ผ่าประเด็นร้อน
อาจเป็นเพราะสถานการณ์ความเป็นจริงเริ่มเปิดโปงออกมาให้เห็นแล้วว่า สิ่งที่ รัฐบาลภายใต้การนำของ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อยู่ได้ในเวลานี้มีเพียง “ใยเดียว” คือการสร้างภาพแบบ “จอมปลอม” เท่านั้น ขณะที่เนื้อแท้ข้างในนั้น “กลวงโบ๋” จับต้องไม่ได้
ขณะเดียวกัน อย่าได้แปลกใจที่เวลานี้แทนที่คนเสื้อแดง และทักษิณ ชินวัตร รวมไปถึงพรรคเพื่อไทยจะส่งเสียงตอบรับกับการส่งสัญญาณชัดเป็นครั้งแรกว่าจะยุบสภาในสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคมของนายกฯอภิสิทธิ์ กลายเป็นว่า “รู้สึกเฉยๆ” ทำนองไม่เชื่อว่าจะเป็นไปตามที่พูด เหมือนกับรู้ว่านี่คือ “เกม” หรือกลลวงทางการเมืองอะไรบางอย่าง
ทำให้เห็นภาพรวมๆ คร่าวๆ ออกมาในลักษณะฝ่าย “มาร์ค” อยากให้ยุบ แต่ฝ่าย “แม้ว” อยากให้ “ยื้อ” กลับตาลปัตร เหตุผลก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า ฝ่ายแม้วได้เห็นความ “กลวงโบ๋” ของรัฐบาล ยิ่งอยู่นานเท่าไรยิ่งเข้าเนื้อขาดทุนลงทุกวัน ได้เห็นภาพความไม่เอาไหนมาเปรียบเทียบกับการทำงานของรัฐบาลในอดีต อย่างน้อยก็ยังใช้วิธีการเดิมๆมาหลอกต้มชาวบ้านระดับ “รากหญ้า” ได้เคลิบเคลิ้มต่อไป เพื่อรอจังหวะแบบ “กินรวบ” เข้าฮอสปิดเกมแบบแลนด์สไลด์อีกรอบเหมือนกับยุค “ชวนเชื่องช้า” แต่คราวนี้เป็นยุค “หน้าหล่อไม่เอาไหน”
ไม่เชื่อก็ลองดูผลสำรวจของ “เอแบคโพลล์” ที่เพิ่งออกมาล่าสุดเปรียบเทียบก็ได้ จะเห็นว่าชาวบ้านนิยมเลือกนักการเมืองที่เก่งมากกว่าหน้าหล่อหน้าสวย ถึงร้อยละ 98.6 และเมื่อสำรวจถึงการเลือกพรรคการเมืองก็ปรากฏว่า ในตอนนี้จะเลือกพรรคประชาธิปัตย์ร้อยละ 17.5 เลือกพรรคเพื่อไทยร้อยละ 16.2 ขณะที่กำลังมองหาพรรคอื่นที่น่าสนใจถึง 58.6 ซึ่งถือว่ายังสูสีกันมาก ขณะที่ถ้าพิจารณาตามปัจจัยแวดล้อมต่างๆที่ผ่านมาแล้วพรรคประชาธิปัตย์ และนายกฯอภิสิทธิ์ น่าจะได้รับความนิยมมากกว่านี้ เพราะแทนที่ฝ่ายค้านคือพรรคเพื่อไทย และคนเสื้อแดงจะย่อยยับจมดินจากกรณีจลาจลเผาเมืองถึงสองปีซ้อน ภาพความเสียหายยังน่าจะตามหลอนชาวบ้านอยู่จนถึงวันนี้ แต่ภาพที่เห็นคนพวกนี้ยังเหนียวแน่นและกลับมาแข็งแกร่งกว่าเดิมเสียอีก
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งในฐานะรัฐบาลหรือพรรคแกนนำแทนที่จะสร้างศักยภาพจากการใช้อำนาจรัฐ ออกนโยบายโกยคะแนนเสียงสร้างผลงานให้เป็นที่ตื่นตาตื่นใจ จนเป็นที่จดจำ แต่นี่ตรงกันข้ามมีแต่เรื่องอื้อฉาว ทุจริตไม่เว้นแต่ละวัน ถูกมองว่าผู้นำคือ นายกฯ อภิสิทธิ์ ไร้ฝีมือ ไม่เข้าใจปัญหาชาวบ้าน ที่สำคัญเป็นแค่ “หุ่นเชิด” ยอมให้พวกนักการเมืองขี้โกงชักใยบังคับอยู่ข้างหลัง เพียงเพื่อแลกกับการที่ตัวเองได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีและได้เดินสายพูดจาเกาะ “โพเดียม” ไปวันๆ เท่านั้น
ที่เห็นเป็นประจักษ์สองตาสัมผัสด้วยความรู้สึกได้ก็คือกรณี “วิกฤตน้ำมันปาล์ม” ที่มีทั้งปัญหาขาดตลาด-กักตุน-ทุจริต ปล่อยให้ปัญหายืดเยื้อทำความเดือดร้อนกับชาวบ้านนานกว่า 3 เดือน จึงจะตาลีตาเหลือกกุลีกุจอลงมาแก้ปัญหา แต่ก็ยังไม่คลี่คลายแบบเบ็ดเสร็จยังขาดแคลนหาซื้อได้ไม่เต็มร้อยอย่างที่คุยไว้อย่างเต็มปาก มิหนำซ้ำยังถูกชาวบ้านยังถูกชาวบ้านด่ากันขรมเพราะน้ำมันพืชเป็นต้นทุนตั้งต้นกับสินค้าหลายชนิด
นอกจากนี้ยังต้องมาเจอกับปัญหาข้าวยากหมากแพงพอดี ซึ่งแม้ว่าหากพิจารณากันด้วยความเป็นธรรมก็ต้องยอมรับว่า “แพงกันทั่วโลก” ซึ่งมีปัจจัยจากหลายสาเหตุทั้งเรื่องน้ำมันแพง อากาศแปรปรวน แต่ชาวบ้านเขาไม่สนใจหรอก เขาคิดแต่เพียงว่าทำไมมันแพง “มหาโหด” แล้วคิดว่ารัฐบาลจะหาทางบรรเทาให้เห็นเป็นรูปธรรมได้อย่างไรบ้าง ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลของ นายกฯอภิสิทธิ์ ก็ล้มเหลว
เรื่องปัญหาค่าครองชีพนี่แหละที่จะเป็น “จุดตาย” ของ รัฐบาล และยิ่งนานวันก็ยิ่ง “น่วม” เพราะเมื่อเข้าสู่โหมดเลือกตั้งแล้ว สิ่งที่ต้องเกิดขึ้นจนเป็นธรรมเนียมอุบาทว์ของรัฐบาลผสมก็คือ ต่างคนต่าง “โกย” สะสมเสบียง กระสุนเพื่อตุนไว้สำหรับการเลือกตั้ง ขณะที่ข้าราชการก็เป็นพวก “นกรู้” เมื่อเห็นสภาพที่ผลสำรวจออกมาสูสีแบบนี้ก็จะต้อง “แทงกั๊ก” เอาไว้ก่อน ทีนี้ความเดือดร้อนก็จะตกอยู่กับชาวบ้าน ยิ่งเดือดร้อน ก็ยิ่งด่ารัฐบาล และด่านายกฯอภิสิทธิ์ นี่ยังไม่นับเรื่องศักดิ์ศรีของชาติถูกผู้นำกัมพูชา อย่าง ฮุนเซน ย่ำยีจนป่นปี้ สูญเสียความเป็น “พี่เบิ้ม” ในอาเซียน เสียอธิปไตยอย่างถาวร
บรรยากาศดังกล่าวมันก็เป็นคำตอบให้เห็นชัดเจนว่าทำไมนาทีนี้ พรรคเพื่อไทย ทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งคนเสื้อแดงถึงยังไม่ยินดียินร้ายกับการส่งสัญญาณยุบสภาในต้นเดือนพฤษภาคม เพราะต้องการ “นวดให้น่วม” นานกว่านี้อีกระยะหนึ่ง ซึ่งเมื่อถึงเวลาหนึ่งก็พอเดาออกแล้วว่าจะตกอยู่ในสภาพแบบไหน
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแทบไม่น่าเชื่อว่าทุกอย่างกลับตาลปัตร ฝ่ายมาร์คต้องการยุบสภาให้เร็วที่สุด เพื่อสลายแรงกดดันจากทุกทาง ขณะที่ฝ่ายทักษิณ จากเดิมที่เคยบีบให้ยุบสภา-ลาออกทุกวัน มาวันนี้กลับมีท่าทีให้ยื้อเวลาออกไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อให้สถานการณ์ “ขาด” กลับมาชนะกินรวบ หวังกลับมาอย่างถล่มทลาย!!