พันธมิตรฯเตรียมยื่นหนังสือเบรกอินโดฯ จุ้นปัญหาไทย-แขมร์ “ประพันธ์” เชื่อ ข้อผูกพันที่มีอยู่แก้ปัญหากันเองได้ ยันประท้วงเปิดช่องให้รัฐบาลใหม่ใช้อ้างในเวทีโลก จี้ รัฐเดินหน้าขอโอนตัวนักโทษช่วย “วีระ-ราตรี” เฉ่ง “ธานี” ถนัดให้ร้ายคนไทย ด้าน “จำลอง” เผยต่อสายน้องวีระ ทำหนังสือจี้บัวแก้วเร่งช่วยพี่ชาย ยก “ยินดี-อนุรักษ์” ร่วมทำหน้าที่ปกป้องดินแดน
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และ นายประพันธ์ คูณมี ให้สัมภาษณ์
นายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย เปิดเผยว่า ในเวลาประมาณ 15.00 น.วันนี้ (10 มี.ค.) ตัวแทนคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทยจะเดินทางไปยื่นหนังสือต่อสถานทูตอินโดนีเซีย เพื่อประท้วงและคักค้านการที่ประเทศอินโดนีเซีย ในฐานะตัวแทนอาเซียนจะเข้ามาเกี่ยวข้องแทรกแซงกรณีพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา แม้ว่ารัฐบาลไทยจะแสดงความยินยอมแล้วก็ตาม แต่เนื่องจากภาคประชาชน เห็นว่า การไปยินยอมให้อาเซียน หรืออินโดนีเซีย เข้ามาเป็นผู้สังเกตการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อป้องกันเหตุปะทะนั้น เป็นการแทรกแซงอธิปไตยของไทย เนื่องจากปัญหาพิพาทระหว่าง 2 ประเทศมีข้อตกลงและสนธิสัญญาที่จะสามารถแก้ไขปัญหากันได้เองทั้ง 2 ฝ่าย
นายประพันธ์ กล่าวต่อว่า การที่รัฐบาลไปยอมรับเงื่อนไขดังกล่าวจะทำให้ประเทศไทยต้องเสียเปรียบทางการเมืองระหว่างประเทศ รวมทั้งอำนาจต่อรองที่จะกดดันกัมพูชาก็สูญเสียไป เพราะโดยศักยภาพทางการเจรจาและการทหาร หรือสนธิสัญญาที่ผูกพันไทยกับกัมพูชาก็เพียงพอที่จะหยิบยกขึ้นมาใช้แก้ปัญหาได้
ทั้งนี้ ยังเป็นการประท้วงต่อรัฐาลไทยต่อการตัดสินใจไปยินยอมข้อตกลงกับอาเซียน โดยที่ภาคประชาชนไม่เห็นด้วย และจะเป็นหลักฐานสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า แม้บางสิ่งที่รัฐบาลไปยินยอม มิได้หมายความว่า ประชาชนไทยจะเห็นพ้องด้วย หากในอนาคตมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่ ก็จะสามารถหยิบยกขึ้นมาเป็นข้อหักล้างว่าประชาชนไทยไม่ได้เห็นพ้องกับรัฐบาลนี้ สามารถบอกเลิกข้อผูกมัดใดๆ ที่จะทำให้ไทยเสียเปรียบและเสียดินแดนได้
ส่วนกรณีการให้ความช่วยเหลือ นายวีระ สมความคิด และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ซึ่งถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำกัมพูชานั้น นายประพันธ์ กล่าวว่า รัฐบาลของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หมดความชอบธรรมในการบริหารบ้านเมืองมานานแล้ว เพราะทุกเรื่องที่เป็นปัญหาของชาติ ไม่ว่าเรื่องดินแดนและอธิปไตย ไม่ยอมที่จะทำงาน หรือแก้ปัญหาสิ่งใดเลย แม้กระทั่งเรื่องที่ภาคประชาชนพยายามเรียกร้องให้มีการช่วยเหลือ 2 คนไทยที่ถูกกัมพูชาคุมขังอยู่ ถึงวันนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนออกมา โดยล่าสุด มีบทความของ นายอนุรักษ์ สง่าอารีย์กุล เลขานุการแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ชี้แนะช่องทางในการช่วยเหลือ นายวีระ และ น.ส.ราตรี ผ่านการใช้สนธิสัญญาโอนนักโทษระหว่างกัน ตาม พ.ร.บ.การปฏิบัติเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศในการดำเนินการตามคำพิพากษาคดีอาญา พ.ศ.2527 ที่รัฐบาลไทยและกัมพูชาลงนามไว้เมื่อวันที่ 4-5 ส.ค.2552 โดย นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ซึ่งเมื่อรัฐบาลไม่ปฏิบัติการใดๆ พันธมิตรฯจึงได้ประสานงานไปทาง นายปรีชา สมความคิด น้องชายของนายวีระ เพื่อกดดันให้รัฐบาลใช้ช่องทางนี้ แต่จริงๆ แล้วรัฐบาลควรเป็นฝ่ายที่หยิบยกช่องทางนี้มาใช้
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า สนธิสัญญาโอนนักโทษยังไม่สามารถทำได้ เนื่องจากมีเงื่อนไขระบุให้ต้องรับโทษ 1 ใน 3 ก่อนที่จะสามารถโอนย้ายได้ นายประพันธ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ไทยกับกัมพูชามีการแลกตัวผู้ต้องโทษกันโดยตลอด โดยทางกัมพูชาได้ร้องขอจากฝ่ายไทยบ่อยครั้ง ซึ่งหากรัฐบาลไทยร้องขอบ้าง ทางกัมพูชาก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะเมื่อมีสนธิสัญญานี้เข้ามา เพราะเข้าหลักเกณฑ์ทุกอย่าง
“การที่ นายธานี ออกมาให้ข้อมูลนั้น ผมต้องขอให้มีการอ้างอิงข้อมูล เพราะตามความเห็นของนายอนุรักษ์นั้น มีความชัดเจนว่าสามารถทำได้ และที่ผ่านมา นายธานี มักให้ความเห็นบิดเบือน และให้ผลร้ายกับคนไทยมาโดยตลอด แม้กระทั่งการที่ นายวีระ ป่วยหนัก นายธานี ก็ออกมาบอกเพียงว่าเป็นหวัด ทั้งที่ไม่เคยไปเยี่ยม หรือพบนายวีระ แต่อย่างใด จึงต้องดูว่าที่นายธานี ออกมาระบุเช่นนั้นอ้างกฎหมายมาตราใด เพราะการโอนนักโทษนั้นก็เพียงเปลี่ยนมารับโทษในประเทศไทยต่อ”
นายประพันธ์ กล่าวว่า เมื่อรัฐบาลไม่แสดงออกให้เห็นถึงการทำหน้าที่ เราจึงขอเรียกร้องว่ารัฐบาลไม่ควรอยู่ในตำแหน่งต่อไป ทั้งเรื่องดินแดนอธิปไตย และสิทธิของคนไทย รวมทั้งเรื่องข้าวยากหมากแพง สินค้าราคาแพงสร้างความเดือดร้อนของคนไทย ที่ในความเป็นจริงควรเป็นโอกาสดีของประเทศที่เป็นผู้ผลิตสินค้าประเภทอาหารใหญ่ที่สุดของโลก แต่รัฐบาลไม่สามารถใช้โอกาสนี้ในการสร้างรายได้ให้มากขึ้น กลับอ้างว่า สินค้าราคาแพง เพราะกลไกในตลาดโลก ซึ่งตนได้รับการยืนยันจากพ่อค้า ว่า การที่ราคาสินค้าขึ้นราคานั้นไม่ได้เป็นไปตามกลไกตามที่รัฐบาลพยายามอ้าง แต่เป็นเพราะฝ่ายการเมืองเข้าไปมีประโยชน์ มีการตกลงขึ้นราคากับพ่อค้าผู้ประกอบการ เพื่อแบ่งปันผลประโยชน์ต่อกัน รวมทั้งการแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำมันปาล์ม ซึ่งเป็นเรื่องที่อัปยศมาก เพราะสร้างความเดือดร้อนต่อประชาชน
“รัฐบาลนี้นอกจากไม่แก้ไขปัญหาแล้ว ยังซ้ำเติมวิกฤตความทุกข์ยากเดือดร้อนต่อประชาชน ซึ่งกระแสสังคมควรจะต้องกดดันให้นายกฯพิจารณาตัวเอง หรือหากนายกฯยังยืนหยัดอยู่ในตำแหน่งแล้ว การชุมนุมของเราก็จะต้องมีกิจกรรมกดดันในรูปแบบที่ถูกกฎหมาย เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของรัฐบาลนี้ที่ไร้ความชอบธรรมในการปกครองประเทศต่อไป”
ด้าน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงการช่วยเหลือ นายวีระ และ น.ส.ราตรี ว่า หากรัฐบาลแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้น คงไม่บานปลายมาถึงขณะนี้ เมื่อมาถึงตอนนี้หลายฝ่ายจึงมีความเห็นว่า ควรนำตัว นายวีระ และ น.ส.ราตรี กลับประเทศมาก่อน ยิ่งเมื่อ นายอนุรักษ์ สง่าอารีย์กุล เลขานุการแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เปิดเผยว่า มีสนธิสัญญาการโอนผู้ต้องโทษระหว่างไทยกับกัมพูชา ทำให้สามารถนำตัวทั้งคู่กลับมารับโทษในประเทศไทยได้ ซึ่งดีกว่าติดคุกที่กัมพูชา โดยตนได้ประสานงานพูดคุยกับ นายปรีชา สมความคิด น้องชายของ นายวีระ โดยบอกไปว่า อย่าหวังพึ่งการช่วยเหลือจากรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว และให้ทำหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อให้ดำเนินการตามขั้นตอนการขอโอนผู้ต้องโทษจากกัมพูชา ซึ่งสามารถทำควบคู่ไปกับการขออภัยโทษ โดยไม่เสียหาย
“จากบทความของเลขาฯศาลฎีกาฯ และการแสดงความเห็นของท่านอดีตผู้พิพากษายินดี (วัชรพงศ์ ต่อสุวรรณ) ชี้ให้เห็นว่า การต่อสู้ปกป้องแผ่นดินเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่สามารถออกมาเสนอแนะ และทำประโยชน์ได้ โดยที่เราไม่ได้ร้องขอ โดยที่ไม่เกรงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากแสดงความเห็นที่ขัดแย้งกับรัฐบาล”
พล.ต.จำลอง กล่าวถึงการยื่นหนังสือคัดค้านต่อสถานทูตอินโดนีเซีย ด้วยว่า แม้ว่าเราจะไม่สามารถยับยั้งการเข้ามาของทหารอินโดนีเซียที่จะเข้ามาสังเกตการณ์ในพื้นที่ เพื่อไม่ให้มีการปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งทำให้ประเทศไทยสูญเสียประโยชน์มากมาย แต่การยื่นหนังสือต่อสถานทูตอินโดนีเซีย ก็สามารถนำมาอ้างได้ว่าประชาชนจำนวนมากไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล หากมีรัฐบาลใหม่เข้ามาก็จะสามารถใช้ในการหักล้างข้อเสียเปรียบต่างๆ ได้