มติชนสุดสัปดาห์ ตีแผ่เบื้องลึกเสียงปืนไทย-กัมพูชา รอวันปะทุอีกรอบ ขุดสาแหรก “ฮุน มาเน็ต” แม่ทัพลูกชายฮุน เซน ไม่สบอารมณ์ทหารเขมร ต้นเหตุคลื่นใต้น้ำ ทำทหารเขมรแตกพ่าย แฉ เขมรละเมิด MOU43 ไปแล้ว 121 ครั้ง ลามปามยึดภูมะเขือทั้งลูก เผยธาตุแท้ “อภิสิทธิ์-กษิต” แหยกลัวสงครามทำอยู่ไม่ได้ เสียงจากทหารสนามรบ ระบุ “ไม่ขอเป็นสุภาพบุรุษ” ชี้ ต้องใช้วิธีลับ ลวง พราง พร้อมกับตั้งรับ
นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับประจำวันที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมาตีพิมพ์รายงานพิเศษเรื่อง “ถกขะแมร์-ถลกเขมร เบื้องหลัง หยุดยิง (ชั่วคราว) คลื่นใต้น้ำของ “ฮุน มาเน็ต” กับเสียงครวญจาก “สุภาพบุรุษสงคราม” กล่าวถึงเบื้องหลังการเจรจาหยุดยิงระหว่าง พล.ต.ฮุน มาเน็ต รอง ผบ.ทบ.บุตรชายของสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา กับ พล.อ.ดาวพงษ์ รัตนสุวรรณ เสนาธิการทหารบก หัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายไทย
ในรายงานพิเศษระบุว่า การเจรจาหย่าศึกครั้งนี้ เป็นไปตามข้อเสนอแนะของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC หรือ United Nations Security Council) ในการหารือของนายกษิต ภิรมย์ และนายฮอร์ นัม ฮง รมว.ต่างประเทศไทยและกัมพูชา เจรจาความกันเมื่อวันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีการปะทะกันที่ภูมะเขือ เพราะเขมรต้องการจะยึดพื้นที่ จึงส่งทหารรบพิเศษเข้าประชิดฐานทหารไทย จนยิงปะทะกัน 2 วันติด หลังจากนั้น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม หารือกับ พล.อ.เตีย บันห์ รมว.กลาโหมกัมพูชาแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ก็เร่งประสานเพื่อให้มีการเจรจา
แต่จากบทเรียนความล้มเหลวของการเจรจาหยุดยิงเมื่อวันที่ 5 ก.พ.ระหว่าง พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 กับ พล.ท.เจีย มอน ผบ.ภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชา จนนำมาซึ่งการปะทะครั้งใหญ่ในวันที่ 6 ก.พ.จึงทำให้ไทยต้องการคำมั่นสัญญาจากฝ่ายเขมรที่น่าเชื่อถือและมีน้ำหนัก พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก อดีตเจ้ากรมกิจการชายแดน บก.กองทัพไทย ซึ่งมีความสนิทสนมกับผู้นำทหารกัมพูชามานาน จึงเป็นผู้ติดต่อกับ พล.ต.ฮุน มาเน็ต อันนำมาสู่การเจรจา เพราะในฐานะผู้บัญชาการการสู้รบในพื้นที่เขาพระวิหาร ที่บิดาส่งมา เขาจึงน่าสร้างความเชื่อมั่นได้ว่า ทหารเขมรจะไม่เบี้ยว แล้วเปิดฉากยิงใส่ทหารไทยก่อนอีก
“แต่กระนั้น ก็ไม่มีหลักประกันใดๆ ได้ว่าจะเป็นการหยุดยิงถาวร เพราะคงเป็นแค่การเจรจาหยุดยิงชั่วคราวเพื่อรอการเจรจาในระดับรัฐบาล และกระทรวงการต่างประเทศเท่านั้น เพราะต่างฝ่ายต่างก็เสริมกำลังทหารและยุทโธปกรณ์ ทั้งรถถัง ปืนใหญ่ และจรวดเข้ามากันเต็มพิกัด ราวกับพร้อมจะทำสงครามกัน” รายงานระบุ
• ทหารเขมรไม่สบอารมณ์ เกิดคลื่นใต้น้ำในกองทัพ “ฮุน มาเน็ต”
ในรายงานพิเศษได้กล่าวถึง พล.ต.ฮุน มาเน็ต รอง ผบ.ทบ.และหัวหน้าหน่วยต่อต้านการก่อการร้ายของกัมพูชา โดยสรุปว่า แม้จะเป็นลูกของสมเด็จฯ ฮุน เซน แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นที่ยอมรับของทหารเขมรทั้งกองทัพ ตรงกันข้ามเขามีปัญหาในเรื่องการบังคับบัญชา เพราะความที่เขาอาศัยการเป็นลูกชายผู้นำประเทศก้าวเป็นพลจัตวาเมื่อปีที่แล้ว กระทั่งปีนี้เป็นถึงพลตรี รอง ผบ.ทบ.และหัวหน้าหน่วยพิทักษ์ความปลอดภัยของบิดาตนเอง ทำให้เขาถูกหมั่นไส้จากทหารเขมรจำนวนไม่น้อย
อีกทั้งยังร่ำเรียนจากนายร้อย West Point สหรัฐอเมริกา และปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์จากอังกฤษ ที่ดูเป็นทหารไฮโซไม่ติดดิน ต่างจากธรรมชาติของทหารเขมร คือ การเติบโตมาด้วยฝีมือ ความสามารถในการรบ และส่วนใหญ่เป็นทหารป่า อยู่ชายแดน รบมาตลอดชีวิต พวกเขาจึงไม่ชอบ พล.ต.ฮุน มาเน็ต ผบ.หน่วยรบ หลายคนไม่ฟังคำสั่งเขา ราวกับต้องการหักหน้า และแสดงการไม่ยอมรับการนำทำศึกกับสยามคราวนี้ ต่อให้เข้ามาคลุกคลีกับทหารในพื้นที่ในระยะหลังๆ ก็ตาม
“ยิ่งแค่การฝึก ช่วงแรก 4-6 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ทหารเขมรก็แตกพ่ายเสียหาย สูญเสียอย่างหนัก ภายใต้การการบัญชาการรบของ พล.ต.ฮุน มาเน็ต ที่มี พันเอกฮุน มานิต น้องชายทหารม้า เป็นเสนาธิการ ก็ยิ่งทำให้เขาไม่เป็นที่ยอมรับในกองทัพเขมร แม้ว่าภาพพจน์ภายนอก พล.ต.ฮุน มาเน็ต จะโด่งดังเป็นที่รู้จักทั่วโลก จากสมรภูมินี้ โดยเฉพาะในเมืองไทยก็ตาม แต่เขาสอบตก ในสายตาทหารผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา” รายงานระบุ
ในรายงานพิเศษระบุว่า คลื่นใต้น้ำในกองทัพเขมร และสภาวการณ์ของ พล.ต.ฮุน มาเน็ต ทำให้ฝ่ายทหารไทยต้องเผื่อสำหรับการผิดสัญญาของฝ่ายเขมร นอกเหนือจากการปากว่าตาขยิบ ส่งสัญญาณให้ทหารเขมรลูกน้องปฏิบัติการต่อก็ได้ แม้กองบัญชาการกองทัพไทยถึงขั้นเตรียมแผนจักรพงษ์ฯ ซึ่งเป็นแผนป้องกันชายแดนด้านตะวันออกมาใช้ แต่ฝ่ายเขมรเสริมกำลังทหารและรถถัง ปืนใหญ่ และจรวด BM21 จนคาดกันว่า สมเด็จฯ ฮุน เซน ให้ลูกชายมาเจรจาหยุดยิง เพื่อประวิงเวลาในการเตรียมพร้อมสำหรับทำสงคราม เปิดทางให้ UN ส่งกองกำลังเข้ามาดูแล และตามมาด้วยความได้เปรียบจากการหนุนหลังของมหาอำนาจ เพราะเขมรไม่ได้ต้องการแค่ให้มีทหารอินโดนีเซียมาเป็นผู้สังเกตการณ์การหยุดยิงตามที่ฝ่ายไทยพอจะยอมรับได้เท่านั้น
• แฉเขมรหักหลัง ละเมิด MOU43 ชัดเจน ยึดภูมะเขือทั้งลูกจากทหารไทย
รายงานพิเศษยังได้กล่าวถึงท่าทีของฝ่ายไทย จากการเชิญผู้ช่วยทูตทหารบก 14 ประเทศ ลงพื้นที่บ้านภูมิซรอล เพื่อรับทราบความเสียหายที่เกิดจากการโจมตีเป้าหมายพลเรือนของทหารเขมร ทำให้ชาวบ้านเสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บ 6 คน บ้านเรือน โรงเรียน และวัดเสียหาย พร้อมกับพาขึ้นผามออีแดง เพื่อให้ทูตทหารส่องกล้องดูภูมะเขือด้วยสายตาว่าอยู่ในเขตไทย และดูปราสาทพระวิหารที่ไม่ได้พังทลายตามข่าวลือ และต้องการให้เห็นทหารเขมรวางกำลังและอาวุธบนปราสาทด้วย แม้ฝ่ายเขมรพยายามจุดไฟเผาหญ้าและป่า เพื่อให้ควันปกคลุมเอาไว้ จนมองไม่ชัดเจน
แม้ความพยายามเล่นเกมสู้ของฝ่ายไทยจะมาช้า เพราะมีการทุบทำลายซากปรักหักพังและกำลังซ่อมสร้างบ้านใหม่ แต่ก็เป็นการกู้หน้านายกษิต ที่เคยคุยว่าได้เชิญเอกอัครราชทูตประเทศต่างๆ ในไทย ลงพื้นที่ แต่ก็ยังไม่มีใครตอบรับ ที่สำคัญ ทหารไทยน่าจะฉุกคิดและรู้ว่าอะไรรออยู่เบื้องหน้า เพราะบทเรียนในอดีตก็แสดงแล้วว่า เขมรชอบหักหลัง ผิดสัญญา ไม่เป็นลูกผู้ชาย เพราะกองกำลังสุรนารี ก็ทำรายงานการละเมิดข้อตกลง MOU43 ของทหารกัมพูชามากถึง 121 ครั้ง
โดยเฉพาะการปรับปรุงต่อเติมวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ การก่อสร้างถนนทางขึ้นปราสาทเขาพระวิหาร รวมทั้งการสร้างตลาดร้านค้าชุมชนทางขึ้นปราสาทเขาพระวิหาร ทหารไทยก็ปล่อยให้เขากระทำมาตลอด โดยไม่ขัดขวาง ห้ามปราม ได้แต่ประท้วง ทั้งๆ ที่ข้อตกลง คือ ห้ามสร้างสิ่งปลูกสร้างใดๆ ในพื้นที่ แม้แต่การทำให้ภูมิประเทศเปลี่ยนแปลง แต่ปรากฏว่า เขมรมีเจตนาละเมิดข้อตกลงตลอดมา ทั้งการส่งชาวบ้านให้มาอยู่ในพื้นที่ชายแดนและในพื้นที่ปัญหา โดยที่ทหารก็มีผลประโยชน์ร่วมด้วย และการขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียวในปี 2551 ซึ่งพื้นที่โดยรอบปราสาทที่นำไปขึ้นทะเบียนนั้น ยังไม่ชัดเจนเรื่องการปักปันเขตแดน
ทั้งนี้ แม้ว่าแม่ทัพภาคของทั้งสองฝ่ายจะเจรจากันเรื่องการปรับกำลังทหารในพื้นที่ลง แต่กัมพูชาก็ไม่ดำเนินการตามนั้น มีการแอบเพิ่มกำลังทหารในวัด และบนปราสาทมากกว่าพันนาย และสร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆ จากนั้นในยุคของ พล.ท.ธวัชชัย ได้ไปเจรจากับพลเอกกวน กิม รอง ผบ.ส.ส.จนมีข้อตกลงให้ปรับกำลังทหารเพื่อลดการเผชิญหน้า แต่เมื่อไทยปรับกำลังแล้ว แต่ทหารเขมรกลับซุกซ่อนกำลังทหารในบางจุด เมื่อฝ่ายไทยจะเข้าตรวจสอบ กัมพูชาก็ไม่ยินยอม
“ที่สำคัญคือ การลักลอบนำกำลังทหารเข้ามาเพิ่มในตอนกลางคืน แล้วซ่อนตัวในเวลากลางวัน พร้อมสร้างฐานและขุดหลุมเพลาะจำนวนมาก แต่ปกปิดอย่างดี พร้อมนำปืนไร้แรงสะท้อนถอยหลัง (ปรส.) และเครื่องยิงจรวด BM21 เข้ามาจำนวนมาก ถือเป็นการละเมิดข้อตกลง แม้แต่การสร้างอนุสาวรีย์ที่ช่องอานม้า ที่แม้ไทยประท้วง แต่เขมรก็ไม่สน สร้างต่อจนเสร็จ เช่นเดียวกับการสร้างกระเช้าขึ้นภูมะเขือ และสร้างเสาสัญญาณโทรศัพท์ อันสะท้อนถึงเป้าหมายการยึดภูมะเขือทั้งลูกจากทหารไทย” รายงานระบุ
• ถลกเขมร “กองทัพไทย” เข้าตัว รัฐบาลหวั่นอยู่ไม่ได้-เสียงจากสนามรบ “ไม่ขอเป็นสุภาพบุรุษ”
ในรายงานพิเศษดังกล่าวระบุว่า แม้รายงานของกองทัพภาคที่ 2 จะประณามฝ่ายกัมพูชา จอมหักหลัง จะถลกหนังเขมร แต่ก็เป็นการประจานตัวเอง ที่ปล่อยให้ทหารเขมรทำทุกอย่างโดยไม่ทำอะไรเลยนอกจากประท้วง แล้วเก็บเป็นบันทึกว่าประท้วงไปกี่ครั้งเท่านั้น แต่เมื่อทหารไทยเข้าไปก่อสร้างเส้นทางส่งกำลังบำรุงในพื้นที่ที่เคยยึดครองมาก่อนการปรับกำลัง ทหารเขมรไม่ประท้วง แต่ยิงใส่ทันที อันเป็นจุดเริ่มต้นของการสู้รบเมื่อ 4 ก.พ.
“ทหารในพื้นที่อึดอัดไม่น้อย กับคำสั่งให้แต่งตั้งให้ตั้งรับอย่างเดียว ทั้งๆ ที่ทหารเขมรมีเป้าหมายบุกยึดพื้นที่ โดยเฉพาะภูมะเขือ เพราะ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและขุนพลในรัฐบาล ไม่ยอมให้ทหารไทยบุกยึดพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เพราะหวั่นปะทะกับทหารเขมรจนบานปลายกลายเป็นสงคราม และสูญเสียจนรัฐบาลก็อยู่ไม่ได้” รายงานระบุ
ที่สำคัญ ฝ่ายผู้นำทหาร ทั้ง พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ประยุทธ์ ปล่อยให้นายอภิสิทธิ์ และนายกษิต สั่งซ้ายหันขวาหันโดยไม่คำนึงเรื่องศักดิ์ศรีของทหารไทย ทหารลูกน้องที่เสี่ยงตายอยู่ในพื้นที่ ทั้งๆ ที่รัฐบาลควรเล่นบทหนึ่ง ในการเจรจาทางการทูต แต่ทหารก็ต้องเล่นบทของทหาร จนเป็นเหตุให้ผู้นำกองทัพ และโดยเฉพาะ พล.ท.ธวัชชัย โดนโจมตีอย่างรุนแรง ทั้งเรื่องหน้าที่และเรื่องส่วนตัว
ในช่วงท้ายระบุว่า การเมืองแทรกทั้งจากรัฐบาล นายกฯ และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สร้างความอึดอัดแก่ทหารแนวหน้า ที่อยากได้กำลังใจและการสนับสนุนจากแนวหลังที่เป็นหนึ่ง พักศึกในเพื่อร่วมกันสู้ศึกนอกบ้านกันก่อน จนในหมู่ ผบ.หน่วยกำลังรบในพื้นที่หารือกันว่า ทหารไทยจะไม่ขอเป็นสุภาพบุรุษ หรือลูกผู้ชายแบบเต็มตัว เถรตรงเกินไปในการรบกับทหารเขมร
ซึ่งจะได้หรือไม่ ต้องเล่ห์เหลี่ยม ลับ ลวง พราง หักหลังกันได้บ้าง เพื่อเป้าหมายในการป้องกันอธิปไตย ดินแดน ศักดิ์ศรี สู่ชัยชนะของทหารไทย หน่วยรบพิเศษ กองพันจู่โจม และ ฉก.90 ของ ทบ.ไทย จึงต้องเข้าพื้นที่เพื่อต่อกรกับ รบพิเศษ 911 ของเขมร ที่ต้องชิงไหวชิงพริบ วัดกึ๋นและความอดทน จนทหารไทยเจ็บหนักไปหนึ่งนาย เพราะถูกลอบกัดแล้ว
“เราอยากทำอะไรที่มากกว่านี้ ดีกว่านี้ เพื่อศักดิ์ศรี และดินแดนของเรา ทหารทุกคนพร้อมทำอยู่แล้ว ขอให้สั่งมา แต่นายไม่กล้า ก็ต้องปล่อยให้วางกำลังเผชิญหน้ากันต่อไปอย่างนี้ ไม่รู้นานแค่ไหน แล้วจะปะทะกันอีกเมื่อใดก็ได้ ฝ่ายตั้งรับ ย่อมเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เราควรรุกไปพร้อมๆ การตั้งรับด้วย” รายงานอ้างถึงทหารจากสนามรบ