xs
xsm
sm
md
lg

ซักฟอกแค่ศึกน้ำลาย-โต้วาทีฟอกความผิดกันเอง !!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ไม่น่าเชื่อว่าการอภิปรายในญัตติอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลจำนวน 9 ราย ที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม ไปจนถึงวันที่ 18 มีนาคม และลงมติกันในวันที่ 19 มีนาคม จะสร้างความผิดหวังให้ชาวบ้านที่เฝ้ารอดูอย่างไม่คาดคิดมาก่อน
 

สะท้อนให้เห็นถึงมาตรฐานของนักการเมืองของไทยที่อาสาเข้ามาทำหน้าเป็นผู้แทนปวงชนตามกฎหมาย แต่เท่าที่ติดตามมาตลอดกลับพบว่ามีมาตรฐานต่ำมาก จนน่าสะอิดสะเอียน เพราะบางครั้งที่แสดงพฤติกรรมออกมาให้เห็นสภาไม่ต่างจาก “เดียรัจฉาน” เถื่อน ถ่อยจนเหลือที่จะบรรยายออกมาให้เห็นได้

ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี คราวนี้หากพิจารณากันอย่าตรงไปตรงมาก็ต้องบอกว่าชาวบ้านเขาตั้งตารอดูว่าฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทย จะนำ “ใบเสร็จ” ออกมาพิสูจน์ให้เห็นว่า รัฐบาลและคนในรัฐบาลนี้ “โกง” จริงและ สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านไปทุกหย่อมหญ้าจริง เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าใครก็ตามที่เดินดินกินข้าวแกงรับรองว่าจะต้องมีชะตากรรมอันเจ็บปวดจากปัญหาข้าวของแพง และขาดตลาด

มีการระแคะระคายมาตลอดว่า คนที่รับผิดชอบเกี่ยวกับนโยบายน้ำมันปาล์มในรัฐบาลมีการทุจริต กักตุนและปั่นราคาน้ำมันปาล์ม ทำให้ชาวบ้านอยากเห็น “ทีเด็ด” ของฝ่ายค้านว่าจะต้องนำมาเปิดโปงให้เห็นจนถึงขั้นไปไม่เป็น บางคนอาจจะหวังสูงไปอีกว่าอาจถึงขั้น “น็อก” กันกลางสภาก็มี แต่อนิจจา ผลปรากฏออกมากลับเป็นตรงกันข้าม เพราะทั้งหลักฐานและตัวบุคคลที่มาต่อกรประสิทธิภาพมันแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เป็นรองทุกด้าน ทั้งในเรื่องหลักฐาน และลีลาการพูด เรียกได้ว่าหาภาพเป็นบวกไม่ได้เลย

เพราะถ้าเทียบกันตัวต่อตัวไล่กันไปตั้งแต่หัวหน้าทีมฝ่ายค้านคนใหม่ที่นำโดย มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ทำหน้าที่อภิปรายในภาพรวมทั้งในเรื่องความล้มเหลวในการบริหารของนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปล่อยให้มีการทุจริต เกิดข้าวยากหมากแพง หนี้สินรุงรัง แต่ด้วยลำหักลำโค่นที่ไม่หนักแน่นพอ ทำได้แค่ฉาบฉวย ประกอบกับบุคลิกส่วนตัวของหัวหน้าทีมฝ่ายค้าน อย่างมิ่งขวัญ ที่มีลีลานิ่มๆ เมื่อมาเจอ “โคตรเขี้ยว” นักโต้วาทีระดับเซียนอย่าง อภิสิทธิ์ มันก็กลายเป็นถูกไล่ต้อนจนแทบจะหามุมไม่เจอ

ทั้งที่การแสดงของนายกฯอภิสิทธิ์ เป็นเพียงแค่การออกลีลาท่าทางให้ดูสวยงามเท่านั้น แต่เมื่อพิจารณาให้ละเอียดแล้วข้างใน “กลวงโบ๋” หรือ “ดีแต่พูด” ให้ฟังดูสวยหรูเท่านั้น เพราะหากย้อนกลับไปดูแต่ละเรื่องราวทั้งในเรื่องปัญหาจังหวัดชายแดนใต้หากฟังดูเผินๆก็ชวนเคลิบเคลิ้ม ทำราวกับว่ามีการเปลี่ยนแปลงโน่นเปลี่ยนแปลงนี่ มีการเข้าถึงชาวบ้านที่มีความละเอียดอ่อนในเรื่องความแตกต่างทางวัฒนธรรม อีกทั้งกำลังทหารที่ส่งเข้าไปในพื้นที่ก็จะเน้นกำลังในพื้นที่มากขึ้นเรื่อยๆ ฟังดูดีเหลือเกิน ใครฟังก็ต้องชมเปาะยกมือซี๊ดปากว่าคนนี้แหละเข้าใจปัญหา

แต่เมื่อพิจารณาจากผลงานทำไมสถานการณ์มันไม่ดีขึ้นเลย ตรงกันข้ามมีแต่เลวร้ายลง ความน่ากลัวเพิ่มขึ้นทุกวันเพราะขยายวงเข้ามาในเขตเมือง พื้นที่เศรษฐกิจ ปล้นฆ่าแย่งอาวุธกันถึงฐานปฏิบัติการทหารในพื้นที่ หากจะบอกว่าเป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นก็ไม่น่าจะใช่ เพราะนี่ผ่านมาตั้งสองปีกว่าแล้วที่อยู่ภายใต้การบริหารของรัฐบาลชุดนี้ และนายกรัฐมนตรีคนนี้และพรรคประชาธิปัตย์ที่มีฐานเสียงหลักในภาคใต้ อีกทั้งฝ่ายผู้นำกองทัพก็ทำงานต่อเนื่องมีการส่งมอบหน้าที่กันมาในหมู่คนกันเองทั้งสิ้น จากพี่มาสู่รุ่นน้องสืบทอดอำนาจกันมา

เมื่อทุกอย่างยังไม่ดีขึ้น มันก็มองอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากความไม่เอาไหนของคนกลุ่มนี้ “ห่วยกันทั้งก๊วน”

ปัญหาต่อมาที่คาใจชาวบ้านก็คือ เรื่อง “วิกฤติน้ำมันปาล์ม” ก็สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของรัฐบาล เพราะสร้างความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสมานานกว่า 3 เดือน แต่คนที่รับผิดชอบเพิ่งกุลีกุจอลงไปแก้ปัญหา แต่ก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ปัญหาส่วนหนึ่งที่คลี่คลายลงไปบ้างเนื่องจากผลผลิตปาล์มน้ำมันตามฤดูกาลเริ่มทยอยออกมาสู่ตลาดต่างหาก

กรณีนี้แทนที่ฝ่ายค้านจะสามารถหาหลักฐานมามัด และเปิดโปงขบวนการ “กักตุน” และปั่นราคาน้ำมันปาล์มเอากับคนในรัฐบาล แต่กลายเป็นว่าเป็นเพียงนำข้อมูล “ตัดแปะ” จากหนังสือพิมพ์มาอ่านในสภาอีกครั้งเท่านั้น จนทำให้รองนายกฯฝ่ายน้ำมันปาล์มอย่างสุเทพ เทือกสุบรรณ ไม่ต้องออกแรงมาก เพียงแค่ท้าทายว่าหากสามารถหาหลักฐานมายืนยันได้ว่าเขาโกงน้ำมันปาล์มจะเลิกเล่นการเมืองไปตลอดชีวิต นี่ก็แสดงให้เห็นถึงความเขี้ยวที่เหนือกว่า เพราะการพูดแบบนี้ก็ย่อมหมายความว่าฝ่ายตรงข้ามคงไม่มีน้ำยาแน่นอน

ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชากรณีเสียอธิปไตย และถูกผู้นำกัมพูชาอย่างฮุนเซน หยามหยันศักดิ์ศรีผู้นำไทย ประเทศไทยและคนไทย ฝ่ายค้านก็ยังไม่กล้าแตะตรงๆ อาจเป็นเพราะ “นายใหญ่” ของตัวเอง คือ ทักษิณ ชินวัตร ไปสร้างความเสียหายเอาไว้มากจึงต้องยั้งเอาไว้กลัวจะเข้าตัวหรือเปล่า แทนที่กรณีดังกล่าวถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สะท้อนให้เห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของ รัฐบาลทั้งนายกฯอภิสิทธิ์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กษิต ภิรมย์ อย่างชัดเจน แต่ฝ่ายค้านก็อภิปรายเพียงผิวเผิน

แต่สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็คือฝ่ายค้านคือ ส.ส.พรรคเพื่อไทย เกือบทั้งหมดรวมไปถึง “หัวโจก” คนเสื้อแดงที่อยู่ในคราบ ส.ส.ให้ความสำคัญที่สุดในการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้กลับเป็นเรื่องการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงเมื่อเดือน เมษา-พฤษภาคมปี 53 ที่ผ่านมา สามารถนำเรื่องดังกล่าวมาอภิปรายซ้ำซาก ทั้งที่เหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้นเป็นการวางแผนล่วงหน้าอย่างเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อนำไปสู่การจลาจลและโค่นล้มรัฐบาล และเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองอย่างถอนรากถอนโคน เพราะหากพิจารณาดูการอภิปรายตั้งแต่วันแรกมาจนถึงวันที่ 3 ก็จะพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่าฝ่ายค้านต้องการ “แก้ตัว” ฟอกความผิดในเรื่องนี้เท่านั้น

ทั้งแก้ตัวให้ตัวเอง และแก้ตัวให้ ทักษิณ ชินวัตร นายใหญ่ที่บงการอยู่เบื้องหลังทุกอย่าง เป็นเรื่องผลประโยชน์ทางการเมืองของตัวเองทั้งสิ้น ไม่ได้นึกถึงประโยชน์และความเดือดร้อนของชาวบ้านตาดำๆเลยแม้แต่น้อย

ดังนั้นถ้าให้สรุปในภาพรวมของการอภิปรายไม่ไว้วางใจในคราวนี้ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ต่างอาศัยเวทีสภาโต้วาที ฟอกความผิดให้กับตัวเองเท่านั้น ซึ่งไร้ประโยชน์และเสียเวลาเปล่า !!

กำลังโหลดความคิดเห็น