ผ่าประเด็นร้อน
ในตอนแรกคงคิดว่าชาวบ้านคงเคลิบเคลิ้มไปกับการสร้างภาพรายวันของ นายกรัฐมนตรีรูปหล่อ พูดเก่งจนมั่นใจว่าในการเลือกตั้งครั้งต่อไป จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ได้ชัยชนะ มั่นใจว่าจะได้รับเลือกเข้ามาไม่น้อยกว่า 250 เสียงอย่างแน่นอนจนได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ผลักดันให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับมาเป็นผู้นำอีกสมัย และ สุเทพ เทือกสุบรรณ จะได้กลับมาเป็นผู้จัดการรัฐบาลอีกครั้ง
หลายคนคงคิดแบบนั้นจริงๆ ไม่เว้นแม้กระทั่ง นายกฯ อภิสิทธิ์ ในฐานะที่เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ถึงกับนำเอาเรื่องความคาดหมายของ กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ที่ได้รับมอบหมายเป็นหัวหน้าทีมกำหนดยุทธศาสตร์การเลือกตั้งของพรรคออกมาเปิดเผย ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของ สุเทพ ในฐานะเลขาธิการพรรคที่เคยให้ความเห็นก่อนหน้านี้มาประกอบ
หากจำกันได้ไม่นานนัก นายกรัฐมนตรียังเคยกล่าวกับผู้สื่อข่าวสำนักข่าวรอยเตอร์ก็ระบุในทำนองเดียวกันว่าต้องได้ ส.ส.กลับเข้ามาไม่น้อยกว่าจำนวนดังกล่าว ซึ่งนั่นก็ย่อมหมายความว่าเขาจะได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง และหากเป็นไปตามคาดก็จะเป็นนายกฯที่สามารถกำกับดูแลกระทรวงต่างๆได้มากขึ้น
อย่างไรก็ดีนั่นเป็นความเชื่อมั่น หรือผลสำรวจก่อนที่ปัญหาน้ำมันปาล์มจะปะทุลุกลามจนกลายเป็นวิกฤติอยู่ในขณะนี้ และที่สำคัญเกิดขึ้นก่อนที่จะมีการเปิดโปงให้ชาวบ้านได้เข้าใจว่ามี นักการเมืองและกลุ่มทุนในพรรคประชาธิปัตย์บางคนรวมหัวกันกักตุน ปั่นราคา “ฟันกำไร” กันอย่าง “มหาโหด” รวมทั้งเกิดขึ้นก่อนที่ปัญหาข้าวของแพงมหาโหดเช่นทุกวันนี้
ขณะเดียวกันเกิดขึ้นก่อนที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะชุมนุมยืดเยื้อ โดยเปิดโปงความล้มเหลวของ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ และชี้ให้เห็นว่าเป็นเพียง “หุ่นเชิด” ไร้อำนาจและ “บริหารงานไม่เป็น” และยังเปิดโปงให้เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้เต็มไปด้วยการทุจริตคอรัปชั่นกันอย่างมโหฬาร หรืออาจมากกว่าในยุคที่ ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีเสียอีก เพราะทุกโครงการทุจริตล้วน “ต่อยอด” มาทั้งสิ้น
ที่ผ่านมาหากว่าไปแล้วก็ต้องยอมรับว่าชาวบ้านหลายคนให้การชื่นชมนายกฯ อภิสิทธิ์ เนื่องจากมีภาพลักษณ์ที่ดี เป็นนักเรียนนอก พูดภาษาอังกฤษเก่ง มีบุคลิกหน้าตาดี มีกิริยาภายนอกดูสุภาพ ขณะเดียวกันเมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลแม้ว่าจะไปจับมือกอดคอกับ นักการเมืองจอมอื้อฉาวแห่งยุคอย่าง เนวิน ชิดชอบ และบรรหาร ศิลปอาชา แต่ด้วยข้อจำกัดทางการเมืองและสถานการณ์ในขณะนั้น แม้ว่าจะขัดกับความรู้สึก แต่ก็ต้องยอม “หลิ่วตา” หรือมองข้ามไปก่อน
หวังว่าหลังจากได้เป็นรัฐบาล เป็นผู้นำแล้วคงจะเป็นไปตามที่ชาวบ้านส่วนใหญ่คาดหวังเอาไว้ อีกทั้งก่อนที่จะมีการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มตัวก็ได้มีการประกาศเป็น “กฎเหล็ก 9 ข้อ” ให้รัฐมนตรีปฏิบัติตาม นัยว่าเพื่อเป็นการ “สร้างธรรมาภิบาล” ให้เกิดขึ้น เป็นตัวอย่างด้านจริยธรรมของนักการเมืองที่มีมากกว่าประชาชนทั่วไป ที่ต้องต้องมีสำนึกรับผิดชอบเหนือกว่า โดยไม่ต้องรอให้มีผลพิสูจน์ทางกฎหมาย
ด้วยคำพูดและท่าทางที่ดูดี ดังกล่าวมันก็เรียกเสียงชื่นชมฮือฮากันแทบสลบ เพราะนี่คือนักการเมืองรุ่นใหม่ที่เป็นความหวังอย่างแท้จริง แต่อนิจจาเวลาผ่านไปกว่า 2 ปี กลับปรากฏแต่เรื่องการทุจริตอื้อฉาว มีการซื้อขายตำแหน่งระหว่างโยกย้าย ทั้งระดับอธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด การทุจริตการสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอ การจัดทำบัตรประชาชนแบบใหม่ที่เรียกว่าบัตรสมาร์ทการ์ด ในกระทรวงมหาดไทย
การแต่งตั้งโยกย้ายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มีรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.) ก็มีการร้องเรียน ไม่แพ้ยุคที่ผ่านมา ตรงกันข้ามอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำไป
กรณีที่เกิดขึ้นล้วนยกเป็นตัวอย่างบางกรณีที่ได้ยินข่าวติดหูติดตาเท่านั้น ยังมีอีกหลายเรื่องที่ไม่ว่าแตะตรงไหนก็มักจะเจอแต่เรื่องฉ้อฉล หรือความไม่ชอบมาพากลทั้งสิ้น
การออกมาปักหลักชุมนุมของพันธมิตรฯเพื่อเปิดโปงนายกฯ อภิสิทธิ์ และรัฐบาลชุดนี้ ได้ทำให้ชาวบ้านที่เคยหลงใหลในภาพลักษณ์ภายนอกฉาบฉวยได้เห็นความจริง ทำให้ “ตาสว่าง” มากขึ้นว่าแท้ที่จริงแล้วเขาเป็นแค่ “ของปลอม” เป็นแค่ “หุ่นเชิด” ของพวก “คณาโจรา” ในรัฐบาลที่อยู่รอบตัวเขาทั้งสิ้น
สิ่งที่เห็นเป็นประจักษ์ก็คือเขาไม่ได้มีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แม้ว่าจะมีราคาคุยมีการออกนโยบายสำคัญที่อวดอ้างเป็นผลงานของรัฐบาลและของพรรคประชาธิปัตย์ก็ตาม เช่น นโยบายประกันราคาสินค้าเกษตรบางอย่าง เช่น ข้าว ที่มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ทางโทรทัศน์กันอย่างใหญ่โต แต่ล่าสุดกลายเป็นว่าเกิดการประท้วงของชาวนาหลายจังหวัดในพื้นที่ปลูกข้าวออกมาเปิดโปงว่าเป็นนโยบายที่มีแต่ “ราคาคุย” เพราะในความเป็นจริงชาวนาไม่เคยขายได้ในราคาประกัน ถูกกดราคาจนขาดทุนตลอด ไม่ได้เป็นไปตามราคาอ้างอิง ขณะเดียวกันเวลานี้ยังถูกข้าวคุณภาพต่ำจาก กัมพูชาเข้ามาตีตลาดทำให้ราคาตกต่ำลงไปอีก จนเกิดการประท้วงลุกลามบานปลายอยู่ในเวลานี้ ทำให้เขาต้อง “ตาลีตาเหลือก” ลงมาประชุมแก้ปัญหากันแบบเฉพาะหน้า
ความล้มเหลวในการรักษาอธิปไตยตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ความล้มเหลวในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ฯลฯ
ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่เมื่อความจริงเริ่มปรากฏเขาก็จะเจอกับเสียงขับไล่ที่จะต้องดังขึ้นทุกวัน เพราะคนเกลียดที่เคยมีแต่เดิมยังอยู่ครบถ้วน ขณะที่รายใหม่ที่เพิ่งหูตาสว่างและสัมผัสได้ด้วยตัวเองก็ขยายวงออกไป ทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนกับว่าจะประคองให้อยู่ไปวันๆก็ลำบาก ขณะเดียวกันหากคิดกลับมาในวันข้างหน้าหนทางก็ดูมืดมิด เพราะมีแต่ข่าวลบประดังเข้ามาทุกทิศทาง !!