“สนธิ” ชี้นายกฯ กราบสรีระสังขารหลวงตาบัว แค่สร้างภาพ เหตุไม่เคยสนใจธรรมะ ฝากคำสอนหลวงตาให้คิด การปกป้องดินแดนเป็นหน้าที่คนไทย ระบุหลวงตาไม่โกรธใคร นอกจาก “ประชาธิปัตย์” ที่มีแผนรวมบัญชีคลังหลวง เผยนักจิตวิทยาส่ง จม.วิเคราะห์ปมในใจ “อภิสิทธิ์” เกิดในแดนผู้ดี โดนดูถูกตั้งแต่เด็ก กลายเป็นคนเก็บกด ขี้ขลาด แต่ชอบสร้างภาพให้ตัวเองเป็นคนดี
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” ปราศรัยโดย “นายสนธิ ลิ้มทองกุล”
เมื่อเวลา 20.50 น.วันนี้ (15 ก.พ.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ปราศรัยที่เวทีสะพานมัฆวานรังสรรค์ ระหว่างการชุมนุม “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” โดยได้กล่าวถึงนายอภสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่เดินทางไปกราบสรีระสังขารของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ที่จังหวัดอุดรธานี ว่าตอนที่หลวงตายังมีชีวิตอยู่นายอภิสิทธิ์ไม่เคยไปกราบท่านเลย เพราะเป็นคนไม่สนใจธรรมะ ไม่สนใจเรื่องพระเรื่องเจ้า แต่ที่ไปตอนนี้ เพราะมีประชาชนไปกราบกันมาก จึงต้องไปเพื่อแผนการตลาด เพราะในสมองของนายอภิสิทธิ์ไม่เคยคิดเรื่องอะไรนอกจากสร้างภาพอย่างดียว
นายสนธิกล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อนายอภิสิทธิ์ไปกราบร่างของหลวงตาฯ ก็อยากจะฝากคำสอนของหลวงตาถึงนายอภิสิทธิ์บ้าง ซึ่งเมื่อครั้งที่หลวงตาป่วยและยังพูดได้ ตนได้ไปกราบท่านที่โรงพยาบาล และหลวงตาได้บอกว่า ตนทำถูกแล้วที่ทำงานเพื่อชาติเพื่อแผ่นดิน เพื่อปกป้องดินแดนไทย เป็นหน้าที่ของคนไทย หลวงตาช่วยชาติมาตลอดชีวิตด้วยการหาทองคำมาเข้าคลังหลวง พวกเราก็ช่วยกันปกป้องดินแดนไทย เสียดายที่นายอภิสิทธิ์ไม่มีบุญได้ฟังคำของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ตอนนั้น
นายสนธิกล่าวว่า อยากบอกให้นายอภิสิทธิ์ทราบว่า หลวงตาไม่เคยมีอคติกับใคร ท่านมีธรรมนำหน้า ท่านพูดจากใจจริงของท่าน โดยไม่สนใจว่าใครเป็นใคร อยู่พรรคการเมืองไหน เพราะท่านบอกว่าการเมืองเป็นเรื่องชั่วร้ายสกปรก ในชีวิตท่านไม่เคยต่อว่าใคร นอกจากมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ท่านว่าแรงมาก คือตอนที่จะมีการเอาเงินคลังหลวงไปรวมบัญชี ท่านบอกว่าพวกนี้นรกจะกินหัว เพราะทำบาปต่อแผ่นดิน ปล้นชาติปล้นแผ่นดิน ซึ่งท่านพูดถึงพรรคประชาธิปัตย์ ตัวการที่จะเอาเงินคลังหลวงไปรวมบัญชี ท่านบอกว่าคนพวกนี้จะไม่มีวันเจริญ
นายสนธิกล่าวอีกว่า ตนได้รับจดหมายจากแพทย์ด้านจิตเวชท่านหนึ่ง ซึ่งมีสามีเป็นทหาร จปร.12 แต่เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งจดหมายดังกล่าวได้วิเคราะห์นักการเมืองแต่ละคนตามแนวทางจิตวิทยา เริ่มจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ทำให้บ้านเมืองตกต่ำจนทุกวันนี้ เพราะเขาสามารถทำให้เห็นว่าทำชั่วแล้วได้ดี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จึงมีการกอบโกยกันในทุกกระทรวง ไม่เว้นแม้แต่กระทรวงกลาโหม ส่วนนายฮุนเซน นายกฯ กัมพูชานั้น เกิดมาต่ำต้อย แต่ต้องถีบตัวเองให้ขึ้นสูง แม้จะต้องชักนำเอาเวียดนามเข้ามาก็ยอม และเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ใช้เอ็มโอยู 2543 เป็นพุ่มไม้บดบังกายเพื่อแอบยึดดินแดนไทย โดยที่กระจงน้อยอย่างนายอภสิทธิ์ไม่รู้เรื่อง
ด้าน นายอภิสิทธิ์นั้น เกิดที่อังกฤษเมื่อ 40 กว่าปีก่อน ก็เหมือนคนจีนที่เกิดในไทยที่โดนเจ้าของประเทศดูถูก นายอภิสิทธิ์จึงเก็บกดและกลายเป็นคนขี้ขลาด ไม่กล้าสู้คน แต่อีกแง่หนึ่งก็พยายามเป็นเด็กดีของอังกฤษเพื่อให้เขารัก ทำตัวเป็นคนยึดหลักการ เป็นคนดีในสายตาคนทั่วไป เวลาทำดีก็จะเสนอตัวให้คนเห็น เช่น ไปงานเปิดงาน เลกเชอร์ ใครจะเข้าพบก็ให้เข้าพบง่าย แต่เวลาทำชั่วก็แอบอยู่ในกระดอง ลืมตัว ไม่รู้ว่าตัวเองโกหก เพราะไม่รู้ตัวว่าทำชั่ว เวลาภัยมาก็แอบมุดเข้ากระดอง
ตอนสู้กับทักษิณ ชุมนุม 193 วัน ก็แอบอยู่หลังพันธมิตรฯ หน้าฉากก็บอกว่าไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ที่ออกมาประท้วงตามท้องถนน ให้ไปใช้กลไกรัฐสภาดีกว่า ทั้งที่ตัวเองเคยอภิปรายรัฐบาลนายสมัครในสภาแล้วแต่ก็ไล่ไม่สำเร็จ การประท้วงต่างหากที่คว่ำรัฐบาลลงได้ แล้วนายอภิสิทธิ์ก็ไปกอดกับนายเนวินร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล ไม่เห็นบอกว่า ผมไม่เป็นหรอกนายกฯ เพราะใช้การเมืองข้างถนนคว่ำรัฐบาล
ตอนที่คนไทย 7 คน ถูกจับ ตอนแรกก็สร้างภาพออกมาให้สัมภาษณ์ว่าจะไม่ให้ไปขึ้นศาลกัมพูชา แต่พอ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ออกมาบอกว่า ทั้ง 7 คนถูกจับในกัมพูชา นายอภิสิทธิ์ก็หดหัว ตอนที่เสื้อแดงชุมนุมยึดจุดสำคัญของกรุงเทพฯ เอาไว้ แล้วคนเสื้อดำทำให้ทหารตาย นายอภิสิทธิ์กลับยังวางเฉย แต่พอพันธมิตรฯ ชุมนุม นายอภิสิทธิ์มองว่าเป็นลูกแกะไม่มีอันตราย นายอภิสิทธิ์จึงเปลี่ยนจากกระจงมาสวมหัวใจเสือคำรามใส่พันธมิตรฯ ทุกวัน วิธีแก้ปัญหาต้องส่งนักจิตแพทย์ไปขุดคุ้ยความจริงในใจของนายอภิสิทธิ์ออกมา ซึ่งต้องใช้เวลา พันธมิตรฯ เป็นเหมือนทหารของพระเจ้าตากที่รวมพลกัน 500 คนก่อนแล้วค่อยเพิ่มกำลังคนขึ้นเรื่อยๆ และต่อสู้ด้วยคุณธรรม เพื่อกู้ชาติกลับคืนมา
นายสนธิกล่าวต่อว่า ทุกๆ เช้าตนจะคุยกับทีมงานในรูปแบบของสภากาแฟ เรื่องหลักๆ ที่คุยกันจะมีอยู่ 2 เรื่อง คือ 1.นายอภิสิทธิ์โกหกอะไรบ้าง และ 2.พูดถึงสื่อ ซึ่งมีอยู่ 2 ส่วน คือ สื่อกระแสหลักที่โง่แล้วอยากออกความเห็น เช่น เปลว สีเงิน ซึ่งมีพื้นฐานมาจากไทยรัฐ ซึ่งใครๆ ก็รู้ว่าสื่อจากไทยรัฐนั้นผิวเผิน ไม่ลึกซึ้ง ไม่มีจุดยืน วันหนึ่งด่า วันหนึ่งชม เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไม่มีทิศทาง
นายสนธิกล่าวว่า ตอนได้บอกกับทีมงานว่า ถึงเวลานี้เราไม่ต้องเกรงใจใคร เราต้องรบสิบทิศ โดนคนโง่รุมก็อย่าไปเกรงใจ ไม่ต้องคิดเหมือนเดิมที่ว่าอย่าทำลายแนวร่วม ขณะนี้เราไม่มีเวลาเอาใจแนวร่วมอีกต่อไป เหมือนจิตแพทย์ที่เขียนจดหมายมาบอกว่า พวกเราเหมือนทหารพระเจ้าตากที่มีอยู่ 500 คน แล้วค่อยๆ รวมพลต่อสู้เพื่อเพิ่มกำลังคนขึ้นมา ถ้าจิตใจเราแน่วแน่ว่าเราทำเพื่อความถูกต้อง ต่อสู้เพื่อส่วนรวม เราสู้ในทางที่ถูกถ้าจะตายก็ให้ตายไปทั้งหมด
ส่วนสื่ออีกกลุ่มคือ สื่อสีน้ำเงินที่รับเงินจากนายเนวิน ไม่ว่าจะเป็นวิทยุ เว็บไซต์ เช่น เว็บประชาทรรศน์ของนายพิธาน คลี่ขจาย ซึ่งวิธีสู้กับคนพวกนี้ต้องมีสติ แสดงธรรมให้ฟัง ถ้ามันมีสำนึกมันก็จะรู้สึกตัวมันเอง เรามาที่ไม่ใช่เพื่อปกป้องดินแดนเท่านั้น แต่ยังต้องช่วยเพื่อนร่วมชาติให้หายโง่ การมาฟังปราศรัยที่นี่ พี่น้องมาฟังความจริง และใช้สติปัญญาวิเคราะห์ได้ และเห็นว่านายกฯ โกหกอย่างไร นายอภิสิทธิ์กลัวพวกเรา เพราะเรารู้ทันทุกเม็ด เมื่อเขาเจอคนที่รู้ทันมีปัญญาและเอาธรรมนำหน้า นายอภิสิทธิ์จึงกลัวยิ่งกว่ากลัว และกลัวแม้กระทั่งเงาตัวเอง