“ปานเทพ” จวก รบ.มาร์ค เป็นใบ้ตั้งแต่กัมพูชาบอก MOU 43 กำหนดให้ใช้แผนที่1:200,000 ซัดไม่สมควรเป็นนายกฯหากยังอ้างทำMOUใหม่ต้องยึดข้อตกลงเก่า งง MOU 44 ยกเลิกได้ แต่ทำไม MOU 43 สมัยชวนถึงยกเลิกไม่ได้ ย้ำไม่มี MOU เขมรไม่สามารถเหิมกริมยิงไทยได้เลย
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง การเสวนา “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” เรื่อง “ราชอาณาจักรไทยกำลังจะเสียดินแดน”
วันที่ 16 ก.พ.2554 บนเวทีปราศรัยการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกล่าวถึงแม่ทัพภาค 2 ที่ตอบโต้มาว่า ผบ.โรงเรียนเตรียมทหารสอน “เราต้องทำตัวให้เขาอิจฉาไม่ต้องทำให้เขาสงสาร เพราะไม่มีใครอิจฉาขอทาน” ว่า บุคลิกลักษณะแม่ทัพภาคที่ 2 ไม่รู้เป็นอย่างไร เห็นหน้าท่านนึกถึงแต่กุนเชียง ตนไม่เคยรู้สึกอิจฉาอะไรเลย ที่ท่านพูดเปรียบเทียบไม่มีใครไปอิจฉาขอทาน ในขณะที่เราพูดถึงส่วยแล้วท่านยอมรับว่าไม่ใช่ขอทาน ท่านกำลังกินปูนร้อนท้องหรือไม่ เพราะเรายังไม่ได้เอ่ยชื่อใครเลยนอกจากกุนเชียง
อย่างไรก็ดี เราไม่ได้ไม่รู้สึกว่าท่านเป็นขอทาน แต่รู้สึกว่าท่านในฐานะเป็นแม่ทัพ ไม่รู้สึกอับอายบ้างหรือที่ภูมะเขือถูกยึดโดยทหารเขมร ถนนที่สร้างขึ้นมาถึงดินแดนไทยถูกตั้งเป็นจุดยุทธศาสตร์ยิงใส่ประชาชนไทย โดยที่ท่านทำอะไรไม่ได้ ไม่อายบ้างหรือที่ ฝึกให้ชาวบ้านอพยพในหลุมหลบภัย ไม่อายหรือที่ฝึกให้ชาวบ้านใช้อาวุธไว้ต่อสู้เผื่อทหารกัมพูชาบุกเข้ามา
พื้นที่แถวนั้นมีขอบหน้าผาเป็นเส้นเขตแดน หากทหารไทยยึดหลักการนี้ และประจำจุดแนวขอบหน้าผา ทหารกัมพูชาจะไม่สามารถมายิงใส่คนไทย ไม่สามารถสร้างถนนที่ภูมะเขือได้เลย เสียดายที่ท่านเป็นถึงแม่ทัพภาคที่่ 2 แต่สติปัญญาพูดได้แค่โยนให้ประชาชนไปรบเอง เมื่อคิดได้เท่านี้ก็ไม่สมควรรับภาษีจากประชาชน ไม่ควรทำหน้าที่ปกป้องที่ดินแถวนั้น
นายปานเทพกล่าวถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เขียนชี้แจงเรื่องเอ็มโอยู 43 ลงในเฟซบุ๊กว่า ยกเลิกไม่ได้ โดยอ้างจะมีเหตุวุ่นวายเรื่องเส้นเขตแดนนั้น ตนก็อยากถามว่าทีกรณีเอ็มโอยู 44 ทำไมใช้มติคณะรัฐมนตรียกเลิกได้ หรือว่าเอ็มโอยู 43 ทำในสมัยนายชวน หลีกภัย ถึงยกเลิกไม่ได้ ส่วนที่บอกว่ายกเลิกแล้วสัญญาฉบับใหม่ต้องไปอ้างอิงฉบับเดิม หากเป็นเช่นนี้ท่านก็ไม่สมควรเป็นรัฐบาล หลักฐานต่างๆ มีปรากฏชัด เขมรละเมิดข้อตกลง ดังนั้น หากเราเห็นว่าข้อสัญญาเดิมเราเสียเปรียบ แล้วเรื่องอะไรที่เราต้องยอมเอาข้อสัญญาทีเสียเปรียบไปใช้ใหม่ เพราะสัญญาเกิดขึ้นได้ก็ด้วยความพอใจทั้งสองฝ่าย
ที่รัฐบาลอ้างว่าจากช่องสะงำถึงช่องบกไม่มีหลักเขตเพราะลืมทำหลักนั้น ที่จริงมีคณะกรรมการปักปันเข้าสำรวจแล้วถึง 3 คณะ ซึ่งทั้งหมดยืนยันแถวนี้ไม่จำเป็นต้องทำเขตแดนใดๆทั้งสิ้น เส้นเขตแดนจากช่องสะงำถึงช่องบก ยาว 195 กิโลเมตร ไม่เคยมีหลักเขตแดนเพราะสยามกับฝรั่งเศสเดินสำรวจด้วยกันแล้วโดยเห็นว่ามีแนวหน้าฝาชัดเจน และจากช่องสะงำ ถึงจ.ตราด มีหลักเขตทั้งหมด 73 หลัก สำรวจปักหลักครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1909 แต่ได้สูญหายเพราะเป็นหลักไม้ ทำให้ ค.ศ. 1919 จัดทำหลักใหม่โดยทำเป็นคอนกรีต แปลว่าเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชา ปักเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นจึงพูดได้ว่าเอ็มโอยู 43 ทำให้เกิดสงคราม
นายปานเทพกล่าวถึงคำพิพากษาศาลโลกที่พิจารณาให้ตัวปราสาทเขาวิหารตกเป็นของกัมพูชา ค.ศ. 2505 จำกัดเฉพาะตัวปราสาทไม่สามารถขยายขอบเขตการพิพากษาได้ เนื่องจากเห็นว่าไทยยังไม่เซนต์รับแผนที่ 1 : 200,000 จึงถือได้ว่าเป็นแผนที่ฝรั่งเศสทำแต่ฝ่ายเดียว และผิดธรรมชาติ ต่อมาเมื่อมีเอ็มโอยู43 กัมพูชาได้ใช้แผนที่ 1 : 200,000 ประกบคำพิพากษาศาลโลกว่า แม้ศาลโลกไม่พิพากษาตัวแผนที่ แต่เมื่อไทยยอมรับบนโต๊ะเจรจาจึงมีผูกพันธ์ระหว่างประเทศ ทำให้ต่างชาติเข้าใจได้ว่า แท้ที่จริงแล้วไทยกับกัมพูชา ลงนามในเอ็มโอยู 43 คือใช้แผนที่ 1 : 200,000 เพียงอย่างเดียว
อย่างไรก็ดี เมื่อตัวปราสาทถูกยกให้เป็นของกัมพูชา ไทยก็เคารพในคำพิพากษาจึงได้ล้อมรั้วรอบปราสาทไว้ พร้อมสงวนสิทธิทวงคืน ทั้งนี้ หากไม่มีเอ็มโอยู 43 เราจะใช้หลักฐานใหม่ล่าสุด ว่าที่จริงแล้วไทยไม่ได้โดนกฎหมายปิดปาก เพราะไทยมีแผนที่ที่จัดทำขึ้นก่อนมีคำพิพากษาศาลโลก เพียงแต่ไม่ถูกหยิบขึ้นมาใช้ในการพิจารณาเท่านั้น
ทั้งนี้ ถ้าไม่มีเอ็มโอยู 43 กัมพูชาจะไม่สามารถยิงใส่ทหาร ประชาชนไทยได้เลย เพราะ 1.ศาลโลกตัดสินเฉพาะตัวปราสาท 2.เรายังสงวนสิทธิ์ทวงคืนตัวปราสาท 3.เรามีแสนยานุภาพทางทหารที่สูงกว่า เขมรไม่สามารถมาชิงพื้นที่ไทยได้ และ 4.ไทยไม่ยอมรับคำพิพากษาศาลโลกนับตั้งแต่พิจารณายกปราสาทให้กัมพูชา เมื่อมีเอ็มโอยู 43 สถานการณ์เปลี่ยนกัมพูชา เริ่มมีความหวังอาศัยข้อตกลงห้ามใช้กำลัง ยึดแผนที่ 1 : 200,000 สร้างถนน สร้างวัด ชุมนุน รุกรานไทยอย่างต่อเนื่อง เแล้วลากเส้นเขตแดนออกจากตัวปราสาทขยายผลไปเวทีสหประชาชาติ เพื่อต้องการให้สหประชาชาติขยายผลในคำพิพากษาศาลโลก ผูกมัดให้ไทยใช้แผนที่1 : 200,000 เพราะไทยลงนามในเอ็มโอยู 43
นายปานเทพกล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ เพรี่ยงพร้ำตั้งแต่ กัมพูชา พูดว่าไทยรุกรานตามแผนที่ 1 : 200,000 แล้วนายอภิสิทธิ์ โต้แย้งว่าไม่รวมระวางดงรัก ฝั่งกัมพูชาโต้กลับเอ็มโอยู43กำหนดให้ใช้แผนที่ 1 : 200,000 และไทยก็ใช้แผนที่ 1 : 200,000 กับประเทศลาว ต่อมาพอพันธมิตรฯท้วงมากๆ กระทรวงการต่างประเทศแย้งกัมพูชากลับไปอีกว่าไม่รวมระวางดงรัก กัมพูชาก็โต้ โดยอ้างเอ็มโอยู 43 ผนวกกับคำพิพากษาศาลโลก ทำให้สถานภาพแผนที่ผูกพันธ์ไทยกับกัมพูชา นี่คือสาเหตุที่ทำให้ไทยไม่โต้แย้งในประเด็นนี้อีกเลย
และในเวทีคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ กัมพูชาก็อธิบายต่อสหประชาชาติโดยอ้างแผนที่ 1 : 200,000 บวกศาลโลก ไทยไม่โต้แย้งทำให้กัมพูชาจับทางได้ จึงเปิดสงครามโดยกล่าวหาว่าไทยรุกรานตามแผนที่ 1 : 200,000 ภายใต้เอ็มโอยู 43 เพราะเข้ารู้ว่าไทยสู้หลักฐานไม่ได้ ขณะที่นายอภิสิทธิ์ก็ยังหลงดีใจ ทั้งที่เขมรล้มโต๊ะเจบีซี แต่กอดเอ็มโอยู43ไปเวทีนานาชาติ ทำให้ท่าทีบนเวทีคณะมนตรี ท่านก็เลิกพูดแล้วว่าไม่รวมระวางดงรัก เพราะเถียงเขาไม่ได้ ก็เลยไม่ยืนหยัดว่ากัมพูชารุกรานประเทศไทย
“หากท่านบอกว่าเอ็มโอยู 43 ใช้ได้จริง ต้องพูดกับเวทีนานาชาติ ว่า แผนที่ 1 : 200,000 ไม่รวมระวางดงรัก และขณะที่กัมพูชาเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมแล้วไทยไม่ทำหนังสือประท้วงย้อนหลัง ทำให้คิดได้ว่าเหตผลที่ไม่ยืนเป็นเพราะ 1.ท่านไม่รู้เรื่องอะไรเลยซื่อบื้อไม่ทันเกมฮุนเซน 2.หมดข้อสงสัย เพราะท่านรู้ว่าเอ็มโอยู 43 หมายถึงแผนที่ 1 : 200000 เถียงเขาไม่ได้จึงไม่กล้าโต้แย้งว่าประเทศไทยอยู่ตรงไหน และ 3.เมื่อไม่ทำเราย่อมสงสัยว่าท่านมีผลประโยชน์สมรู้ร่วมคิดกับกัมพูชาหรือไม่”
นายปานเทพกล่าวอีกว่า หากขึ้นเวทีสหประชาชาติ เขมรอ้างไทยรุกรานตามแผนที่ 1 : 200,000 แล้วไทยอ้างยั้งไม่ปักปันเขตแดน แค่นี้ก็แพ้แล้ว ทั้งนี้ถ้าไทยยกเลิกเอ็มโอยู 43 เราก็ยังยืนหยัดเขตแดนตามสันปันน้ำ ทำให้มีสิทธิปกป้อง สหประชาชาติไม่ให้เข้าแทรกแซง ตามกฎบัตรข้อ 2 เมื่อไม่ต่อสู้ ผลต้องหยุดยิงทั้งสองฝ่ายถาวร ส่งผลให้ที่ดินที่เขมรยึดครองต้องปล่อยให้เขายึดครองต่อไป ด้วยเหตุนี้เป็นไปได้หรือไม่ ที่เมื่อมีการปะทะกันเราถึงไม่ตัดน้ำมัน ไม่ทำลายถนน ไม่ใช้กองทัพอากาศ ที่แท้ก็สมประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย ทางทหารก็รบแบบไม่สุด เวทีนานาชาติก็ไม่บอกว่ากัมพูชารุกรานไทย