยหวังเอาเงินมาเป็นทุนทำการเมืองเป็นหลัก และมีความเชื่อว่าถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นหัวหน้าพรรค พ.ต.ท.ทักษิณจะทุ่มเทให้มากกว่านายมิ่งขวัญ ดังนั้น ไม่ว่าใครก็ตามที่พรคคเพื่อไทยเห็นว่าเหมาะสมก็ควรจะเปิดตัวมาแต่เนิ่นๆ ประชาชนจะได้ตรวจสอบและพิจารณาว่ามีวิสัยทัศน์ในการบริหารประเทศอย่างไร

ส่วนการประกาศวางมือจากการเมืองของ ร.ต.อ.เฉลิม ถ้าเป็นเรื่องจริงก็เป็นที่น่าเสียดาย เพราะเป็นนักการเมืองที่สามารถสร้างสีสันให้แก่วงการการเมืองได้ แต่ถ้าเป็นเกมการเมืองหวังการต่อรอง เรียกร้องความสนใจจากนายใหญ่ก็เป็นเรื่องที่สังคมจะต้องพิจารณา เพราะก่อนหน้านี้ ร.ต.อ.เฉลิมเคยประกาศตั้งพรรคการเมืองกับนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ มาแล้ว แต่เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณโทรศัพท์มาให้ความสำคัญก็ล้มเลิกแนวความคิด และกลับมาเข้าร่วมการอภิปรายไม่ไว้วางใจอีกครั้ง

นายเทพไทยังกล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอินมายังเวที นปช.ว่า เป็นการจัดเวทีของแกนนำเพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษณระบายอารมณ์ หลังจากได้โฟนอินมากำกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วยตนเองแล้วไม่ประสบความเร็จ ก็มาใช้เวทีคนเสื้อแดงอภิปรายไม่ไว้วางใจโจมตีรัฐบาลนอกสภา กล่าวหาว่ารัฐบาลชุดนี้ทุจริต แต่ถ้าเทียบกับรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณที่มีการทุจริตจนจับได้ไล่ทันนำคดีขึ้นสู่ศาล ศาลตัดสินจำคุกไปหลายคน ขณะที่รัฐบาลชุดนี้ยังไม่เห็นมีใครถูก ป.ป.ช.ชี้มูล หรือศาลตัดสินให้จำคุกแม้แต่คนเดียว การพูดถึงการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง พ.ต.ท.ทักษิณยังพยายามใส่ร้ายทหาร ว่าเป็นคนใช้ความรุนแรง ทั้งที่ต้นเหตุของความรุนแรงเกิดจาก พ.ต.ท.ทักษิณโฟนอินมาปลุกระดมทั้งสิ้น ส่วนที่บอกว่าสังคมวุ่นวายในขณะนี้เพราะไปรังแกคนคนเดียวคือตัวเองนั้น ในทางตรงกันข้าม พ.ต.ท.ทักษิณต่างหากที่เป็นตัวกลางสร้างความวุ่นวายไม่ยอมรับกติกาของบ้านเมือง โกงการเลือกตั้ง ถูกยุบพรรคก็มากล่าวหาว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่ยุติธรรม ใส่ร้าย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และทหารว่าไปบีบพรรคร่วมมาจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ซึ่งไม่เป็นความจริงใดๆทั้งสิ้น

ส่วนที่ พ.ต.ท.ทักษิณบอกว่าตัวเองไม่เชื่อว่าจะมีการยุบสภาตามที่นายกฯ ประกาศ ซึ่งหากว่ามีการยุบสภาตามที่ประกาศได้จริง พ.ต.ท.ทักษิณจะแสดงความรับผิดชอบอย่างไร จะให้พรรคเพื่อไทยลงสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่ หากพรรคเพื่อไทยไม่มีความพร้อมที่จะลงสู่สนามเลือกตั้งก็ให้เปิดเผยออกมา ไม่ควรที่จะอ้างเหตุผลต่างๆ นานา และยื้อเวลาเรียกร้องให้รัฐบาลอยู่ครบเทอม ทั้งที่ก่อนหน้านี้กดดันให้รัฐบาลยุบสภาวันละสามเวลา ทำไมวันนี้กลับเปลี่ยนใจสนับสนุนให้รัฐบาลอยู่ครบเทอม

นายเทพไทแสดงความเห็นกรณีที่มีกระแสข่าวว่า ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ประกาศตั้งพรรคการเมือง ชื่อว่า “พรรคประชาสันติ” โดยหวังให้เป็นทางเลือกใหม่กับประชาชนว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สังคมจะได้มีตัวเลือกทางการเมืองเพิ่มขึ้น ร.ต.อ.ปุระชัยก็เป็นคนที่มีชื่อเสียง และสังคมยอมรับคนหนึ่ง แต่องค์ประกอบของพรรคการเมืองไม่ได้อยู่ที่หัวหน้าพรรคเพียงคนเดียว จะต้องดูทีมงาน กรรมการบริหารและนโยบายว่า สามารถที่จะสร้างความหวังให้กับประชาชนได้หรือไม่ ถ้าจะตั้งพรรคการเมืองน้ำดีแต่เอาน้ำเน่ามาใส่ในบ่อด้วยก็จะกลายเป็นน้ำเน่าเหมือนเดิม แต่ถ้าจะตั้งพรรคการเมืองในอุดมคติ เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ในสังคมก็ควรจะหาคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยมายุ่งเกี่ยวในการเมือง แต่ถ้าหากว่าจะตั้งการเมืองแล้วมาตกปลาในอ่างคนอื่นก็ไม่สามารถที่จะเป็นพรรคการเมืองในอดุมคติได้

“ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ไม่หนักใจเพราะถือว่าพรรคการเมืองแต่ละพรรคมี ส่วนแบ่งของตลาด และมีฐานเสียงมีแฟนพันธุ์แท้จริงของตัวเองอยู่ในระดับที่แน่นอน ถ้าเปรียบเทียบหัวหน้าพรรคทุกพรรครวมถึง ร.ต.อ.ปุระชัยด้วย ก็ยังเชื่อว่าประชาชนยังให้ความไว้วางใจเพราะมีความสามารถโดดเด่นเป็นที่ยอมรับมากกว่าพรรคการเมืองอื่นๆ”

ส่วนผลการโหวตญัตติซักฟอกรัฐบาลที่นายอภิสิทธิ์และรัฐมนตรีของพรรคได้คะแนนน้อยกว่ารัฐมนตรีพรรคร่วมบางคน นายเทพไทกล่าวว่า ตนไม่คิดว่าจะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นจากประชาชน รวมถึงไม่กระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล ด้วย เพราะคะแนนเสียงมีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย ถือเป็นธรรมดาในการลงคะแนนของคนหมู่มาก ที่จะให้คะแนนเสียงเท่ากันหมดทุกคนย่อมเป็นไปไม่ได้ ผลคะแนนห่างกันไม่เกิน 5 คะแนน ถือว่าไม่มีนัยสำคัญทางการเมือง แต่ถ้าห่างกันมากถึง 30-50 เสียงถึงจะต้องมาพิจารณากัน
กำลังโหลดความคิดเห็น