xs
xsm
sm
md
lg

มาร์คยอมเป็น “หุ่นเชิด” แลกกับนั่งเก้าอี้นายกฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


นาทีนี้ไม่ต้องสงสัยกันแล้วว่าเป้าหมายสูงสุดของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะคือต้องการแค่จะให้ตัวเองได้ก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเท่านั้น จากนั้นก็ทำทุกทางเพื่อให้ได้อยู่ต่อไปให้นานที่สุด

ไม่สนใจว่าจะต้องไปจับมือกับใคร ไม่ว่า “เทพ” หรือ “มาร” คนดีหรือคนเลว ขอเพียงอย่างเดียวขอให้ตัวเองได้ชื่อว่าเป็น “นายกรัฐมนตรี” เท่านั้นเอง อีกทั้งยังไม่ต้องไปสนใจอีกด้วยว่าบ้านเมืองจะได้หรือเสียอะไรไปบ้าง

ในตอนแรกหลายคนอาจนึกไม่ถึงว่า อภิสิทธิ์ จะไป “กอดคอ” กับนักการเมืองอย่าง “เนวิน ชิดชอบ” หลายคนอาจให้อภัยเพราะมองเห็นจากสภาพความเป็นจริงว่าด้วยเสียง ส.ส.ในพรรคประชาธิปัตย์มีไม่เพียงพอในการจัดตั้งรัฐบาล ก็ต้องอาศัยเสียงจากพรรคอื่นเข้ามา

หลายคนก็ยังมีความหวังอีกว่าขอให้เขาได้จัดตั้งรัฐบาล ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะเชื่อว่าด้วยภาพลักษณ์ที่ดี หน้าตาดี ความรู้ดี เป็นนักเรียนนอกพูดภาษาอังกฤษเก่ง ก็เชื่อว่าประเทศคงจะได้ผู้นำที่ดีนำพาประเทศผ่านพ้นจากวิกฤติด้วยหลักนิติรัฐเสียที

เพราะเมื่อมีการประกาศรายชื่อคณะรัฐมนตรีออกมาในตอนแรกแม้ว่าชาวบ้านจะร้อง “ยี้” ในใจแต่ก็ยอมให้ผ่านหูผ่านตาไปก่อน

อย่างไรก็ดีเมื่อเวลาผ่านไปไม่นานนัก “ลาย” ก็ออกมาให้เห็น 3 เดือนก็แล้ว 6 เดือนก็แล้ว 1 ปี-2 จนถึงปัจจุบัน นับวันมีแต่เรื่องอื้อฉาว มีแต่เรื่องทุจริตซึ่งหากพิจารณาให้ดีจะพบว่ามีมากกว่าในยุครัฐบาลของ ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกระบุว่า “โคตรโกง” เสียด้วยซ้ำ แต่วิธีการแก้ปัญหาของ นายกฯอภิสิทธิ์ ก็คือเมื่อโครงการไหนถูกจับได้หรือถูกวิพากษ์วิจารณ์มาก ก็ใช้การตั้งคณะกรรมการ “ซื้อเวลา” ให้เรื่องเงียบแล้วค่อยเดินหน้าต่อไป ประกอบกับการใช้ “สำนวนโวหาร” ที่ฟังดูรื่นหูจนตายใจ

สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่ารัฐบาล อภิสิทธิ์ “โคตรโกง” ก็คือผลสำรวจจากหอการค้าไทยเคยระบุออกมาว่ามีการเรียกรับ “เงินใต้โต๊ะ” ไม่ต่างจากยุคก่อน ตรงกันข้ามอาจมากกว่าด้วยซ้ำไป

ขณะเดียวกันผลสำรวจของคณะกรรมาธิการการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา มีการสรุปผลออกมาเมื่อเร็วๆนี้ระบุว่ามีการทุจริตกว่าแสนล้านบาท ยังไม่นับผลสำรวจของสำนักต่างๆที่สะท้อนความรู้สึกของประชาชนมาเป็นระยะล้วนให้คะแนนในเรื่องการปราบปรามการทุจริตชนิดที่เรียกว่า “ต่ำติดดิน” อย่างล่าสุด “กรุงเทพโพล” เพิ่งสรุปให้เห็นว่าได้คะแนนเพียง 1.91 จากคะแนนเต็ม 10 ลองนึกภาพเอาก็แล้วกันว่ามัน “ห่วยแตก” ขนาดไหน

สวนทางกับคำพูดที่สวยหรูดูดีของ นายกฯอภิสิทธิ์ ที่ย้ำว่าตัวเองไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ครอบครัวไม่ได้ดำเนินธุรกิจ จึงไม่มีปัญหาในเรื่องดังกล่าวเหล่านั้น อย่างไรก็ดีหากพิจารณาในรายละเอียด ในเบื้องต้นก็ต้องยอมรับว่าเป็นเช่นนั้นไม่มีใครเถียง แต่คำถามก็คือ แม้ว่าตัวเอง “ไม่โกง” แต่เมื่อสามารถ “อยู่ร่วม” กับ “คนโกง” โดยไม่กระดากอายมาเป็นเวลานานมันหมายความว่าอย่างไร

นอกจากนี้สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้เป็นนายกรัฐมนตรีตามปรารถนาก็คือการยอมเป็น “หุ่นเชิด-ขายชาติ” ยอมวางเฉยไม่ยอมแก้ต่างเรื่องดินแดนอธิปไตยของชาติ กรณีชายแดนไทย-กัมพูชา ยอมทำแม้กระทั่งใช้วาทศิลป์ที่ตัวเองถนัดในเรื่องการโต้วาทีมาแก้ต่าง บิดเบือน หรือพูดจาให้เข้าใจยาก เพื่อกลบเกลื่อนคำพูดของตัวเองเป็นอีกแบบหนึ่งเมื่อก่อนหน้านี้

หากให้ยกตัวอย่างก็เห็นกรณี 7 คนไทยถูกจับกุม แทนที่จะยืนยันตามหลักการในเรื่องดินแดนไทยเพื่อขัดขวางการดำเนินคดีของศาลกัมพูชา แต่กลับไปยอมรับตามคำพูดของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ อีกทั้งยังไปบีบคั้นให้คนไทยดังกล่าวยอมรับความผิดหน้าตาเฉย

กรณีเกิดการปะทะกันระหว่างทหารไทย-กัมพูชาที่ผ่านมา นายกฯอภิสิทธิ์ ก็ไม่เคยยืนยันว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรและพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารเป็นของไทย โดยเฉพาะวัดแก้วศิขาคีรีสวาระ และภูมะเขือ เขาก็วางเฉยไม่ยืนยันว่าเป็นดินแดนไทย ซึ่งผิดไปจากคำพูดที่เคยยืนยันก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง

สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นชัดก็คือ แถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อวันที่ 31 มกราคม ที่ผ่านมา ในข้อ 3 ระบุให้กัมพูชารื้อถอนวัดแก้วฯ แต่หลังจากนั้นในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่มีคำสัมภาษณ์ของทั้ง รองนายกฯสุเทพ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมว่าที่ยืนยันอธิปไตยให้กัมพูชาแล้วเขาก็เห็นคล้อยตาม และนำไปสู่การเข้ามาสังเกตการณ์ของ อินโดนีเซีย ในฐานะตัวแทนอาเซียน ซึ่งเป็นที่เดากันล่วงหน้าว่า ฝ่ายกัมพูชาจะนำเจ้าหน้าที่ดังกล่าวมาเป็นสักขีพยานที่ วัดแก้วฯและภูมะเขือ ซึ่งเป็นดินแดนไทย ขณะเดียวกันไทยโดย นายกฯอภิสิทธิ์ ยึดมั่นในเอ็มโอยู 43 จะไม่สามารถเปลี่ยนสภาพพื้นที่ได้ก็จะทำให้เราเสียดินแดนอย่างถาวร แต่อ้างว่านี่คือการเจรจา “ทวิภาคี” ตามที่เคยอ้าง

สิ่งที่เกิดขึ้นในหลายกรณีตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันทำให้สถานะของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นแค่ “เด็กน้อย”ที่ถูก “เชิด” ขึ้นมาให้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี โดยที่ตัวเองก็พอใจแค่นั้น ยอมแม้หลับตาข้างหนึ่งเพื่อปล่อยให้คนรอบข้างได้ทุจริตคอรัปชั่น หรือทำอะไรก็ได้ที่หาประโยชน์ มิหนำซ้ำยังใช้วาทศิลป์มาแก้ต่างยืนยันให้ผ่านไปได้เสียอีก กรณีชายแดนไทยกัมพูชายังเป็นเครื่องยืนยันถึงการ “ขายชาติ” อย่างชัดเจนที่สุด เพราะนอกจากปกป้องผลประโยชน์ธุรกิจตามแนวชายแดนของนายทหารบางคนแล้ว ยังต้องการปกปิดความผิดพลาดของพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยลงนามในเอ็มโอยู 43 ทำให้ไทยเสียเปรียบ

ดังนั้นถ้าให้สรุป นาทีนี้ถือว่าพิสูจน์ชัดแล้วว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็เป็นแค่หุ่นเชิด-ขายชาติ ยอมทำทุกอย่างเพื่อแลกกับการสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีได้นานๆตามที่ตัวเองพอใจเท่านั้น โดยไม่สนใจว่าจะเกิดความเสียหายกับบ้านเมืองเพียงใด !!


กำลังโหลดความคิดเห็น