แม้พอจะคาดได้ว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรัฐมนตรีอีก 9 คนของพรรคฝ่ายค้านไม่สามารถ “น็อก” หรือทำอะไรรัฐบาลได้ แต่เมื่อได้เห็นได้ยินท่านแม่ทัพ “มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ” แห่งพรรคเพื่อไทย ประกาศกลางสภานำการอภิปราย (15 มี.ค.) ว่ารอบนี้จะ “จัดหนัก” ประเภทเนื้อ ๆ เน้นๆ ให้กับรัฐบาล ก็เลยต้องนั่งรับชมเอาใจช่วย ด้วยหวังว่า...ประเทศชาติประชาชนน่าจะได้รับประโยชน์แบบเนื้อๆ...
แต่อย่างว่าล่ะครับ พ่อแม่พี่น้องเอ๊ยยย.....แม้จะมีความรอบรู้มีตัวเลขเป็นพะเรอเกวียน แต่ด้วยความเป็น “มือใหม่” และการ์ดต่ำการ์ดตก เมื่อเจอเข้ากับมือเก๋า เขี้ยวเกร็ดแตกลายงา แชมป์โต้วาที 65 ปีซ้อนอย่างพรรคประชาธิปัตย์ “เจ๊มิ่ง” ของกระผมก็เจอเข่าดักหมัดสวนจาก “มาร์ค ศิษย์ชวน” อาจเห็นดาวเห็นเดือนในสภาไปเรียบร้อยแล้ว...เพราะทั้งเรื่องการก่อหนี้มหาศาล, เรื่องกองทุนน้ำมันที่เหลือเพียง 4,800 ล้านบาท, เรื่องการประกันราคาข้าวที่ชาวนาได้ราคาต่ำ ฯลฯ ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยกราฟิกตัวเลขที่ดูเข้าใจง่ายพูดจาชัดถ้อยชัดคำ ก็ไม่ระคายผิวที่หนาขึ้นทุกวันของคนชื่ออภิสิทธิ์ได้...
จะอย่างไรก็ตาม แม้จะโดนสวนกลับไป...แต่ก็เชื่อว่าในกาลข้างหน้าหากได้ทำศึกอีกสักหนคนอย่าง “เจ๊มิ่ง” ก็น่าจะสรุปบทเรียนว่า เวลาตะลุมบอนทำศึกกับแชมป์เก่าประชาธิปัตย์นั้นจะต้องการ์ดสูงขนาดไหน ใส่กระจับให้แน่นหนาเพียงใด...เชื่อว่าวันหน้า “เจ๊มิ่ง” จะแข็งแกร่งขึ้นแน่นอน
ครับ..ดูท่านมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ “จัดหนัก” ให้นายกฯ ดูนายกฯ “จัดกลับ” ให้ท่านมิ่งขวัญแล้ว ก็ไม่ได้ฟังใครอีกในช่วงกลางวัน-ตอนค่ำของการอภิปรายวันแรก กระทั่งดึกดื่นเที่ยงคืนต่อวันใหม่ (16 มี.ค.) ก็ได้รับชมการอภิปรายอีกช่วงหนึ่ง ซึ่งเป็นคิวเชือด รมว.ต่างประเทศ กษิต ภิรมย์...
นับว่าเป็นโชคดีของคนชื่อ กษิต ภิรมย์ เพราะฝ่ายค้านที่ลุกขึ้นอภิปรายไม่ไว้วางใจล้วนแล้วแต่เป็น ส.ส.รุ่นลูกรุ่นหลาน เป็นมวยหมัดแย็บไม่มีหมัดทะลวงตับทะลวงไส้ เท่าที่เห็นก็มีเพียง 4 คน คือ
- ต่อพงษ์ ไชยสาส์น แม้จะเป็นประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศของสภาฯ แต่ก็อภิปรายแบบอ่านสคริปต์ ไม่มีข้อมูลหนัก
-ธเนศ เครือรัตน์ ส.ส.ศรีสะเกษ แม้จะเป็น ส.ส.เก่า มีข้อมูลในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา กล่าวหาตรงประเด็นอยู่บ้างว่ากัมพูชาละเมิดเอ็มโอยู 2543 แต่ไทยไม่ทำอะไรมากจนลามเป็นสงคราม แต่ลีลาอภิปรายก็ราบเรียบ ข้อกล่าวหาไม่คมชัด
-สรวงศ์ เทียนทอง ส.ส.พรรคประชาราช ลีลาน้ำเสียงใช้ได้ แต่ไม่มีประเด็นคม
-วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย แม้จะเป็น ส.ส.นักเรียนนอก อ่านภาษาอังกฤษปร๋อ งัดเอาข้อมูลจาก “วิกีลีกส์” เรื่องที่พาดพิงถึงเบื้องสูง แต่แค่ถูก ส.ส.บุญยอด สุขถิ่นไทย งัดวิชาประท้วง เบรกความร้อนเร่าของเธอ ก็จบข่าวแล้ว...
เท่านั้นล่ะครับ ที่ฝ่ายค้านจัดหามาได้....แต่กระนั้นก็ตาม แม้จะโชคดีที่พบกับมวยแย็บจัดเบาๆ ให้ท่านกษิต ภิรมย์ แต่สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจและแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองก็คือ รัฐมนตรีปากกล้าคารมจัดอย่างท่านกลับลุกขึ้นชี้แจงตอบข้อกล่าวหาด้วยการอ่านสคริปต์ที่เจ้าหน้าที่จัดเตรียมให้ ตรงประเด็นบ้างไม่ตรงประเด็นบ้าง ถามทะเลตอบแม่น้ำถามควายตอบวัว..อะไรประมาณนั้น กระทั่งเด็กรุ่นหลานอย่างสรวงศ์ เทียนทอง ต้องลุกขึ้นตะโกนว่าไม่อายตัวเองบ้างเลยหรือที่ยืนอ่านสคริปต์แบบไม่กล้าสบตาสภา ทำให้นายชัย ชิดชอบ ประธานที่ประชุมต้องช่วยกระตุก แต่รมว.ต่างประเทศก็ยังก้มหน้าก้มตาอ่าน ประมาณว่าถ้ามีคำว่า “ปุ๊ดโธ่” อยู่ในสคริปต์กษิต ภิรมย์ ก็คงไม่ต่างจากสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เคยทำฮือฮามาแล้วในอดีต จะมีเพียง 2 นาทีสุดท้ายของการตอบคำถามเท่านั้นที่พยายามเงยหน้าพูดจาเพิ่มเติม 3-4 ประโยคที่น่าจะอยู่นอกเหนือสคริปต์...
ครับ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าท่านกษิต ภิรมย์ จะเป็นมวยหมดสภาพถูกรุ่นลูกรุ่นหลานถอนหงอกสอนมวยถึงขนาดนั้น เพราะหากจะย้อนเวลาไปไม่ต้องไกลถึงเหตุการณ์ตอนชุมนุม 193 วันของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อปี 2551 ซึ่งท่านเข้าร่วมในฐานะวิทยากรที่ทรงความรู้มีข้อมูล พูดจาฉะฉานออกอาการนักเลงเล็กๆ หรอก แค่ย้อนไปไม่กี่วันไม่กี่เดือนที่ท่านพูดจาตอบโต้พันธมิตรฯ ท่านก็พูดด้วยวาจาแข็งแรง เล่นแรงเล่นหนัก ช่างแตกต่างกับกษิตที่ยืนอ่านสคริปต์เหมือนนักเรียนหัดพูด จนถูกเด็กรุ่นหลานตะคอกตะโกนใส่...
แม้ผมจะยังไม่เชื่อหรอกว่าคนอย่างท่านกษิตจะหมดฤทธิ์หมดน้ำยาหรือหมดความรู้ แต่ภาพที่มองผ่านจอดูเหมือนผมจะมองเห็นอาการ “หมดความมั่นใจ” ของท่านได้ชัดเจนพอสมควร ผมยังนึกเล่นๆ คนเดียวว่า..สมมติหากเปลี่ยนผู้อภิปรายจาก 4 ส.ส.เป็น คำนูณ สิทธิสมาน, ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, เทพมนตรี ลิมปพยอม, พล.ร.ท.ประทีป ชื่นอารมณ์ แค่ซักปัญหากัมพูชา เรื่องวิคเตอร์ บูท....คนชื่อกษิต ภิรมย์ อาจจะเป็นลมเป็นแล้งคาสภาไปแล้วก็ได้...
ผมไม่มีอะไรโกรธเคืองกับท่านกษิต ภิรมย์ ตรงข้ามยังไงๆ ก็ยังเคารพท่านอยู่ และสมัย 193 วันของการชุมนุมท่านก็พูดคุยกับผมด้วยความถูกคออยู่บ่อยๆ วันนี้ผมเพียงผิดหวังท่านในจุดยืนว่าด้วยการปกปักรักษาอธิปไตยและดินแดนของไทยกรณีพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร 4.6 ตร.กม.
ผมคิดเองเออเองแบบมองโลกในแง่ดีว่า...อาการ “หมดความมั่นใจ” จนเกิดอาการ “มวยหมดสภาพ” บนเวทีการอภิปรายดังว่ามา น่าจะเกิดจากความขัดแย้งสับสนในตัวเองของท่าน กล่าวคือ ในส่วนลึกท่านน่าจะรู้ข้อมูลดีว่าอะไรเป็นอะไร ไทยสูญเสียดินแดนไปแล้วในทางพฤตินัย/เอ็มโอยู 2543 ไม่ได้เป็นประโยชน์สำหรับฝ่ายไทย/บันทึกการประชุมเจบีซี 3 ฉบับ หากรัฐสภารับรองไปประเทศไทยเสียหายแน่/นโยบายของรัฐบาลของกระทรวงการต่างประเทศกรณีไทย-กัมพูชา ไทยตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำเสียเปรียบ/กองทัพอึดอัดกรณีผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซีย ฯลฯ
แต่ท่านต้องก้มหน้าก้มตาพิทักษ์ปกป้องและแก้ต่างว่ามันถูกต้องดีงาม...
ใช่หรือไม่ว่าหรือ เป็นไปได้ไหมว่า...ส่วนลึกสุดในใจของท่านน่าจะยังเป็นผู้ที่รักบ้านรักเมืองรักอธิปไตยของชาติ แต่บทบาทและกลเกมที่ท่านกำลังทำมันกำลังสวนทาง มันขัดแย้งกับมโนธรรมสำนึกของท่าน ท่านหมดความเป็นตัวของตัวเอง แต่ท่านเลือกที่จะรักษาตำแหน่งแห่งหนของท่าน จึงต้องทำทุกอย่างแม้กระทั่งการรอยืนอ่านสคริปต์แบบหมดรูปมวยเพื่อกันพลาด...
ท่านรักตัวเองมากกว่ารักชาติ ความถูกต้องและความดีงาม...ในสัดส่วนที่มากเกินไปจนนึกไม่ถึงจริงๆ…
samr_rod@hotmail.com
แต่อย่างว่าล่ะครับ พ่อแม่พี่น้องเอ๊ยยย.....แม้จะมีความรอบรู้มีตัวเลขเป็นพะเรอเกวียน แต่ด้วยความเป็น “มือใหม่” และการ์ดต่ำการ์ดตก เมื่อเจอเข้ากับมือเก๋า เขี้ยวเกร็ดแตกลายงา แชมป์โต้วาที 65 ปีซ้อนอย่างพรรคประชาธิปัตย์ “เจ๊มิ่ง” ของกระผมก็เจอเข่าดักหมัดสวนจาก “มาร์ค ศิษย์ชวน” อาจเห็นดาวเห็นเดือนในสภาไปเรียบร้อยแล้ว...เพราะทั้งเรื่องการก่อหนี้มหาศาล, เรื่องกองทุนน้ำมันที่เหลือเพียง 4,800 ล้านบาท, เรื่องการประกันราคาข้าวที่ชาวนาได้ราคาต่ำ ฯลฯ ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยกราฟิกตัวเลขที่ดูเข้าใจง่ายพูดจาชัดถ้อยชัดคำ ก็ไม่ระคายผิวที่หนาขึ้นทุกวันของคนชื่ออภิสิทธิ์ได้...
จะอย่างไรก็ตาม แม้จะโดนสวนกลับไป...แต่ก็เชื่อว่าในกาลข้างหน้าหากได้ทำศึกอีกสักหนคนอย่าง “เจ๊มิ่ง” ก็น่าจะสรุปบทเรียนว่า เวลาตะลุมบอนทำศึกกับแชมป์เก่าประชาธิปัตย์นั้นจะต้องการ์ดสูงขนาดไหน ใส่กระจับให้แน่นหนาเพียงใด...เชื่อว่าวันหน้า “เจ๊มิ่ง” จะแข็งแกร่งขึ้นแน่นอน
ครับ..ดูท่านมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ “จัดหนัก” ให้นายกฯ ดูนายกฯ “จัดกลับ” ให้ท่านมิ่งขวัญแล้ว ก็ไม่ได้ฟังใครอีกในช่วงกลางวัน-ตอนค่ำของการอภิปรายวันแรก กระทั่งดึกดื่นเที่ยงคืนต่อวันใหม่ (16 มี.ค.) ก็ได้รับชมการอภิปรายอีกช่วงหนึ่ง ซึ่งเป็นคิวเชือด รมว.ต่างประเทศ กษิต ภิรมย์...
นับว่าเป็นโชคดีของคนชื่อ กษิต ภิรมย์ เพราะฝ่ายค้านที่ลุกขึ้นอภิปรายไม่ไว้วางใจล้วนแล้วแต่เป็น ส.ส.รุ่นลูกรุ่นหลาน เป็นมวยหมัดแย็บไม่มีหมัดทะลวงตับทะลวงไส้ เท่าที่เห็นก็มีเพียง 4 คน คือ
- ต่อพงษ์ ไชยสาส์น แม้จะเป็นประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศของสภาฯ แต่ก็อภิปรายแบบอ่านสคริปต์ ไม่มีข้อมูลหนัก
-ธเนศ เครือรัตน์ ส.ส.ศรีสะเกษ แม้จะเป็น ส.ส.เก่า มีข้อมูลในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา กล่าวหาตรงประเด็นอยู่บ้างว่ากัมพูชาละเมิดเอ็มโอยู 2543 แต่ไทยไม่ทำอะไรมากจนลามเป็นสงคราม แต่ลีลาอภิปรายก็ราบเรียบ ข้อกล่าวหาไม่คมชัด
-สรวงศ์ เทียนทอง ส.ส.พรรคประชาราช ลีลาน้ำเสียงใช้ได้ แต่ไม่มีประเด็นคม
-วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย แม้จะเป็น ส.ส.นักเรียนนอก อ่านภาษาอังกฤษปร๋อ งัดเอาข้อมูลจาก “วิกีลีกส์” เรื่องที่พาดพิงถึงเบื้องสูง แต่แค่ถูก ส.ส.บุญยอด สุขถิ่นไทย งัดวิชาประท้วง เบรกความร้อนเร่าของเธอ ก็จบข่าวแล้ว...
เท่านั้นล่ะครับ ที่ฝ่ายค้านจัดหามาได้....แต่กระนั้นก็ตาม แม้จะโชคดีที่พบกับมวยแย็บจัดเบาๆ ให้ท่านกษิต ภิรมย์ แต่สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจและแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองก็คือ รัฐมนตรีปากกล้าคารมจัดอย่างท่านกลับลุกขึ้นชี้แจงตอบข้อกล่าวหาด้วยการอ่านสคริปต์ที่เจ้าหน้าที่จัดเตรียมให้ ตรงประเด็นบ้างไม่ตรงประเด็นบ้าง ถามทะเลตอบแม่น้ำถามควายตอบวัว..อะไรประมาณนั้น กระทั่งเด็กรุ่นหลานอย่างสรวงศ์ เทียนทอง ต้องลุกขึ้นตะโกนว่าไม่อายตัวเองบ้างเลยหรือที่ยืนอ่านสคริปต์แบบไม่กล้าสบตาสภา ทำให้นายชัย ชิดชอบ ประธานที่ประชุมต้องช่วยกระตุก แต่รมว.ต่างประเทศก็ยังก้มหน้าก้มตาอ่าน ประมาณว่าถ้ามีคำว่า “ปุ๊ดโธ่” อยู่ในสคริปต์กษิต ภิรมย์ ก็คงไม่ต่างจากสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เคยทำฮือฮามาแล้วในอดีต จะมีเพียง 2 นาทีสุดท้ายของการตอบคำถามเท่านั้นที่พยายามเงยหน้าพูดจาเพิ่มเติม 3-4 ประโยคที่น่าจะอยู่นอกเหนือสคริปต์...
ครับ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าท่านกษิต ภิรมย์ จะเป็นมวยหมดสภาพถูกรุ่นลูกรุ่นหลานถอนหงอกสอนมวยถึงขนาดนั้น เพราะหากจะย้อนเวลาไปไม่ต้องไกลถึงเหตุการณ์ตอนชุมนุม 193 วันของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อปี 2551 ซึ่งท่านเข้าร่วมในฐานะวิทยากรที่ทรงความรู้มีข้อมูล พูดจาฉะฉานออกอาการนักเลงเล็กๆ หรอก แค่ย้อนไปไม่กี่วันไม่กี่เดือนที่ท่านพูดจาตอบโต้พันธมิตรฯ ท่านก็พูดด้วยวาจาแข็งแรง เล่นแรงเล่นหนัก ช่างแตกต่างกับกษิตที่ยืนอ่านสคริปต์เหมือนนักเรียนหัดพูด จนถูกเด็กรุ่นหลานตะคอกตะโกนใส่...
แม้ผมจะยังไม่เชื่อหรอกว่าคนอย่างท่านกษิตจะหมดฤทธิ์หมดน้ำยาหรือหมดความรู้ แต่ภาพที่มองผ่านจอดูเหมือนผมจะมองเห็นอาการ “หมดความมั่นใจ” ของท่านได้ชัดเจนพอสมควร ผมยังนึกเล่นๆ คนเดียวว่า..สมมติหากเปลี่ยนผู้อภิปรายจาก 4 ส.ส.เป็น คำนูณ สิทธิสมาน, ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, เทพมนตรี ลิมปพยอม, พล.ร.ท.ประทีป ชื่นอารมณ์ แค่ซักปัญหากัมพูชา เรื่องวิคเตอร์ บูท....คนชื่อกษิต ภิรมย์ อาจจะเป็นลมเป็นแล้งคาสภาไปแล้วก็ได้...
ผมไม่มีอะไรโกรธเคืองกับท่านกษิต ภิรมย์ ตรงข้ามยังไงๆ ก็ยังเคารพท่านอยู่ และสมัย 193 วันของการชุมนุมท่านก็พูดคุยกับผมด้วยความถูกคออยู่บ่อยๆ วันนี้ผมเพียงผิดหวังท่านในจุดยืนว่าด้วยการปกปักรักษาอธิปไตยและดินแดนของไทยกรณีพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร 4.6 ตร.กม.
ผมคิดเองเออเองแบบมองโลกในแง่ดีว่า...อาการ “หมดความมั่นใจ” จนเกิดอาการ “มวยหมดสภาพ” บนเวทีการอภิปรายดังว่ามา น่าจะเกิดจากความขัดแย้งสับสนในตัวเองของท่าน กล่าวคือ ในส่วนลึกท่านน่าจะรู้ข้อมูลดีว่าอะไรเป็นอะไร ไทยสูญเสียดินแดนไปแล้วในทางพฤตินัย/เอ็มโอยู 2543 ไม่ได้เป็นประโยชน์สำหรับฝ่ายไทย/บันทึกการประชุมเจบีซี 3 ฉบับ หากรัฐสภารับรองไปประเทศไทยเสียหายแน่/นโยบายของรัฐบาลของกระทรวงการต่างประเทศกรณีไทย-กัมพูชา ไทยตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำเสียเปรียบ/กองทัพอึดอัดกรณีผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซีย ฯลฯ
แต่ท่านต้องก้มหน้าก้มตาพิทักษ์ปกป้องและแก้ต่างว่ามันถูกต้องดีงาม...
ใช่หรือไม่ว่าหรือ เป็นไปได้ไหมว่า...ส่วนลึกสุดในใจของท่านน่าจะยังเป็นผู้ที่รักบ้านรักเมืองรักอธิปไตยของชาติ แต่บทบาทและกลเกมที่ท่านกำลังทำมันกำลังสวนทาง มันขัดแย้งกับมโนธรรมสำนึกของท่าน ท่านหมดความเป็นตัวของตัวเอง แต่ท่านเลือกที่จะรักษาตำแหน่งแห่งหนของท่าน จึงต้องทำทุกอย่างแม้กระทั่งการรอยืนอ่านสคริปต์แบบหมดรูปมวยเพื่อกันพลาด...
ท่านรักตัวเองมากกว่ารักชาติ ความถูกต้องและความดีงาม...ในสัดส่วนที่มากเกินไปจนนึกไม่ถึงจริงๆ…
samr_rod@hotmail.com